ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 19 ทางใช้ชีวิต

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

‘คนจริง’ เป็นคำชมที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงเงียบงันไปชั่วขณะก่อนเอ่ยถาม “ยังมีอีกคนหนึ่งหรือ”

เมื่อครู่เซวียฮูหยินได้กล่าวว่าเขาเป็นหนึ่งในสองคนที่เซวียสิ่งชวนคิดว่าเป็นคนจริง

เซวียฮูหยินไม่ตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่กลับใช้วิธีที่ต่างไป “ท่านช่างสมเป็นโอรสจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่โดยแท้”

เฉินฉางเซิงเข้าใจ “น่าเสียดาย ข้าหาใช่ลูกที่แท้จริงของนาง”

เซวียฮูหยินพยักหน้า “ข้าพอใจอย่างมากที่ได้ยินท่านบอกว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย”

เฉินฉางเซิงตอบ “ใช่ ข้าไม่คิดว่ามันน่าละอายแม้แต่น้อยที่มีมารดาเช่นนี้ แม้นางจะไม่ใช่คนดี นางก็เป็นคนที่โดดเด่นอย่างแท้จริง”

เซวียฮูหยินถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “ถูกแล้ว มิเช่นนั้นเหตุใดสามีผู้ล่วงลับและพวกถึงได้ยินดีติดตามจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จนตาย”

เฉินฉางเซิงพลันถามขึ้น “ท่านรู้สึกเกลียดหรือไม่”

หากพูดถึงความเกลียด เซวียฮูหยินนั้นมีเหตุผลมากเหลือเกินให้รู้สึกเกลียด หากพูดถึงความรู้สึกผิด นางก็มีเหตุผลให้รู้สึกผิดเช่นกัน

ความเกลียดและความรู้สึกผิดไม่ได้หมายถึงผู้ปกครองใหม่ทั้งหมด แต่ยังหมายถึงผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์ หมายถึงสวีซื่อจี และหมายถึงช่วงเวลานี้

เซวียฮูหยินตอบด้วยความสงบอย่างมาก “ไม่ ข้าเพียงเกลียดที่โจวทงไม่ตายเท่านั้น”

เฉินฉางเซิงมองไปที่ดวงตานางอย่างใจสุขุม เขาไม่กล่าวอะไร ไม่ปลอบโยนนาง

เซวียฮูหยินฉลาดมาก นางเข้าใจ จึงตกใจอยู่บ้างและซึ้งใจอย่างมาก นางต้องการจะให้คำแนะนำกับเขาสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้เปิดปาก เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไรเลย เช่นนั้นแล้วนางจะแนะนำอะไรได้

ทั้งสองกล่าวคำร่ำลา ที่ประตูสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงกล่าวกับเซวียฮูหยิน “ข้าขอให้ฮูหยินอย่าได้จากไป”

จากข้อมูลที่สำนักการศึกษากลางส่งมา จวนเซวียว่างเปล่าแล้ว ข้าวของทั้งหมดกองไว้ที่ประตูหลัง เหมือนกับว่าเซวียฮูหยินอาจกลับไปบ้านเกิดในอีกไม่กี่วัน

แต่เฉินฉางเซิงได้ขอไม่ให้นางจากไป

เซวียฮูหยินเข้าใจเจตจำนงของเขา เพราะเขาเข้าใจเจตจำนงของนาง

หลังจากเงียบไปนาน นางก็ยิ้มออกมาได้อย่างยากลำบากอยู่บ้าง “ก็ได้ ข้าจะอยู่รอดูที่นี่”

เฉินฉางเซิงตอบ “ฮูหยินจะได้เห็น”

……

            ……

หลังจากจวนเซวียถูกยึด ก็ส่งคนรับใช้ทั้งหมดออกไป ไม่ว่าจะเป็นคนจากสายหลักหรือสายย่อย ใครที่ไม่เกี่ยวข้องล้วนถูกส่งกลับบ้านเกิดเป็นการชั่วคราว ในช่วงนี้คนที่เหลืออยู่ในจวนคือเซวียฮูหยิน สาวใช้คนหนึ่งกับพ่อบ้านชรา ช่างดูวังเวง หากเป็นไปตามความตั้งใจของเซวียฮูหยิน แม้แต่หญิงรับใช้กับพ่อบ้านชราก็คงจากไปแล้ว อย่างไรก็ตาม นางไม่อาจโน้มน้าวพวกเขาได้

หญิงรับใช้กล่าว “เมื่อเราต้องจัดงานศพ ไม่ว่าจะเรียบง่ายเพียงไร ก็ต้องซื้อของบางอย่าง อย่างน้อยก็ให้เราช่วยฮูหยินลดภาระลงบ้าง”

เซวียฮูหยินส่ายหน้ากล่าว “คนก็ถูกฝังไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องจัดงานศพหรอก”

พ่อบ้านกล่าว “ในเมื่อราชสำนักไม่พูดอะไร ก็คือพวกเขาเห็นด้วยอยู่เงียบๆ หลังจากนี้ก็คงจะมีคนสำคัญหรือพวกสหายเก่ามาทำความเคารพ เราต้องต้อนรับพวกเขา”

