บทที่ 171 บรรลุพลัง
ในวันที่เขาเสียแขนข้างหนึ่งไป จินเยี่ยนได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ในห้อง
แม้ว่าในด้านร่างกายนั้นจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่อารมณ์ของเขายังเด็กนัก
แต่ความทุกข์ทรมานก็เป็นเหมือนหินลับมีดชั้นดี มันทำให้จินเยี่ยนโตเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ ได้ในที่สุด
เขาตระหนักแล้วว่าการที่ชีวิตของตัวเองตกอยู่ในกำมือของคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร และก็รู้แล้วว่าคนประเภทไหนที่ตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่ ณ ตอนนี้
…เช่นเดียวกับไม่เอ่อร์และครอบครัวที่เริ่มจะรู้ตัวแล้ว
ท่าทางที่ดูไม่เป็นกังวลใด ๆ ของซูเฉินอาจสามารถหลอกตาครอบครัวของไม่เอ่อร์ได้ ทำให้พวกเขาปฏิบัติกับทั้งซูเฉินและจินเยี่ยนอย่างเป็นกันเองและอบอุ่น
แต่เมื่อไม่เอ่อร์และภรรยาเห็นว่าจินเยี่ยนเสียมือไปข้างหนึ่ง พวกเขาก็รู้ทันทีว่า ‘เพื่อน’ หรือ ‘ญาติ’ ทั้งสองคนนี้เป็นอะไรกันแน่ คู่สามีภรรยาหยุดความคิดเพ้อฝันลงในทันใด และแม้แต่ลูก ๆ ของไม่เอ่อร์ก็ยังได้รู้จักกับความน่ากลัวในวันนั้นเอง
เด็กดื้อสองคนพลันกลายเป็นเด็กน้อยที่เชื่อฟังเสียอย่างนั้น
ทั้งคู่ต่างฟังทุกคำของผู้ใหญ่ด้วยความตั้งใจ และยังซนน้อยลงมาก ดูเหมือนว่าทั้งจี๋จี๋ และหลายเค่อซือจะเคารพพ่อแม่มากขึ้นด้วย
ราวกับว่าเด็ก ๆ โตขึ้นในชั่วข้ามคืนอย่างไรอย่างนั้น
แต่ซูเฉินนั้นดูเหมือนจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปอย่างสิ้นเชิง
เขาปฏิบัติกับครอบครัวนั้นด้วยความสุภาพอย่างยิ่ง อย่างกับว่าเขาไม่ใช่หัวขโมยที่เป็นที่ต้องการตัวของเมืองล่องนภาอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งการกระทำและคำพูดนั้นมีมารยาทเหลือเกิน เขามอบของกำนัลให้ครอบครัวนั้นอยู่เรื่อย ๆ และมักขอบคุณด้วยท่าทางเกรงใจเสมอเมื่อได้รับการดูแล
แต่ถึงอย่างนั้น ครอบครัวของไม่เอ่อร์ก็ไม่ได้เปิดใจหรือผ่อนคลายความระวังลงแต่อย่างใด พวกเขาไม่ได้สนใจกับท่าทางที่อ่อนโยนของซูเฉินเลย
คู่สามีภรรยารู้แล้วว่าเบื้องหลังท่าทางที่สงบเยือกเย็นนั้นคืออาชญากรใจเหี้ยมที่เมืองล่องนภากำลังตามล่าอยู่
หนึ่งวันหลังจากนั้น แขนของจินเยี่ยนก็งอกขึ้นมาใหม่ ‘มือ’ นี้เป็นส่วนหนึ่งของร่างนกสีทองสามขาอย่างเดิม
ฝ่ายซูเฉินก็ยินดีด้วยกับเขา
สามวันหลังจากนั้น ซูเฉินไม่ได้ทำภารกิจสังหารอีกต่อไป
เพราะได้รู้จากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดว่าหยงเยี่ยหลิวกวงคิดหาวิธีการจัดการกับเขาได้แล้วนั่นเอง
หยงเยี่ยหลิวกวงได้ค่ายกลกักการเคลื่อนไหวมา ซึ่งสามารถนำไปใช้ในรถม้าเพื่อป้องกันไม่ให้ซูเฉินใช้วิชาภูติลั่นแสงได้ จักรพรรดิปักษายังวางแผนที่จะล่อซูเฉินมายังกับดักของเขาอีกด้วย แต่ซูเฉินกลับรอดจากแผนการนี้ได้ด้วยไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดและรู้เรื่องกับดักก่อนที่มันจะถูกนำมาใช้ ซึ่งเหตุนี้เองที่ทำให้เขาหยุดกิจกรรมทุกอย่างลง
