ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 22 ตายไร้ที่ฝัง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

มาถึงจวนเซวีย โจวทงก็พูดด้วยน้ำเสียงเช่นผู้อาวุโส โดยเฉพาะตอนที่เขาดุว่าเว่ยฮูหยิน

ยามที่เขายืนอยู่ในจวนก็ดูผ่อนคลายอย่างมาก ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ดี นี่เป็นเพราะเขามาที่นี้หลายครั้งแล้ว เหมือนกับผู้อาวุโสกลับมาหลังจากทำธุระข้างนอกนานหลายปี

โดยสรุปก็คือมีความรู้สึกเหมือนกับว่าที่แห่งนี้คือบ้านของโจวทง

นี่ทำให้ผู้คนโกรธจัดเพราะทุกคนรู้ว่าประมุขของจวนเซวียถูกคนผู้นี้วางยาพิษจนตายอย่างไร้เมตตาและไร้ยางอาย

พ่อบ้านจวนเซวียก้าวออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมไม้กวาด ตั้งใจจะชิงตัวคุณหนูกลับมาจากมือเจ้าหน้าที่กรมอาญาพวกนั้น แต่ก็ถูกผลักล้มลงกับพื้นอย่างแรง

หญิงรับใช้กรีดร้องอย่างแตกตื่น วิ่งเข้าไปในจวน

เซวียฮูหยินรีบรุดมาเห็นภาพนี้ ก็ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “โจวทง เจ้าคิดจะทำอะไร”

โจงทงยืนอยู่กลางลานบ้านเงียบๆ มองดูพืชพรรณสีเขียวที่เติบโตอยู่ตรงหน้า ความทรงจำมากมายเริ่มฉายขึ้นมาในใจและทำให้เขาเปี่ยมไปด้วยความเศร้า

อันที่จริงแล้วแม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่และต้องการจะทำอะไร ตอนนี้เองที่เขาเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเขาหวังจะได้เห็นหน้าคนผู้นั้นอีกครั้งเท่านั้น

เขาหันไปหาเซวียฮูหยินและกล่าวช้าๆ “ข้าแค่อยากจุดธูปแล้วก็จะไป”

เสียงเซวียฮูหยินยังคงสั่นอยู่บ้าง แต่สีหน้านางหนักแน่นทีเดียว “เจ้ารู้ว่าเป็นไปไม่ได้”

โจวทงตอบอย่างเฉยชา “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินใจได้”

ภาพช่วงหลายวันก่อนผุดขึ้นมา พิษในยาถ้วยนั้นและซากศพที่ถูกทิ้งไว้ข้างถนนหลวง เหล่านี้ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับจวนเซวียและก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย

คนในจวนเซวียไร้อำนาจตัดสินไม่ว่าเรื่องอยู่หรือตาย ได้รับเกียรติหรือเหยียดหยาม พวกเขาได้แต่ยอมรับอย่างสิ้นหวังหรือรอให้มีใครมาช่วย

แต่ไม่มีใครกล้ามายังงานศพที่จัดขึ้นในจวนเซวียวันนี้ แล้วใครจะมาช่วยพวกเขาจากความสิ้นหวัง ความหมดอาลัยตายอยาก

“หลีกทางด้วย”

เสียงหนึ่งดังมาจากนอกประตู

ร่างของโจวทงแข็งทื่อ

เจ้าหน้าที่จากกรมอาญาหันหน้ามาพร้อมกันพลางคิด มีคนกล้ามาด้วย?

“เกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนี้ เจ้ามายืนขวางหน้าประตูบ้านคนอื่นทำไม”

เสียงหญิงสาวดังตามมาในทันที

โจวทงหันหันกลับมาช้าๆ มองไปที่ประตู หรี่ตาลง

เขาต้องการจะปกปิดอารมณ์ที่แท้จริงในใจ ทว่าภาพตรงหน้าประตูนั้นออกจะตระการตา

มีคนหนุ่มสาวมากมายอยู่บนถนน

คนกลุ่มนี้มีนักเรียนทั้งชายหญิง บ้างก็มีดวงตาเฉลียวฉลาด บ้างก็ซื่อสัตย์เรียบง่าย บ้างก็ทะนง และบ้างก็มีสีหน้ากังวล แต่พวกเขาล้วนมีลักษณะร่วมกันอย่างหนึ่ง พวกเขาอายุน้อยมาก ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต

พลังชีวิตที่ความรู้สึกทั้งหลายและอารมณ์นับไม่ถ้วนไม่อาจปกปิดได้

พลังชีวิตนี้ช่างเจิดจ้าจนแทบจะปวดตาสำหรับโจวทง บางทีคงเพราะเขาแก่แล้ว

ในจิงตู ที่ซึ่งมีคนหนุ่มสาวเปี่ยมด้วยพลังชีวิตมากที่สุดก็คือสำนักไม้เลื้อยทั้งหก

สถานการณ์ช่วงหลังมานี้ตึงเครียดอย่างมาก ดังนั้นประตูสำนักไม้เลื้อยทั้งหกจึงปิดสนิท มีข้อยกเว้นเดียวก็คือสำนักฝึกหลวง

