ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 23 คนมีประกาศ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในฐานะขุนนางกังฉินชื่อกระฉ่อนที่สุด คนกระดิกหางสอพลอ ขุนนางใจทรามและอันธพาลในช่วงหลายปีมานี้ บางทีอาจจะตลอดประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ โจวทงไม่มีเพื่อนสักคนเดียว

ซูหลีมักพูดบ่อยๆ ว่าเขาไม่มีเพื่อนเช่นกัน แต่ก็มีสิ่งที่ต่างไปสองอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ร่วมสำนัก เพื่อนร่วมงานหรือผู้มีอุดมการณ์เดียวกัน พวกเขาล้วนไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าให้โจวทงตายไปเร็วๆ ยกตัวอย่างเช่นเหล่าอ๋องที่ครองอำนาจอยู่ในราชสำนัก

หากโจวทงตายไปจริงๆ ย่อมไม่มีใครฝังศพเขาเป็นธรรมดา

อันที่จริงเขาเคยมีเพื่อนที่ยินดีจะฝังศพให้

น่าเสียดายที่เพื่อนคนนั้นถูกเขาสังหารด้วยมือตัวเองและเกือบจะไร้การกลบฝัง

ดังนั้นในวันนี้ อนาคตข้างหน้านั้นเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว โจวทงจะตายอย่างไร้ที่ฝัง

เขาไม่มีความคิดจะโทษคนอื่นหรือโลกนี้ เพราะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากมือของเขาเอง

นับจากนี้ไป เขาจะใช้ชีวิตอย่างกังวล สงสัยและขุ่นมัว ไม่อาจมองเห็นประกายความหวังแม้แต่น้อยนิด จนกระทั่งตายอย่างไร้ที่ฝัง

คำถามของเฉินฉางเซิงมิใช่คำแช่งชัก แต่เป็นการวิเคราะห์อย่างใจเย็น เป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงอย่างสุขุม

นี่จึงน่ากลัว

ตอนนี้เงียบงันผิดปกติ ไม่มีใครพูดเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมอาญาหรือนักเรียนจากสำนักฝึกหลวง

ในครั้งนี้ คนเดียวที่สามารถทำลายความเงียบได้ก็คือตัวโจวทงเอง

เขามองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าวอย่างเคร่งเครียดจริงจัง “ปรมาจารย์เต๋าจะจัดการกับศพของข้าเองหลังจากข้าจากไปแล้ว”

ในเวลาอันสั้น นี่คือสิ่งเดียวที่เขาสามารถคิดได้เพื่อโต้แย้งกับข้อสรุปของเฉินฉางเซิง

ตอนนี้เขาเป็นสุนัขของซางสิงโจว หลังจากเขาตาย เจ้านายย่อมต้องมีความเมตตาอยู่บ้าง

เฉินฉางเซิงมองกลับไปและกล่าว “ข้าเข้าใจเขายิ่งกว่าเจ้า สำหรับเขา ศพทุกศพมีประโยชน์ให้ใช้ หากสุนัขที่เขาเลี้ยงตายไป เขาอาจกินเนื้อมันเป็นอาหาร หรือเอาไปแบ่งให้ชาวบ้านในเมืองเพื่อให้มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นสักเล็กน้อย หากสุนัขตัวนั้นเคยกัดคนมาก่อน เขาก็ไม่ลังเลที่จะเผามันจนกลายเป็นเถ้าเพื่อให้คนที่ยังมีชีวิตได้ระบายแค้นสักหน่อย”

โจวทงรู้สึกเย็นเยียบขึ้นมา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นร้อนรุ่ม เริ่มหลั่งเหงื่ออยู่ใต้ชุดขุนนางสีแดงเลือด

“ทุกคนล้วนต้องตาย” เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงรู้ว่าโจวทงพูดถึงสังฆราช

โจวทงกล่าวต่อในทันที “แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าใครจะฝังศพให้เจ้าเมื่อถึงเวลานั้น”

เขาจ้องมองไปที่ดวงตาเฉินฉางเซิงและตะโกนโดยไม่รอให้ตอบ “อย่าลืม เจ้าเป็นแค่ของเล่นของพวกผู้มีอำนาจ ก็แค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง!”

