ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 20 ขุดหลุม

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

โจวทงมองไปยังชายวัยกลางคนตรงหน้าเขาแล้วหัวเราะ เขายิ้มลึกล้ำยากหยั่งถึง “นี่คือคำพูดของเซวียฮูหยินเช่นนั้นหรือ”

ชายวัยกลางคนมีสีหน้าไม่สบายใจอยู่บ้าง “ภรรยาข้าอาจเป็นคนใจร้อน แต่ข้าไม่คิดว่านางจะโกหกเพราะความโกรธ”

“ขอบคุณใต้เท้ารองเจ้ากรมที่มาบอกเรื่องนี้กับข้า”

ท่าทีโจวทงจริงใจ ดวงตาอ่อนโยน

แต่เมื่อรองเจ้ากรมพิธีการจากไป ดวงตาเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปแค่ไม่กี่วันหลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น ในฐานะหนึ่งในผู้มีส่วนร่วม เขาย่อมไม่ลืมเลือน

เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีและอุทิศตัวก็ไม่ลืมเช่นกัน

หากพูดอย่างเจาะจง จุดเริ่มต้นของคืนนั้นก็คือประกายดาบที่ส่องสว่างขึ้นในลานต้นไห่ถัง เขาเกือบตายด้วยมือเฉินฉางเซิง

หากมิใช่เพราะดาบนั้น บางทีสถานการณ์อาจไม่พัฒนาไปเช่นนั้น บทบาทของเขาในคืนนั้นอาจแตกต่างไปอย่างมาก

เซวียสิ่งชวนเป็นเพื่อนคนเดียวของเขาบนโลกนี้

เซวี่ยสิ่งชวนเป็นคนเดียวที่เชื่อใจเขาในโลกนี้

ดังนั้นเขาจึงถูกพิษจนตาย

วันนั้นในวังหลวง เขาได้รับการรักษาด้วยวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ ซางสิงโจวเป็นคนรักษาเขาด้วยตัวเอง เขาแทบจะฟื้นตัวจากการบาดเจ็บอย่างสมบูรณ์

ในอนาคต เขาอาจมีสถานะสูงกว่าเดิม มีอำนาจมากกว่าเดิมในคณะผู้ปกครองชุดใหม่นี้ ตำแหน่งของเขายิ่งมั่นคงไม่สั่นคลอน

เพื่อประกาศและพิสูจน์เรื่องนี้กับโลก ศพเซวียสิ่งชวนจึงถูกโยนทิ้งไว้ริมถนนหลวงห้ามไม่ให้กลบฝัง

ในที่สุด เฉินฉางเซิงก็ฝังศพเซวียสิ่งชวน เซวียฮูหยินไม่คิดที่จะไปจากจิงตูอีกต่อไป แล้วเจ้าเด็กที่เรียกว่าพี่จิ่นนั่นก็ถูกนำตัวกลับมา จวนเซวีย…ถึงกับวางแผนจะจัดงานศพ!

แน่นอน โจวทงรู้ว่าทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร พวกมันกำลังตบหน้าเขา

ต้นไห่ถังได้กลายเป็นเศษไม้ไปแล้ว ลานบ้านพังยับเยิน สิ่งก่อสร้างของกรมอาญาบนพื้นดินก็ถูกทำลายหมด มีแต่คุกใต้ดินที่ยังอยู่ในสภาพดี

โจวทงยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง มองขึ้นไปอย่างเงียบงันยังเมฆบางบนท้องฟ้า ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ

ผู้ใต้บังคับบัญชามองไปที่สีหน้าเดียวดายของโจวทงและกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ใต้เท้า…”

“หน้าข้าหนามากตลอดมา ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้”

โจวทงกล่าวอย่างเรียบเฉย “เจ้าสำนักเฉินตบแก้มซ้ายข้าแล้ว หากเขายังสนใจ ข้าก็จะหันหน้าให้เขาตบแก้มขวาจนเขาพอใจ”

ผู้ใต้บังคับบัญชาดูเหมือนจะไม่ยอมรับเรื่องนี้ “เพราะเหตุใดกัน”

โจวทงดึงสายตากลับมาจากท้องฟ้าและตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย “เพราะเขาเป็นศิษย์เจ้าสำนักซาง เป็นศิษย์น้องฝ่าบาท เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งสังฆราช เขามีสิทธิ์ทุกประการที่จะตบหน้าข้า”

การประจานศพของเซวียสิ่งชวนและพวกทหารระดับสูงของกองทัพอวี่หลินบนท้องทุ่งเป็นราชโองการจากราชสำนัก ใครจะหาญกล้าไม่ทำตาม