วิชาลวงตา วิชาภูติลั่นแสง และไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดล้วนเป็นสิ่งที่ซูเฉินใช้เพื่อเอาชีวิตรอดในเมืองล่องนภา เมื่อมีไม้เท้าในมือแล้ว ก็ไม่แปลกเลยที่หยงเยี่ยหลิวกวงจะไม่มีทางทำอะไรชายหนุ่มได้เลย
ซูเฉินได้มีเวลาพักผ่อนในที่สุดหลังจากการล้างผลาญชาวปักษาได้สิ้นสุดลง หากไม่ใช่เพราะเค่อเหลยซีต๋าที่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าชุยอวี่คงเหินยังอยู่ในเมืองล่องนภาแล้ว ก็คงไม่มีปักษาคนใดที่จะคาดคิดได้อย่างเขาแน่
แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้ใช้เวลาไปกับการนั่งเฉย ๆ เขาเริ่มการค้นคว้าและทดลองในช่วงเวลาที่ว่างนี้โดยไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์
มีเพียงคนที่ทะเยอทะยานอย่างซูเฉินเท่านั้นจะมีกะจิตกะใจมาทำการค้นคว้าขณะอยู่ในอาณาเขตของศัตรู
อย่างไรแล้วชายหนุ่มก็ผ่านการค้นคว้าขณะติดอยู่ในเขาพันพิษมานานร่วมปี และในเวลานี้ก็คงไม่ต่างกัน
อาจเป็นเพราะการเตรียมการที่ดีเสมอมาของเขา นั่นทำให้ซูเฉินพบว่าการค้นคว้าและทดลองของเขาเกิดผลอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในวันที่ห้าหลังจากหยุดการทำลายล้างในเมืองล่องนภาลง เขาได้พบกับการบรรลุครั้งใหญ่ทีเดียว
ในที่สุดซูเฉินก็สามารถเติมคำในช่องว่างสุดท้ายในการบรรลุสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณได้สำเร็จ
อันที่จริงแล้วเขาอาจบรรลุด่านผลาญจิตวิญญาณได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่นั่นก็เพราะซูเฉินคิดวิธีการที่สมบูรณ์แบบมากกว่าขึ้นมาได้ ซึ่งก็คือสาเหตุที่เขารอเวลามาจนถึงตอนนี้
ที่นอกเมืองล่องนภา
ซูเฉินยืนอยู่ ณ จุดที่สูงและห่างออกไปจากเมืองล่องนภาราว 3 พันจั้ง ลมที่ด้านบนนั้นเย็นยะเยือกบาดผิวทีเดียว
ที่น่าตกใจที่สุดก็คือการที่ก้อนเมฆที่อยู่ในความสูงระดับนี้มีพลังงานความเย็นที่เข้มข้นยิ่งนัก มันเย็นเสียจนมีเกิดเป็นไอน้ำแข็งที่สามารถทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางและแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเคลื่อนไหวได้ตามใจของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอย่างมากอีกด้วย
ในบริเวณนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตประหลาดชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้อยู่ด้วย และพวกมันเป็นที่รู้จักในชื่อ ปีศาจเยือกแข็ง โดยปีศาจเยือกแข็งนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความแปลกเหลือเกิน เพราะพวกมันไม่มีร่างกายที่สัมผัสได้… ปีศาจเยือกแข็งจะมีตัวตนอยู่ในรูปกายทิพย์เท่านั้น และด้วยเหตุนี้ พวกมันจึงไม่สะท้านต่อการโจมตีจากพลังต้นกำเนิด และยังสามารถแทรกแซงสติปัญญาของมนุษย์ ก่อนที่จะฝังตัวอยู่ในนั้นและเริ่มกัดกินมันไปอย่างช้า ๆ
