ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 21 เข้าสู่จวนเซวีย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ลานบ้านภายในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพดั้งเดิม หลุมริมกำแพงถูกขุดจนลึกมากแล้ว แต่ต้นไห่ถังยังไม่ถูกส่งมา

การหาต้นไห่ถังที่เหมือนกับต้นเดิมทุกกระเบียดนิ้วไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่กับกรมอาญาที่มีอำนาจแผ่ไปทุกชนชั้นก็ตาม

โจวทงเองก็รู้ดีถึงจุดนี้ แต่เขาไม่แสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อยกับคนที่อยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะหลังจากเขาได้ยินรายงานครั้งแล้วครั้งเล่า

“เว่ยซื่อหลังไม่ได้กลับไป น่าจะเกิดการทะเลาะกันครั้งใหญ่ที่จวนเมื่อคืนนี้”

“เมื่อตอนที่ใต้เท้าหวงจากสำนักดาราศาสตร์กำลังจะออกไป เขาพบว่ารถม้าของตระกูลเขาถูกคนยืมไป คนที่ยืมเป็นญาติของภรรยาเขาที่บอกว่าจะเดินทางกลับไปยังเมืองอู๋”

“เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยขึ้นรถม้าไปแล้ว แต่เขาถูกผู้พิทักษ์ของตระกูลหยุดไว้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง สุดท้ายแล้วมหาเสนาบดีเฉิงอู่ก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนที่เรื่องจะสงบลง”

“ไม่มีเสียงจากจวนเซียงอ๋อง แต่เฉินหลิวอ๋องก็ยังไม่ปรากฏตัวตลอดทั้งวัน จากการวิเคราะห์ของเรา ท่านอ๋องคงถูกขังเอาไว้ในห้องบูชาหลังจวน”

นับตั้งแต่เขาได้รู้ว่าเมื่อสองวันก่อนเฉินฉางเซิงได้ปรากฏตัวเพื่อฝังศพเซวียสิ่งชวน โจวทงก็มีสีหน้าไม่น่าดู โดยเฉพาะหลังจากเขาได้ยินว่าจวนเซวียจะจัดงานศพ

แม้ว่าเขาจะดูสงบมากอยู่เสมอ แต่ผู้ใต้บังคับบัญชากับคนมากมายในวังก็บอกได้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้ยินข่าวนี้ สีหน้าก็ดีขึ้นและความเย็นชาในดวงตาก็ค่อยๆ จางลง

ไม่มีใครกล้าไปแสดงความเคารพที่จวนเซวีย ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดเอาไว้แล้ว

จวนเซวียจัดงานศพ ให้โอกาสคนมากมายในจิงตูได้แสดงความรู้สึกออกมาและยังเป็นการขุดหลุมอีกด้วย

แม้ว่าจะเป็นการแสดงความเคารพต่อเซวียสิ่งชวน แต่ในความจริงแล้วก็เหมือนเป็นการแสดงความเคารพต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

วันนี้ราชสำนักกำลังจับตาดูจวนเซวีย แล้วใครจะกล้าปรากฏตัว

“เฉินฉางเซิงเล่า” โจวทงพลันถามขึ้น

ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบ “ไม่มีใครออกมาจากสำนักฝึกหลวงในช่วงนี้”

“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าสำนักเฉินของเราจะใจเย็นเช่นนี้ ไม่คิดว่าเขาจะรู้จักปทัฏฐานอย่างนี้”

โจวทงเอามือไพล่หลัง เดินออกจากลานบ้านพร้อมกับกล่าวว่า “แต่สถานการณ์นี้ก็ทำให้คนอดทอดถอนใจไม่ได้ ด้วยความไม่แน่นอนของความสัมพันธ์ และนอกจากข้าแล้ว ยังมีใครอีกที่จะมีมิตรภาพที่แท้จริงกับเขา”

ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนล้วนตกตะลึงกับคำพูดนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมใต้เท้าถึงได้พูดเช่นนี้

โจวทงหยุดแล้วหันไปหาพวกเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทั่วทั้งโลกรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของข้า พวกเจ้าไม่รู้หรือ”

ผู้ใต้บังคับบัญชามองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าใต้เท้า ก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นเยียบขึ้นมา พวกเขางงงันไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร

……

……

ริมทะเลสาบในสำนักฝึกหลวง เหมาชิวอวี่มองดูเฉินฉางเซิงและกล่าว “ตอนนี้พอดูแล้วก็เหมือนว่าข้าจะเป็นกังวลเกินไป เจ้าเป็นคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อนเสมอ”