เฉินฉางเซิงกล้า แล้วใครกล้าใช้เรื่องละเมิดกฎหมายของต้าโจวหรือต่อต้านราชโองการมาเล่นงานเขา

เพราะเหตุใด ดังเช่นที่โจวทงกล่าวไว้ หากราชสำนักไม่ต้องการจะตัดขาดกับนิกายหลวงในทันทีที่โค่นล้มจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ต้องทนเอาไว้เท่านั้น

ทุกคนในราชสำนักต้องทนเอาไว้ และโจวทงก็เป็นหนึ่งในพวกเขา ต่อให้เขาเป็นคนไม่สำคัญก็ตาม

ผู้ใต้บังคับบัญชาถามด้วยความโมโห “แล้วเราต้องทนไปอีกนานเพียงไร”

โจวทงเงียบไปแล้วจึงกล่าว “แม้แต่เหนียงเหนียงยังตายได้ ทุกคนก็ตายได้”

เขาไม่ได้พูดถึงเฉินฉางเซิง แต่เป็นสังฆราชที่ได้ยอมรับตรงหน้าสุสานเทียนซูว่าเขาแก่และกำลังจะตาย

ในวันที่สังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว บางทีเฉินฉางเซิงอาจขึ้นเป็นสังฆราชคนต่อไปจริงๆ ทว่าไม่มีใคร ไม่ว่าราชสำนักหรือซางสิงโจวหรือพวกนิกายหลวง จะยอมให้เขาทำตัวเป็นผู้เยาว์ต่อไป แม้ว่าเขาจะยังเยาว์ก็ตาม นี่คือการแบกรับสวมมงกุฎเทพและรับน้ำหนักของมัน

โจวทงแต่ต้องทนไปจนถึงตอนนั้น

“ให้เขาตบจนพอใจ เขาไม่ได้ฆ่าคนเสียหน่อย”

มีคนมากมายในโลกที่ต้องการให้โจวทงตาย

มีขุนนางใหญ่มากมายในคณะผู้ปกครองใหม่ จงซานอ๋องและอ๋องอีกหลายองค์ล้วนต้องการแล่เนื้อเถือหนังเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไร

เฉินฉางเซิงสามารถใช้วิธีมากมายเพื่อแสดงท่าทีต่อความไร้ยางอายของโจวทง สามารถเปลี่ยนวิธีที่ใช้ตบหน้าเขา แต่ก็ไม่อาจฆ่าเขา

ดังที่เคยกล่าวหลายครั้งก่อนหน้านี้ โจวทงคือตัวแทนของคำสัญญาที่ซางสิงโจวมีต่อโลกนี้

ผู้ใต้บังคับบัญชายังคงไม่สบายใจอยู่บ้าง “แล้วงานศพที่จวนเซวียจัดขึ้นเล่า”

“จัดงานศพ? ข้าว่ามันเหมือนกับการขุดหลุมมากกว่า” โจวทงหัวเราะ จากนั้นก็กล่าวกับผู้ใต้บังคับบัญชา “ไม่สำคัญหรอกว่าลานบ้านจะถูกสร้างใหม่จนเหมือนเดิมหรือไม่ แต่ข้าต้องการให้มีต้นไห่ถังที่นี่ เหมือนกับต้นไห่ถังเมื่อก่อนหน้านี้ จำไว้ว่าขุดหลุมให้ลึก ต้นไม้จะได้งอกงาม”

สำหรับลานบ้านเล็กๆ ในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งแห่งนี้ ต้นไห่ถังมีความสำคัญมาก

มีเป้าหมายเดียวกับที่เขาทำกับโลกนี้

พวกมันล้วนเป็นสัญลักษณ์

……

……

การสร้างคุกโจวขึ้นใหม่เป็นโครงการที่มีปัญหาอย่างมาก กรมโยธาธิการและที่ว่าการจิงตูได้ส่งแรงงานและช่างฝีมือชั้นยอดมามากมาย

การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น ในเวลาแค่สองวัน โครงสร้างก็ถูกสร้างเสร็จแล้ว แต่เวลาก็ยังกดดันอย่างมาก แรงงานยังต้องทำงานอย่างเหนื่อยยากแม้ว่าจะค่ำมืดแล้วก็ตาม

หลุมสำหรับต้นไม้ถูกขุนที่ฐานของกำแพงลานบ้าน หลุมลึกอย่างยิ่งเพื่อให้แน่ใจว่าต้นไห่ถังชนิดใดก็สามารถเติบโตได้เป็นอย่างดีข้างในนั้น