คนหนุ่มสาวเหล่านี้ก็คือนักเรียนของสำนักฝึกหลวง

เฉินฉางเซิงกับซูม่ออวี๋ยืนอยู่ด้านหน้าของฝูงชน

ครั้นเห็นภาพนี้ เจ้าหน้าที่กรมอาญากับพวกตัวแทนจากขุมอำนาจต่างๆ ที่ซุ่มดูอยู่ก็ตกตะลึงไป

เฉินฉางเซิงมาจริงๆ

เขามาเพื่อแสดงความเคารพเซวียสิ่งชวน

เขามาเพื่อตบหน้าโจวทงและราชสำนัก

เฉินฉางเซิงเดินตรงไปยังจวนเซวียราวกับว่าเจ้าหน้าที่กรมอาญาไม่ได้ขวางทางอยู่

พวกคนหนุ่มสาวจากสำนักฝึกหลวงก็เดินตามไป

เจ้าหน้าที่ขวางประตูจวนเซวียอยู่ หากไม่หลีกทาง ก็เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะต้องปะทะกัน

การเข้าปะทะกันก็มีความเป็นไปได้ว่าจะก่อให้เกิดการเสียดทาน

เมื่อการเสียดทานเพิ่มขึ้นก็จะกลายเป็นการต่อสู้

การต่อสู้ที่บานปลายจะกลายเป็นสงคราม

จิงตูที่เพิ่งสงบจะตกอยู่ในความปั่นป่วนอีกครั้งอย่างนั้นหรือ

โจวทงไม่พูดอะไร ดังนั้นเจ้าหน้าที่กรมอาญาก็ไม่มีเจตนาที่จะยอมหลีกทาง

นักเรียนของสำนักฝึกหลวงก็ไม่มีเจตนาที่จะยั้งเท้า เพราะเฉินฉางเซิงยังคงเดินต่อไป

โจวทงไม่คาดว่าเฉินฉางเซิงจะพลันเปลี่ยนใจและมายังจวนเซวีย แต่เขามาแล้วจะทำไม

กองกำลังลับราชสำนักต้าโจวกว่าครึ่งอยู่ในมือของเขา เป็นพลังที่น่ากลัวอย่างมาก

สถานะปัจจุบันของเฉินฉางเซิงนั้นสูงมาก แต่เขาไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากนัก ตอนนี้พวกที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเป็นแค่นักเรียนธรรมดาของสำนักฝึกหลวง

ก่อนที่เขาจะขึ้นครองตำแหน่งสังฆราช เขาไม่อาจเคลื่อนกำลังของนิกายหลวงได้

แค่สำนักฝึกหลวง พวกเขาจะสร้างคลื่นลมในจิงตูได้แค่ไหนกัน

ทว่า…โจวทงขมวดคิ้ว

หากเขาคำนวณผิดเล่า หากมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น หากพวกอ๋องอยากจะเคลื่อนไหวต่อต้านเฉินฉางเซิงเล่า

ขณะที่เขาคิดถึงเรื่องพวกนี้ สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นแล้ว

นักเรียนสำนักฝึกหลวงพบกับเจ้าหน้าที่กรมอาญา ปะทะกัน จากนั้นก็ส่งเสียงทะเลาะกัน

เช้ง! เสียงดาบถูกชักออกจากฝักชัดเจนมากตรงหน้าจวนเซวีย ราวกับว่าต้องการจะตัดเฉือนสายลมฤดูใบไม้ร่วง

พวกเจ้าหน้าที่ไม่มีเจตนาจะโจมตี บางคนชักดาบออกมาเพียงเพื่อขมขู่ผู้เยาว์เหล่านี้

พวกเขาไม่รู้ว่าผู้เยาว์เหล่านี้ โดยเฉพาะหญิงสาวที่แข็งแกร่งที่สุด กำลังรอโอกาสนี้อยู่

“หยุด!” โจวทงตะโกน

ผู้เยาว์เหล่านั้นย่อมไม่ฟังเขาเป็นธรรมดา

พวกเจ้าหน้าที่ต้องการจะฟังเขา แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจทำตามคำสั่งได้แล้ว

เสียงดังเช้งสิบกว่าครั้งสะท้อนอยู่ทั่วถนนยาว

ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนตัดไขว้กันไปมาในอากาศ ดูงดงามและน่าเศร้า

เป็นเจตจำนงกระบี่ที่บริสุทธิ์หาใดเปรียบพร้อมกับการประสานงานอย่างประณีตที่สุด

เจตจำนงกระบี่ที่เย็นเยียบและชัดเจน ก่อตัวเป็นตาข่ายที่มองไม่เห็นกระจายไปเหนือเจ้าหน้าที่ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตู

ต่อให้เป็นโจวทงเองก็ทำได้แต่ถอยเมื่อเผชิญหน้าเจตจำนงกระบี่เหล่านี้ นับประสาอะไรกับเจ้าหน้าที่พวกนั้น

เสียงร้องคำรามและเลือดสาดกระจายไปทั่ว เจ้าหน้าที่สิบกว่าคนถูกฟันเลือดอาบด้วยเจตจำนงกระบี่จนกระเด็นไป

สิงโตหินหน้าประตูจวนเซวียอาบย้อมไปด้วยเลือดในทันที ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดปรากฏอยู่บนพื้นถนนสิบกว่าร่าง เป็นภาพที่อาบไปด้วยเลือด

ไม่มีใครยืนอยู่ตรงหน้าประตูจวนเซวีย เหลือไว้เพียงแค่ที่ว่างกว้างใหญ่

เฉินฉางเซิงเดินเข้ามา

เยี่ยเสี่ยวเหลียนกับศิษย์พี่น้องสิบกว่าคนเก็บกระบี่เข้าฝักและเดินตามหลังไป

เฉินฉางเซิงเดินเข้าหาโจวทง

เสียงโลหะกระทบกันโดยรอบบ่งบอกว่าหน้าไม้ถูกขึ้นสายเตรียมพร้อม

สถานการณ์ตึงเครียดอย่างมาก แต่สีหน้าโจวทงยังสงบนิ่ง

เขามองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว “ว่าที่สังฆราชแห่งต้าโจวของข้ากลับต้องพึ่งพาเด็กสาวจากยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คงน่าอับอายอย่างแท้จริง”

การที่จะสามารถทำให้ยอดฝีมือจากกรมอาญาสิบกว่าคนบาดเจ็บสาหัสในเวลาอันสั้นย่อมไม่ใช่ฝีมือนักเรียนสำนักฝึกหลวง แต่เป็นค่ายกลกระบี่อันโด่งดังของสถานศึกษาหนาซี

เฉินฉางเซิงไม่ตอบแต่เป็นเยี่ยเสี่ยวเหยียนที่ตอบ

“เจ้าหน้าที่ราชสำนักของท่านไม่อาจเอาชนะเด็กสาวอย่างพวกเราได้ นี่ต่างหากที่น่าอับอายอย่างแท้จริง”

โจวทงไม่สนใจ ต่อให้เฉินฉางเซิงพูดด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะน่าอายแค่ไหนเขาก็ทนได้

เพราะเขาได้สำรวจตัวเองและพบว่าแก่มากแล้ว แก่เสียจนเน่าไปถึงแกนใน ภายใต้เสื้อคลุมสีโลหิตไม่มีอะไรนอกจากเนื้อเน่า ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวคำติฉินนินทาของคนอื่น

ในขณะที่สังฆราชยังไม่กลับคืนสู่ทะเลดวงดาว เขาก็ย่อมไม่ให้เฉินฉางเซิงมีโอกาสหรือข้ออ้างที่จะโจมตีได้

แม้ว่าเขาจะไม่กลัวเฉินฉางเซิง แต่ก็เหมือนกับที่เขาคิดว่าความมีชีวิตชีวาของผู้เยาว์เหล่านี้บาดตา เขาไม่อยากเห็นผู้เยาว์เหล่านี้ร่วมมือกันอย่างกล้าหาญ

ถึงอย่างไรเขาก็แก่แล้วและเป็นขุนนางทรงอำนาจ ขุนนางกังฉินที่ประสบความสำเร็จ

แต่เฉินฉางเซิงพูดอีกสองประโยคทำให้เขาไม่อาจทนเงียบได้

เฉินฉางเซิงไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เขาอับอาย แต่เป็นสิ่งที่เขาอยากจะบอกอย่างแท้จริง

ท่าทีสำรวมและจริงใจทำให้โจวทงรู้สึกเหมือนวิญญาณจะระเบิดออกมา

เพราะเขาไม่อาจตอบคำถามของเฉินฉางเซิงได้

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “หลังจากข้ามาจิงตู ข้ามักได้ยินคนบอกว่าหากเจ้าตายมีเพียงแค่เซวียสิ่งชวนที่จะฝังศพให้”

นี่เป็นคำพูดที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งต้าลู่ และโจวทงก็ได้ยินมามากกว่าหนึ่งครั้ง เขาหรี่ตาลงจนเป็นเส้นตรงแผ่ไอเย็นเยียบ

เฉินฉางเซิงถามอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้เจ้าฆ่าเขาไปแล้ว หากในอนาคตเจ้าตายไป ใครจะฝังศพให้เจ้า”

นี่เป็นคำถามที่เรียบง่ายอย่างมาก

คิดเล็กน้อยก็หาคำตอบได้แล้ว

แต่โจวทงไม่อาจตอบ

เพราะเขาไม่ต้องการที่จะมีจุดจบเช่นนี้

ไม่มีใครอยากจะมีจุดจบเช่นนี้

ตายไร้ที่ฝัง

……