การกัดกินนี้เองที่จะทำให้ปีศาจเยือกแข็งได้มาซึ่งร่างกายของตัวเอง ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดส่วนมากจึงสามารถสังหารพวกมันได้หลังจากที่ยอมให้ปีศาจเยือกแข็งกัดกินสติปัญญาไปแล้วส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่พวกเขาจะรอดชีวิตหรือไม่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับพลังชีวิตที่แต่ละคนจะมีนั่นเอง
ขั้นตอนในการกัดกินสมองนี้ใช้เวลานานถึงสามวัน นั่นแปลว่าใครก็ตามที่เป็นเหยื่อของปีศาจเยือกแข็ง ผู้นั้นก็จะต้องทนกับความทรมานจากความเจ็บปวดไปนานสามวันก่อนจะสิ้นชีวิตลง โดยไม่มีวิธีการใดเลยที่จะสามารถแก้ไขได้
นั่นจึงทำให้ปีศาจเยือกแข็งเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ปรสิตสมอง’
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับสูงและปรมาจารย์อาร์คาน่าก็ยังสามารถจัดการกับสิ่งมีชีวิตที่ว่านี้ได้อย่างยากลำบาก
ทว่าซูเฉินกลับเต็มใจและเลือกที่จะมาปรากฏตัวอยู่ที่ตรงนี้
เขาตั้งใจว่าจะพยายามและบรรลุพลังให้ได้ที่นี่
ขณะที่นั่งอยู่บนยอดผาสูงนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มจะสัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังเข้าสู่สภาวะที่นิ่งสงบ
หัวใจของเขานิ่งลง และทั้งร่างกายและจิตใจก็เข้าสู่สภาวะที่ไร้ซึ่งอัตตา
ผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณจำเป็นจะต้องจุดไฟขึ้นในจิตวิญญาณของพวกเขา
ซึ่งต่างไปจากด่านสู่พิสดารเพราะการบรรลุสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณนั้นส่งผลให้พลังจิตพัฒนาและเพิ่มขึ้นอย่างมาก พลังจิตที่แทบจะจับต้องได้นั้นไม่ต่างไปจากสสารชนิดหนึ่ง มันทำให้ผู้ฝึกสามารถสร้างตำหนักเซียนขึ้นมาได้นั่นเอง
และเพราะคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของพลังจิตนี้เอง มนุษย์จึงสามารถสร้างตำหนักทั้งแปดที่เรียกว่า ‘ตำหนักผลาญจิตวิญญาณ’ ขึ้นได้
แน่นอนว่าการสร้างตำหนักแรกนั้นยากที่สุด
ตำหนักแรกที่ว่านี้มีชื่อเรียกว่า ‘วัฏจักรสมบูรณ์’ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของด่านผลาญจิตวิญญาณ เป็นจุดที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดละทิ้งซึ่งพันธนาการเดิม และเริ่มต้นกับพันธการใหม่
การเปลี่ยนสภาพจากสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้มีร่างกายที่เป็นรูปธรรมขึ้นมานั้นไม่สามารถเป็นไปได้โดยปราศจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด
สิ่งนี้ยังเป็นหนึ่งสาเหตุที่ตำหนักแรกนี้ถูกเรียกว่า ‘วัฏจักรสมบูรณ์’ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความหวังอันมากล้นของผู้ที่บรรลุถึงระดับนั้นได้นั่นเอง