“เช่นนั้นท่านมาที่นี่ตั้งแต่หัวรุ่งก็เพื่อดูข้าอย่างนั้นหรือ” เฉินฉางเซิงมองไปที่ทะเลสาบและกล่าว “แต่อันที่จริงแล้วข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของท่านเท่าไร”

เหมาชิวอวี่อธิบาย “ที่ท่านทำเมื่อสองวันก่อนก็เพียงพอแล้ว หากทำมากกว่านั้นก็คงจะเกินสมควรไป”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วก็ถามกลับไป “ใครเป็นคนกำหนดปทัฏฐาน ใครเขียนกฎพวกนี้เอาไว้”

เขารู้ว่าวันนี้นอกจากนักพรตซื่อหยวนกับราชันย์แห่งหลิงไห่ ก็ไม่มีใครไปงานศพที่จวนเซวียอีกแล้ว

“ปทัฏฐานและกฎเกณฑ์ล้วนมาจากเจตจำนงที่เป็นเอกลักษณ์หาใดเสมอเหมือน”

เหมาชิวอวี่มองดูเขาและกล่าว “ในขณะที่ใต้เท้าสังฆราชยังมีชีวิตอยู่ นิกายหลวงมีเพียงแค่เจตจำนงเดียว ดังนั้นจึงมีแค่เสียงเดียว แต่เมื่อใต้เท้าสังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาวแล้วล่ะ เมื่อท่านรับสืบทอดตำแหน่งสังฆราช ท่านที่เพิ่งอายุไม่ถึงยี่สิบปี ย่อมเป็นการยากที่เจตจำนงของท่านจะกลายเป็นของนิกายหลวง รังแต่คงอยู่ร่วมกับเจตจำนงของผู้อื่น”

คำพูดนี้ออกจะกว้างไปหน่อยแต่ก็ชัดเจนยิ่ง การสืบอำนาจนิกายหลวงจะราบรื่นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สืบทอดและวิธีการ มิใช่เพียงแค่เจตจำนงของสังฆราชเท่านั้น

ความเป็นผู้ใหญ่ ความสำรวม ความเข้าใจในปทัฏฐาน ความอดทนและความรับผิดชอบ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความสามารถและวิธีที่จะทำให้รับตำแหน่งได้อย่างมั่นคง

เหมาชิวอวี่กล่าวต่อ “สุขภาพใต้เท้าสังฆราชไม่สู้ดีนัก”

เฉินฉางเซิงตอบ “ในอีกไม่กี่วัน ข้าจะไปยังพระราชวังหลีเพื่อพบเขา”

เหมาชิวอวี่ตอบ “ใต้เท้าสังฆราชคงพอใจมาก”

เฉินฉางเซิงไม่ตอบเป็นเวลาครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ข้าไม่แน่ใจนักว่าอาจารย์อาจะยินดีที่ได้พบข้า”

เหมาชิวอวี่ตอบ “ไปทีละก้าว ท่านกำลังเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความรับผิดชอบและการวางเฉย นี่ก็เป็นการบ่งบอกถึงการเติบโตด้วยตัวเอง”

เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “อันที่จริงท่านพูดไม่ถูกนัก ข้าไม่ไปจวนเซวียวันนี้ไม่ใช่เพราะข้าเลือกที่จะวางเฉย หรือเพราะข้าเลือกที่จะอยู่ในปทัฏฐานของความรับผิดชอบ ทว่าข้าแค่รู้สึกว่าความไม่แน่นอนของสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้านัก อย่างที่ท่านรู้ ข้านั้นไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับเซวียสิ่งชวน”

ใช่แล้ว ต่างจากสิ่งที่โจวทงกับเหมาชิวอวี่คิดชื่นชม เฉินฉางเซิงไม่ได้เลี่ยงการไปจวนเซวียเพราะรู้จักอดทนหรือปทัฏฐาน เขาแค่รู้สึกว่าเขาไม่สนิทกับเซวียสิ่งชวน จึงไม่จำเป็นต้องไป นอกจากนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเซวียฮูหยินและคนที่กำลังเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้าเหล่านั้น

“ข้าไม่ถนัดเรื่องปลอบโยนคนอื่น” เขากล่าวกับเหมาชิวอวี่

ตอนนั้นเองที่ซูม่ออวี๋พลันเดินเข้ามา

เหมาชิวอวี่ถาม “เกิดอะไรขึ้น”

ซูม่ออวี๋คำนับจากนั้นกล่าวกับเฉินฉางเซิง “โจวทงนำคนเดินทางไปจวนเซวีย”

เฉินฉางเซิงมองดูท้องฟ้าจากนั้นกล่าว “จวนเซวียจะทำการเคลื่อนย้ายโลงศพเวลาไหน”

เหมาชวิอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่บ้าง “หากท่านเปลี่ยนเจตนาเพราะว่าเจตนาของผู้อื่น นี่ออกจะขัดกับเต๋าของท่าน”