เขาคิดถึงสิ่งที่เคยทำในอดีต ซึ่งมีแต่กระตุ้นความเศร้าของเซวียฮูหยินเท่านั้น นางตอบอย่างเรียบเฉย “เจ้าคิดว่ามีคนกล้ามาหรือ”

พ่อบ้านคิด นายท่านเป็นวีรบุรุษแห่งยุค มีเพื่อนฝูงมากมายในจิงตู ตราบใดที่วังหลวงไม่ออกราชโองการอย่างชัดเจน ย่อมมีคนมา

เซวียฮูหยินกล่าว “หากเราจะจัดงานศพ แล้วเราจะหาเงินมาจากไหน”

พ่อบ้านคิดถึงปัญหานี้อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “สำหรับตอนนี้เราไม่อาจขายที่ดินที่ชานเมืองจิงตู แต่ร้านบนถนนตะวันตก…”

จวนเซวียในตอนนี้ไม่มีเงินให้ใช้อีกต่อไป หากพวกเขาต้องการจะจัดพิธีศพให้พอดูได้ ก็มีแต่ต้องขายสมบัติของครอบครัวที่ไม่ถูกยึดไป และต้องเป็นสมบัติที่ดีที่สุดจึงจะหาเงินได้มากพอ

ถนนตะวันตกเป็นส่วนที่รุ่งเรืองที่สุดในจิงตู และร้านรวงบนถนนสายนี้ก็ทำเงินมากมาย ไม่มีใครยินยอมที่จะขายมันออกไป

เห็นสีหน้าลังเลใจของฮูหยิน พ่อบ้านก็คิดว่านางไม่ยินยอมและกล่าวแนะนำ “เมื่อเรากลับไปยังบ้านเกิดท่าน ก็ไม่มีใครดูแลร้านแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเราต้องทิ้งมันไป เมื่อไม่คิดจะกลับมา ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เซวียฮูหยินก็ตอบ “อย่าได้ขายร้านนั้น”

พ่อบ้านตกใจอยู่บ้างและโน้มน้าวต่อไป “ฮูหยิน ท่านควร…”

เซวียฮูหยินส่ายหน้าและกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องใด แต่ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าไม่คิดจะไปจากจิงตู”

พ่อบ้านตกใจกับคำพูดนี้ยิ่งกว่า แต่ก่อนที่เขาจะมีเวลาได้พูด ก็ได้ยินฮูหยินกล่าว “อีกสองสามวันกลับบ้านไปนำพี่จิ่นกลับมา”

พี่จิ่นมีชื่อเต็มว่าเซวียเหยียจิ่น เป็นบุตรคนเดียวของเซวียเหอ พ่อบ้านได้ยินข่าวที่ว่านายรองเซวียเหอกำลังถูกนำตัวกลับมาจิงตู คงยากที่จะเลี่ยงความตายได้ ในตอนนี้พี่จิ่นเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเซวีย เมื่อวานซืนตอนที่เซวียฮูหยินรับรู้ราชโองการจากราชสำนัก นางก็ส่งเขากลับไปยังบ้านเกิดในคืนนั้น แล้วทำไมนางถึงเปลี่ยนใจนำเขากลับมา สุดท้ายแล้ว ก็เป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ เพราะไม่มีใครรู้ว่าอำนาจใหม่จะเปลี่ยนใจขึ้นมาเมื่อไหร่

เขากล่าวเสียงสั่น “ต่อให้พี่จิ่นกลับมา ก็ไม่มีใครดูแลร้านนั้นหรอก”

“พี่จิ่นเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเซวีย จะให้เขาเสียเวลาไปกับเรื่องธรรมดาได้อย่างไร เขากลับมาที่จิงตูเพื่อร่ำเรียน” เซวียฮูหยินกล่าวอย่างจริงจัง

พ่อบ้านบ่นอยู่ในใจ โรงเรียนไหนในจิงตูจะยอมรับทายาทตระกูลเซวีย ต่อให้เป็นโรงเรียนเอกชนทั่วไปก็ปิดประตูไม่รับพี่จิ่น

เซวียฮูหยินไม่บอกแผนในอนาคตออกไป นางกล่าวกับพ่อบ้าน “เจ้าก็วุ่นวายกับการจัดงานศพไปเถอะ เรื่องเงินก็ใช้นี่ไปก่อน หากยังไม่พอ เราจะคุยกันอีกครั้ง”

ว่าแล้ว นางก็ดึงปิ่นปักผมที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ออกมาจากผมส่งให้เขา

พ่อบ้านได้แต่รับคำสั่ง รับปิ่นปักผมทองคำแล้วออกจากจวนไป

หญิงรับใช้นำชามาถ้วยหนึ่งและกล่าว “ฮูหยิน โปรดจิบชาให้ชุ่มคอสักหน่อย”