การส่งมอบพลังจิตที่จับต้องได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากผู้นั้นจำเป็นจะต้องมีพลังจิตจำนวนมหาศาลแล้ว ก็ยังต้องมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าและพลังมากพอที่จะปั้นพลังจิตให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้
เดิมทีนั้นวิธีการในการบรรลุด่านผลาญจิตวิญญาณมีอยู่เพียงวิธีเดียว ซึ่งก็คือการที่ต้องใช้พลังจิตจำนวนมาก แล้วจึงใช้พลังสายเลือดเพื่อสร้างมันขึ้นมา
แต่ซูเฉินกลับค้นพบวิธีการใหม่ที่ต่างออกไปและยังมีประสิทธิภาพมากกว่าอีกด้วย
เขาเลือกที่จะทำจิตใจให้สงบและทำตัวเองให้กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งไปกับธรรมชาติ
ถูกต้องแล้ว… แทนที่จะใช้พลังสายเลือดเพื่อเปลี่ยนตัวเอง ชายหนุ่มเลือกที่จะผสานพลังจิตของเขาเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัว และปล่อยกายไปกับธรรมชาติแทน
การที่จะทำเช่นนั้นได้ ซูเฉินจำเป็นต้องปลดปล่อยพลังจิตของตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุดและกระจายมันออกไป ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการใช้พลังสายเลือดเพื่อบีบอัดพลังจิตเข้าด้วยกัน
ซูเฉินปล่อยให้พลังจิตของเขากระจายตัวออกไปขณะที่ตัวเองพยายามที่จะสัมผัสถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัว อากาศที่เย็นยะเยือกทิ่มแทงทั่วร่างกายทำให้เขาสัมผัสได้ถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบได้อย่างชัดเจน ซึ่งชายหนุ่มก็ดึงเอาความเย็นในธรรมชาตินั้นเพื่อนำมาใช้เปลี่ยนแปลงร่างกาย
หากพูดเช่นนี้แล้วอาจฟังดูเหมือนจะทำได้ง่ายนัก แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่เลย
การทำเช่นนี้ต้องอาศัยการควบคุมพลังจิตที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทั้งการปรับสภาวะทางอารมณ์ด้วยวิชาพิเศษ วิธีการในการที่จะดึงและบังคับความโกลาหลพลังงานจากจิตวิญญาณที่เป็นอิสระในสภาพแวดล้อมรอบข้าง วิธีการในการรวบรวมพลังไว้ในตำหนักเซียน และสุดท้าย วิธีในการป้องกันไม่ให้พลังแห่งธรรมชาติทะลวงเข้าไปในร่างของเขาลึกเกินไปจนอาจทำให้เกิดความเสียหายภายในขึ้นได้
เพราะนี่เป็นวิธีการฝึกที่แตกต่างออกไป จึงจำเป็นต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นและผ่านทุกขั้นตอนอีกครั้ง ซูเฉินต้องทำความเข้าใจแต่ละขั้นและปรับทุกขั้นเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ อันที่จริงแล้วเขายังได้พัฒนาวิชาต่าง ๆ ถึงราวแปดวิชาเพื่อที่จะใช้ในการบรรลุพลังครั้งนี้อีกด้วย
ฉือไคฮวงช่วยเหลือเขาในทุก ๆ ขั้นตอนมาตั้งแต่เริ่มต้น แต่การฝึกด่านผลาญจิตวิญญาณนี้เป็นการสรรค์สร้างของซูเฉินเองทั้งสิ้น
มันเป็นผลมาจากการทำงานอย่างหนักมานานนับหลายสิบปี ดังนั้นแม้ว่าผลที่ออกมาจะน่าทึ่งมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด
ขณะที่ซูเฉินกำลังใช้วิชาบีบอัดพลังจิตของตัวเองอยู่นั้น พลังจิตของเขาก็เริ่มจะควบแน่นเข้าหากัน พายุหมุนเริ่มก่อตัวขึ้นที่รอบตัวจนเกิดเป็นกระแสพลังงานวนที่ตรงเข้าสู่ร่างกายของซูเฉินผ่านทุกรูขุมขน ก่อนที่จะเคลื่อนกลับออกมาทางจมูกและปาก กระแสพลังงานที่เย็นเยียบนี้รวมตัวเข้าหากระแสวนอีกครั้ง ก่อนจะกลับเข้าสู่ร่างกายของซูเฉินในท้ายที่สุด ส่งผลให้เกิดเป็นวัฏจักรของพลังงานที่ถูกรักษาไว้ในร่างกายของเขา
มันคือวัฏจักรที่ซูเฉินเป็นผู้ก่อขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นวัฏจักรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติด้วยเช่นกัน
ณ ตอนนี้ ทุกวงจรที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของชายหนุ่มและวัฏจักรจากภายนอกนั้นดูเหมือนจะประสานเข้าหากัน จนเกิดเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ของตำหนักขึ้นในหัวของเขา
ตำหนักวัฏจักรสมบูรณ์ของซูเฉินแตกต่างไปจากของคนอื่น ๆ มากทีเดียว
นอกจากมันจะมีขนาดใหญ่กว่าแล้ว แต่สิ่งที่เป็นตัวกำหนดพลังที่แท้จริงของตำหนักพวกนี้ก็คือรายละเอียดอื่น ๆ ของมันนั่นเอง
ยิ่งตำหนักเซียนที่ปรากฏนั้นถูกประดับประดาอย่างงดงามมากเพียงไร ความแข็งแกร่งของมันก็มากขึ้นตามไปด้วย
ตำหนักเซียนของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดส่วนมากนั้นถูกแกะสลักขึ้นจากหินก้อนโต แม้พวกมันจะสง่างาม แต่ก็ไม่ได้ดูประณีตบรรจงเท่าไรนัก ไม่ต่างไปจากรูปปั้นที่ถูกสร้างขึ้นโดยเผ่าคนเถื่อน ทว่าตำหนักเซียนของซูเฉินนั้นเป็นงานศิลปะชิ้นเอกเลยก็ว่าได้
ตำหนักของซูเฉินเป็นทรงแปดเหลี่ยมและถูกสร้างขึ้นบนแท่นหยกที่รายล้อมไปด้วยรั้วกัน
รูปปั้นมากมายถูกวางไว้ที่บนรั้วนั้น อันที่จริงแล้วพวกมันไม่ใช่รูปปั้นจริง ๆ แต่กลับเป็นเทพอสูรที่ก่อร่างขึ้นจากพลังจิตเข้มข้น
ซูเฉินศึกษาสายเลือดมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เลือดสายเลือดใดให้กับตัวเอง แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจหลักการเบื้องหลังของแต่ละสายเลือดเทพอสูรที่ปรากฏ ณ ที่แห่งนี้ นั่นแปลว่าเขาสามารถใช้งานพวกมันได้นั่นเอง
เมื่อสร้างตำหนักเซียนขึ้นสำเร็จแล้ว ก็ถือว่าได้เข้าใกล้แหล่งที่มาของสายเลือดเหล่านี้มากขึ้นไปอีกเมื่อสามารถสร้างภาพลวงของเหล่าอสูรได้
ในการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ตำหนักเซียนจะทำให้ซูเฉินสร้างภาพลวงขึ้นได้อย่างง่ายดายขึ้นอีกมาก ซึ่งร่างเหล่านั้นก็จะต่อสู้เคียงข้างไปกันเขา แน่นอน.. ภาพร่างลวงเหล่านั้นอ่อนแอกว่าเทพอสูรที่แท้จริง แต่พวกมันก็มีคุณสมบัติและลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของอสูรอยู่ด้วย
เหนือตำหนักวัฏจักรสมบูรณ์ยังมีตรวนแปดเส้นห้อยยาวลงไป ซึ่งปลายอีกด้านหนึ่งของมันสิ้นสุดที่ใดนั้นไม่มีใครรู้