นับจาก ‘ปรมาจารย์เต๋าจะจัดการกับศพของข้าเองหลังจากข้าจากไปแล้ว’ และประโยคที่กล่าวต่อมา เขาพูดถึงแค่คำถามเดียวเท่านั้น

คำถามของเฉินฉางเซิงจี้จุดอ่อนที่สุดของโจวทง และเขาก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ถึงกับรู้สึกกลัวอยู่บ้าง

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าไม่รู้ว่าใครจะฝังศพข้า ข้ารู้เพียงแค่ว่าก่อนตาย ข้าจะต้องฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน”

เกิดความเงียบงัน แม้แต่นกก็ไม่ส่งเสียงร้อง ทั้งในและนอกจวนเซวีย มีแต่เสียงลมฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นให้ได้ยิน

นี่ไม่ใช่คำขู่ ยามที่เขากล่าวคำพูดนี้ สีหน้าสงบอย่างมาก

แน่นอนเขาไม่ได้ล้อเล่นเช่นกัน ไม่มีรอยยิ้มให้เห็นบนใบหน้าแม้แต่น้อย เป็นเพียงคำพูดที่สัตย์ซื่ออย่างยิ่ง

นี่เป็นการประกาศ

เฉินฉางเซิงประกาศต่อโลกนี้ ไม่ว่าอย่างไรโจวทงจะต้องตายก่อนเขา

โจวทงต้องตายอย่างน่าอนาถ

นี่เป็นส่วนเสริมของคำถามก่อนนี้

และการประกาศนี้ย่อมหมายความว่าเขาจะให้โจวทงตายอย่างไร้ที่ฝัง

……

……

ความเงียบงันราวความตายปกคลุมจวนเซวีย

เจ้าหน้าที่กรมอาญามีสีหน้าน่าเกลียดผิดปกติ ในขณะที่นักเรียนสำนักฝึกหลวงค่อนข้างเป็นกังวล

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โจวทงเป็นขุนนางทรงอำนาจในราชสำนัก แม้แต่สังฆราชหรือจักรพรรดิก็ยังไม่อาจประกาศเช่นนี้

เฉินฉางเซิงประกาศเช่นนี้อาจทำให้เขาได้ระบายอารมณ์อยู่บ้าง แต่มันจะนำปัญหาแบบใดตามมาอีก

สำหรับเขานี่ไม่ใช่ปัญหา เขาไม่ได้ต้องการใช้การประกาศนี้เพื่อระบายความโกรธ เขาเพียงพูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างสุขุมและใจเย็น ส่วนคนอื่นคิดอย่างไรเขาไม่สนใจ

หลังจากกล่าวคำพูดนี้แล้ว เขาก็เดินไปหาเซวียฮูหยิน

สาวใช้กับพ่อบ้านของจวนเซวียที่ถูกพวกเจ้าหน้าที่จับตัวไว้ย่อมถูกช่วยออกมาเป็นธรรมดา

โจวทงจ้องมองหลังของเขาและถามอย่างเฉยชา “เจ้าจะสังหารข้าได้หรือ”

เฉินฉางเซิงไม่ได้หยุดหรือหันกลับไป “ในคืนนั้น ข้าก็สังหารเจ้าไปครั้งหนึ่งแล้ว”

“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเจ้ายึดติดกับความยุติธรรมเกินไป คิดหรือไม่ว่าคำพูดไร้สาระของเจ้ามีอำนาจและน้ำหนักแค่ไหน ‘ทำตามใจตน’ เจ้าคิดจะพูดประโยคเดิมๆ นี้อีกกี่รอบกัน”

โจวทงกล่าวปิด “ไม่มีใครคิดเหมือนเจ้าหรอก เหมือนกับที่ไม่มีใครมายังที่แห่งนี้”

……

……

ความจริงได้พิสูจน์ว่าโจวทงพูดผิด

ไม่นานหลังจากเฉินฉางเซิงมาถึง จวนเซวียก็ได้รับแขกอีกคนหนึ่ง

คนผู้นี้มีฐานะพิเศษที่แม้แต่โจวทงก็ไม่มีอำนาจมากไปกว่า ในขณะเดียวกันการมาเยือนของเขาก็น่าประหลาดใจอย่างมาก

คนสำคัญที่มาแสดงเคารพเซวียสิ่งชวนก็คือจงซานอ๋อง เฉินซือเสวียน

เขาผู้นี้เป็นอ๋องที่ทนรับการดูถูกจากการปกครองของเทียนไห่ ย่อมไม่มีความรู้สึกดีต่อเฉินฉางเซิง แต่เกลียดโจวทงยิ่งกว่า

เขาจุดธูปดอกหนึ่งให้เซวียสิ่งชวน มองที่เฉินฉางเซิง จากนั้นก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าโจวทง

ไม่นานหลังจากนั้นเจ้ากรมพิธีการก็มาถึง ตามมาด้วยคนสำคัญของนิกายหลวงหลายคน จากนั้นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก็มาถึงในที่สุด

หลายคนเห็นว่ามีรอยแผลจางๆ บนหน้าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย น่าจะเป็นผลมาจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตอนที่เขาจะย้ายออกจากจวนก่อนหน้านี้

ทุกครั้งที่คนสำคัญปรากฏตัวในจวนเซวียก็เหมือบการตบหน้าโจวทงครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่ว่าโจวทงจะมีความอดทนเพียงไร ก็ไม่อาจทนอยู่ที่นี่ต่อไปได้