เซวียฮูหยินจิบน้ำชาในถ้วย เห็นใบหน้าซีดเซียวสะท้อนบนน้ำชา นางก็ยิ้มออกมา

ต่างไปจากหลายวันที่ผ่านมา แม้ว่ารอยยิ้มในวันนี้จะยังคงเหนื่อยล้า แต่ก็กระจ่างใสอยู่บ้าง

จากนั้นนางก็รู้สึกว่าน้ำชาออกจะหวานอยู่บ้าง

หากมีเลือดในคอ ก็คงมีรสหวานเช่นกัน

นี่เป็นเรื่องที่นางกับเซวียสิ่งชวนเคยพูดกัน

ตอนนั้นพวกเขาเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ในวันที่สองตอนที่นางกำลังตรวจสอบรายการ นางตระหนักว่าบัญชีของตระกูลมีปัญหา มีเงินมากมายไหลไปผิดที่

กลายเป็นว่าเกิดข่าวลือมากมายขึ้นในจวนตอนนั้น

นางรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง ตอนทานข้าวเย็น นางก็ไม่อาจดื่มน้ำแกงได้ลง

เซวียสิ่งชวนไม่มีวิธีบอกความจริงกับนาง ตอนนั้นเองที่นางพบว่าสามีนางเป็นลูกที่รับมาเลี้ยง ว่าเขามีน้องชาย และน้องชายคนนั้นชื่อว่าโจวทง

เพื่อปลอบโยนนาง เซวียสิ่งชวนได้พูดคุยกับนางเกี่ยวกับเรื่องราวของคนอื่นและบอกนางถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจหลายอย่าง เขายังพูดกับนางเรื่องเกี่ยวกับสนามรบ อย่างเรื่องที่เลือดในลำคอมีรสหวาน

หากปิ่นทองปักเข้ามาในลำคอ ก็คงมีรสหวานเช่นกัน

เซวียฮูหยินคิด

นับจากเริ่มต้น นางไม่เคยคิดที่จะไปจากจิงตู

หลังจากฝังเซวียสิ่งชวน นางก็คิดที่จะฆ่าตัวตายตามเขาไป

จนกระทั่งเมื่อวานสิ่งต่างๆ จึงเปลี่ยนไป

นางไม่คิดที่จะตายอีก

นางตั้งใจที่จะอยู่ในจิงตูต่อไป เพราะนางปรารถนาจะเห็นโจวทงตายกับตาตัวเอง

นางจะเลี้ยงทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเซวียในจิงตู เพราะนางต้องการให้เขาเรียนที่สำนักฝึกหลวง

เสียงสะอื้นดังขึ้นจากนอกห้องโถง

หญิงรับใช้นำหญิงสูงศักดิ์ที่ดวงตาบวมเป่งเข้ามาในห้องโถง

หญิงสูงศักดิ์เข้ามาในห้อง โผเข้าสู่ตักของเซวียฮูหยิน ร้องไห้ไปกล่าวไป “ท่านแม่ พวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร”

เซวียฮูหยินมองไปที่บุตรีคนโตของนางซึ่งแต่งงานกับรองเจ้ากรมพิธีการด้วยสีหน้าสุขุม “เจ้าถูกไล่ออกมาหรือ”

หญิงสูงศักดิ์สะดุ้งจากนั้นก็ตอบอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด! ไม่มีทางที่ตระกูลเว่ยจะกล้าไล่ข้าออกมา!”

เซวียฮูหยินถาม “ในเมื่อไม่ได้ถูกไล่ออกมา แล้วร้องไห้ทำไม”

ดวงตาหญิงสูงศักดิ์แดงขึ้นอีกครั้ง “พวกเขาปฏิบัติต่อข้าไม่ดี”

เซวียฮูหยินตอบ “หากบ้านสามีเจ้าไม่ยอมรับเจ้าก็กลับมา”

หญิงสูงศักดิ์อับอายอยู่บ้าง “หลายวันมานี้พ่อแม่สามีตีสีหน้าน่าเกลียดแต่เขา…ยังทำตัวสุภาพดีอยู่”

เซวียฮูหยินกล่าวอย่างใจเย็น “สุภาพ? หากเขายังคงสุภาพอยู่ เช่นนั้นพวกเจ้าสองคนก็หย่ากันเถอะ”

หญิงสูงศักดิ์ลังเลอยู่บ้าง “แล้วลูกล่ะ นอกจากนี้ เขาก็ปฏิบัติต่อข้าด้วยดี เมื่อเรื่องซาลงแล้ว อนาคตของพี่จิ่น…”

เซวียฮูหยินตอบ “ในอนาคต หากพี่จิ่นจะเข้าสู่กองทัพก็ไม่เป็นไร รับใช้ราชสำนักก็ดี ดูแลร้านก็ไม่เลว หากเจ้าจะแต่งงานใหม่ก็ไม่เป็นไร คนเราจะหาทางใช้ชีวิตไม่พบได้อย่างไรกัน”

หญิงสูงศักดิ์ครุ่นคิดกับคำพูดนี้ จากนั้นก็บังคับตัวเองให้พยักหน้า “ท่านแม่ คำพูดนี้มีเหตุผล ข้าจะพูดเช่นเดียวกันนี้กับเขา”

……