นี่เป็นคำแนะนำและยังเป็นคำเตือนอีกด้วย

เฉินฉางเซิงตอบ “ใจคนย่อมเปลี่ยนได้เสมอ และการยอมรับความเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นการทำตามใจที่แท้จริง”

เหมาชิวอวี่ถาม “เหตุใดจึงเปลี่ยน”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าไม่สนิทกับเซวียสิ่งชวน ข้าจึงไม่ไปยังจวนเซวีย แต่ข้าสนิทกับโจวทงมาก ข้าจึงจะไปในตอนนี้”

……

……

จวนเซวียนั้นอ้างว้างและหมองเศร้า ธงขาวพลิ้วไหวไปตามลมฤดูใบไม้ร่วงดูช่างโดดเดี่ยวน่าสังเวช

อ้างว้างและหมองเศร้ามิได้หมายความว่าไม่มีผู้ใดอยู่ ที่หัวถนนและท้ายซอยมีคนมากมายจ้องมองมาที่ประตูจวนเซวียจากระยะไกล

สายตาบางคู่เป็นของคนไม่กลัวตายที่ชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้านในจิงตู แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นของตัวแทนขุมอำนาจต่างๆ ในจิงตู

ตั้งแต่เช้ามาจนถึงตอนนี้ ไม่มีแขกแม้แต่คนเดียวมาถึงหน้าประตูจวนเซวีย ไม่มีแม้แต่นกกระจอก

พลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากถนน ตามมาด้วยเสียงสายลมพัดเสื้อผ้า

ขุนนางกับยอดฝีมือกรมอาญาหลายสิบคนและทหารม้าเกราะแดงจำนวนมากคุ้มกันโจวทงมายังจวนเซวีย

ในเวลาอันสั้น ประตูจวนเซวียก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่ก็ไม่มีเสียงอันใด ทั้งหมดหยุดอยู่ในความเงียบงัน

ท้องถนนเงียบงันจนเกินไป เงียบจนแม้แต่เสียงเผากระดาษด้านหลังประตูยังได้ยิน

โจวทงคว้างผ้าขาวจากผู้ใต้บังคับบัญชาและมัดไว้กับเอว หลังจากนั้นก็เดินเข้าสู่จวนเซวีย

พ่อบ้านจวนเซวียเห็นภาพนี้ ก็อยากจะหยุดเอาไว้แต่เขาไม่กล้า ขาอ่อนจนไม่อาจก้าวออก

หญิงงามในชุดไว้ทุกข์ขวางทางเขาแล้วตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้ายังมีหน้ามาอีกหรือ”

โจวทงมองนางและถาม “เว่ยฮูหยินกลับมาแล้วหรือ”

เขามองไปยังจวนที่เปล่าเปลี่ยวและส่ายหน้ากล่าวอย่างเศร้าสร้อย “จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ ข้ามาจุดธูปให้พี่เซวีย เขาจะได้ไม่กลับคืนสู่ทะเลดวงดาวอย่างเดียวดายเกินไป”

ผู้หญิงคนนั้นตะโกนกลับไปด้วยใบหน้าขาวซีด “ท่านพ่อไม่อยากเห็นคนทรยศอย่างเจ้า!”

“มิตรภาพที่ข้ากับขุนพลเซวียนั้นไม่ใช่สิ่งที่หญิงอย่างเจ้าจะเข้าใจได้”

กล่าวแล้วโจวทงก็เดินเข้าไปในจวนเซวียอย่างใจเย็นราวกับว่าเดินกลับบ้าน

ตลอดเหตุการณ์นี้ เขาไม่ได้มองไปที่เว่ยฮูหยินด้วยซ้ำ

ขุนนางจากกรมอาญาผลักเว่ยฮูหยินไปด้านข้าง ไม่ปล่อยให้นางเข้าใกล้โจวทง

ครั้นเห็นศัตรูที่นางเกลียดเดินเข้าไปในบ้านนางแล้วคิดถึงดวงวิญญาณบิดาที่คงไม่อาจสงบได้ เว่ยฮูหยินก็ทั้งโศกเศร้าทั้งเดือดดาล ด้วยไร้กำลังจะหยุดยั้งเขา นางได้แต่ตะโกนด่าสาปแช่ง

โจวทงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำด่าหยาบคายที่เข้าหู รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง “บิดาเจ้าเป็นวีรบุรุษแห่งยุค เหตุใดจึงเลี้ยงหญิงปากร้ายอย่างเจ้าขึ้นมาได้”

ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งคว้าก้อนผ้าขึ้นมาและยัดเข้าใส่ปากเว่ยฮูหยิน