ตรวนเหล่านั้นเชื่อมระหว่างตำหนักกับทะเลแห่งพลังต้นกำเนิดของซูเฉิน
ด้วยตำหนักเซียนผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณจะได้รับพลังโดยตรงจากทะเลพลังต้นกำเนิดนี้ แต่พลังนั้นจะถูกส่งไปได้มากเพียงไรก็ถูกจำกัดตามขีดจำกัดในการส่งต่อพลัง
ตำหนักวัฏจักรสมบูรณ์ส่วนมากจะมีตรวนเพียงเส้นเดียวที่เชื่อมเข้ากับท้องสมุทรต้นกำเนิด นั่นหมายความว่าตรวนจำนวนแปดเส้นจึงเป็นตรวจสำหรับตำหนักทั้งแปดนั่นเอง
ทว่าซูเฉินกลับมีตรวนเส้นหนาถึงแปดเส้นเชื่อมกับตำหนักเพียงหนึ่งเดียว และตรวนเหล่านั้นก็ยังปกคลุมไปด้วยอักขระอันลึกซึ้ง ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ความสามารถในการส่งต่อมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีกมาก
บันไดด้านหน้า กระเบื้อง หลังคา และทางเข้านั้นถูกออกแบบและตกแต่งอย่างงดงามด้วยฝีมือของนักออกแบบสถาปัตยกรรมที่ดูจะมีจินตนาการเป็นเลิศ นั่นทำให้ตำหนักเซียนเปล่งประกายแห่งความแข็งแกร่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทันทีที่มันถูกสร้างขึ้นจนสมบูรณ์ ตำหนักก็เริ่มจมดิ่งลง และปักหลักอยู่ในทะเลแห่งความรู้ของซูเฉินในที่สุด
…ตำหนักวัฏจักรสมบูรณ์ก่อตัวขึ้นเสร็จสิ้นแล้ว !!
มันคือตัวแทนอย่างเป็นทางการของการบรรลุสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ และทำหน้าที่เป็นรากฐานให้กับการสร้างตำหนักเซียนทั้งเจ็ดที่เหลือ
ทันทีที่มันสร้างขึ้นเสร็จ พลังจิตของซูเฉินก็เริ่มขยายพร้อมกันกับที่ทัศนวิสัยของเขาแผ่ออกกว้างขึ้น การรับรู้และพลังจิตของชายหนุ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ซูเฉินใช้ดวงตาพลังต้นกำเนิด และสังเกตดูพลังต้นกำเนิดที่ไหลผ่านไป เขามุ่งหน้าไปด้วยกิ่งก้านของพลังจิตและพยายามที่จะบีบมันให้เข้าสู่ร่างกายของตัวเอง
ก่อนหน้านี้ เขาจำเป็นต้องใช้ร่างกายเพื่อซึมซับเอาพลังต้นกำเนิดเข้าไป แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างง่ายดายเพียงแค่นึกคิดเท่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้น
เขายังสัมผัสได้ถึงเงามืดที่คืบคลานใกล้เข้ามาอีกด้วย
มันคือปีศาจเยือกแข็งนั่นเอง
ปีศาจเยือกแข็งตนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ที่หลังจิตของเขา และมันกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแทรกแซงเข้าไปในสติปัญญาของซูเฉินเพื่อกัดกินสมองของเขา
ปีศาจเยือกแข็งไม่มีตัวตนเป็นรูปธรรม จึงไม่สามารถสัมผัสมันได้
แต่ถึงอย่างนั้นซูเฉินก็ไม่จำเป็นต้องรอให้มันเริ่มกัดกินก่อนจะลงมือ
เพราะเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดธรรมดา ๆ
แต่ซูเฉินเป็นถึงผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณ!
ตู้ม!
ตำหนักวัฏจักรสมบูรณ์เริ่มส่งเสียงสนั่นหวั่นไหว
ลำแสงพลังจิตพุ่งตรงออกไปข้างหน้า
ปีศาจเยือกแข็งสลายหายไปกับหมอกควันในทันที