ในยามที่ความมืดลึกล้ำที่สุด เหล่าแรงงานและช่างฝีมือก็ได้พักในที่สุด

ไม่มีใครสังเกตร่างที่ออกมาจากกำแพงของลานบ้านและกระโดดลงไปในหลุม

เสียงอ่อนนุ่มราวกับมีดที่ตัดลงไปในก้อนเต้าหู้ดังออกมาจากในหลุม

ประกายแสงเย็นเยียบจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากนิ้วมือของร่างนั้น แต่เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่อาวุธ

ผนังดินของหลุมนั้นเหมือนกับเต้าหู้ ส่งเสียงเบาๆ ยามที่ถูกตัด

แล้วร่างนั้นก็หายไป

.……

……

.……

……

จวนเซวียจัดงานศพ

โถงพิธีศพอยู่ภายในจวน ไม่อาจมองเห็นได้จากถนน มีแต่ธงขาวผืนหนึ่ง นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน

ไม่มีเสียงร้องไห้คร่ำควรญหรือดนตรี ช่างเยือกเย็นเปลี่ยวร้างอย่างที่สุด

ไม่มีเสียงดนตรีเพราะไม่มีนักดนตรีคนใดกล้ามาทำงานที่จวนเซวีย

ไม่มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญเพราะไม่มีแขกมาแสดงความเคารพ ดังนั้นไม่ว่าจริงใจหรือแสร้งทำ ผู้คนในจวนก็ไม่อาจร้องไห้เศร้าโศกไปได้ตลอดกาล

นี่เป็นภาพที่คนมากมายคาดเดาเอาไว้แล้ว

ศพที่เหลือของเซวียสิ่งชวนถูกเฉินฉางเซิงฝังไปแล้ว

งานศพในจวนเซวียย่อมมีความหมายต่างไปเช่นกัน

บางคนถึงกับเชื่อว่านี่เป็นการแข่งขันระหว่างราชสำนักกับนิกายหลวง ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ ซางสิงโจวกับเฉินฉางเซิง

หากมองผ่านงานศพนี้ก็จะเห็นได้ว่าลมในจิงตู หรือบางทีอาจทั่วทั้งต้าลู่ กำลังพัดไปทางใด

จากบางมุมมอง ใครก็ตามที่มาเคารพศพเซวียสิ่งชวนก็เหมือนเคาพรศพจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

มีบางคนที่ยังภักดีต่อการปกครองของเทียนไห่ แต่จะมีใครกล้าแสดงออกมา

ในโถงพิธีศพอันเย็นเยียบ พ่อบ้านมองไปยังเซวียฮูหยินและกล่าวอย่างเสียใจ “ดูเหมือน…ไม่มีใครมาแล้ว”

อย่าว่าแต่พวกขุนนางในราชสำนัก แม้แต่แม่ทัพนายกองในกองทัพ เพื่อนเก่าเหล่านั้น หรือแม้แต่พระราชวังหลีก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอันใด

เว้นเพียงแค่ราชันย์แห่งหลิงไห่กับนักพรตซื่อหยวนที่มาในตอนเช้าตรู่เพื่อแสดงความเคารพ

สองผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงอันที่จริงแล้วมีความสัมพันธ์กับเซวียสิ่งชวนค่อนข้างธรรมดา แต่ทุกคนรู้ว่าพวกเขาเป็นเหมือนเซวียสิ่งชวน เป็นสนับสนุนผู้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่อย่างแข็งขัน

เซวียฮูหยินมองไปยังประตูจวนที่เปลี่ยวร้างและตอบอย่างใจเย็น “ต้องมีคนที่อยากมา ถึงแม้ว่าจะไม่สะดวกนักที่พวกเขาจะมาได้ อย่างน้อยเราก็ต้องรอ”

ใช่แล้ว มีคนมากมายในจิงตูที่อยากมาแสดงความเคารพต่อเซวียสิ่งชวน ด้วยมิตรภาพที่มีกับเซวียสิ่งชวน หากพวกเขาไม่มาก็ไม่สมเหตุผลอย่างมาก

แต่ด้วยเหตุผลมากมาย พวกเขาไม่กล้ามา จึงถูกบีบให้ตกอยู่ในสถาพที่ยากลำบาก

เช่นที่โจวทงพูดไว้ จวนเซวียจัดงานศพก็เหมือนกับขุดหลุมให้คนพวกนั้น

พวกเขาจะโดดลงไปหรือไม่

เวลาผ่านไปช้าๆ

ดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนผ่านท้องฟ้า

เวลานั้นก็มาถึง

จวนเซวียก็ยังคงเปลี่ยวร้าง ยังไม่มีใครมา