ตอนที่เขากำลังจะจากไป ก็พบกับหลิวอ๋อง

“หากข้าเป็นเจ้า ข้าย่อมภาวนาให้เฉินฉางเซิงสืบทอดตำแหน่งสังฆราชได้อย่างราบรื่น”

เฉินหลิวอ๋องแนะนำอย่างจริงจัง “ไม่เช่นนั้น เขาต้องทำให้คำพูดนั้นเป็นจริงแน่”

ในอดีตบนถนนเสินของพระราชวังหลี มหามุขนายกเหมยลี่ซาได้ประกาศต่อทั้งโลกว่าเฉินฉางเซิงจะได้อันดับหนึ่งขั้นหนึ่งในการสอบใหญ่ ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็สามารถทำได้จริงๆ

วันนี้ตรงหน้าโถงพิธีศพของจวนเซวีย เฉินฉางเซิงได้ประกาศต่อทั้งโลกว่าเขาจะทำให้โจวทงตายไร้ที่ฝัง…

“มีคนมากมายที่ต้องการจะสังหารข้า แต่ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่มาได้ตั้งหลายปี เป็นเพราะเหตุใด”

โจวทงหัวเราะ แย้มยิ้มชั่วร้าย “เพราะข้าไม่เคยนับว่าตนเองเป็นคน ข้ารู้มาตลอดว่าข้าเป็นสุนัข”

สุนัขมีเจ้าของ

จะตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของก่อน

และเขาก็เป็นสุนัขที่สามารถหาเจ้าของที่แข็งแกร่งที่สุดได้เสมอ

“พวกคนหนุ่บ้าดีเดือดเลือดร้อน ที่จิตใจเต็มไปด้วยความโง่เขลาเพราะเยาว์วัย ก็ต้องการที่จะฆ่าข้าอยู่ตลอด แล้วพวกเขาเคยทำสำเร็จหรือเปล่า”

“สำหรับคนที่มีความสามารถจะฆ่าข้า ก็คงไม่ตาบอดจนมองไม่เห็นเจ้าของข้ากระมัง”

“เฉินฉางเซิงสามารถพูดได้ตามต้องการ แต่เขาก็ยังไม่กล้าโจมตีข้า หรือจะบอกว่าข้าพูดผิด”

โจวทงยิ้ม กลิ่นอายชั่วร้ายในรอยยิ้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเย้ยหยันและเหนื่อยล้าให้ทั้งกับโลกนี้และกับตัวเขาเอง

เขาพูดความจริง ตัวเขาเองก็เป็นผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในระดับสูงขั้นรวบรวมดวงดาว ในขณะที่คำสั่งของเขาสามารถควบคุมยอดฝีมือและนักฆ่าจำนวนนับไม่ถ้วน คนที่สามารถฆ่าเขาได้ย่อมเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงของต้าลู่ และยอดฝีมือที่แท้จริงย่อมไม่ใช่คนโดดเดี่ยว พวกเขามีพรรค มีครอบครัว มีศิษย์ มีคนมากมายที่ต้องดูแล ยกตัวอย่างเช่นจูลั่ว ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ฆ่าโจวทงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่หลายปีมานี้ เขาก็ไม่เคยพยายามทำเรื่องนี้

คนที่ยังเยาว์และมีความกล้าพอที่จะมาฆ่าโจวทงก็ไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้

คนที่มีความสามารถย่อมมีประสบการณ์และเติบโตผ่านกาลเวลา ได้เรียนรู้หลักของการมองภาพใหญ่

น้อยคนนักที่จะเป็นเหมือนเฉินฉางเซิง

แต่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อาจแตะโจวทงได้หากเขาคิดจะนั่งตำแหน่งสังฆราช

ในสายตาโจวทง การประกาศนี้เป็นเพียงแค่คำพูดของเด็กน้อย

นอกจากเฉินฉางเซิงจะมีใครอีก

คนที่มีความสามารถจะฆ่าเขาย่อมไม่ใช่พวกอ่อนต่อโลกและโง่เขลา

ดังนั้นเขาจึงปลอดภัยเสมอ

ในตอนนี้มีรถม้าคันใหญ่ขนต้นไห่ถังเข้าสู่จิงตู

รากต้นไห่ถังได้รับการรักษาไว้อย่างดี ห่อหุ้มเอาไว้ด้วยดินที่สดใหม่ที่สุด

ทหารม้าเกราะแดงที่คุ้มกันมาโบกแส้ไล่คนเดินถนนพลางตะโกนไปด้วย

ริมถนนหลวงมีชายคนหนึ่งมองดูภาพนี้อยู่เงียบๆ

ชุดสีเขียวครามถูกซักจนซีด ถูกลงแป้งจนแข็ง

คิ้วทั้งสองลู่ลง ทำให้เขาดูยากจนข้นแค้นอยู่บ้าง

เขาดูเหมือนนักบัญชีที่ถูกหักเงินเดือนไปมาก

และยังดูเหมือนดาบเก่าที่ถูกผ้าพันเอาไว้