ในฐานะขุนนางกังฉินชื่อกระฉ่อนที่สุด คนกระดิกหางสอพลอ ขุนนางใจทรามและอันธพาลในช่วงหลายปีมานี้ บางทีอาจจะตลอดประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ โจวทงไม่มีเพื่อนสักคนเดียว
ซูหลีมักพูดบ่อยๆ ว่าเขาไม่มีเพื่อนเช่นกัน แต่ก็มีสิ่งที่ต่างไปสองอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ร่วมสำนัก เพื่อนร่วมงานหรือผู้มีอุดมการณ์เดียวกัน พวกเขาล้วนไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าให้โจวทงตายไปเร็วๆ ยกตัวอย่างเช่นเหล่าอ๋องที่ครองอำนาจอยู่ในราชสำนัก
หากโจวทงตายไปจริงๆ ย่อมไม่มีใครฝังศพเขาเป็นธรรมดา
อันที่จริงเขาเคยมีเพื่อนที่ยินดีจะฝังศพให้
น่าเสียดายที่เพื่อนคนนั้นถูกเขาสังหารด้วยมือตัวเองและเกือบจะไร้การกลบฝัง
ดังนั้นในวันนี้ อนาคตข้างหน้านั้นเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว โจวทงจะตายอย่างไร้ที่ฝัง
เขาไม่มีความคิดจะโทษคนอื่นหรือโลกนี้ เพราะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากมือของเขาเอง
นับจากนี้ไป เขาจะใช้ชีวิตอย่างกังวล สงสัยและขุ่นมัว ไม่อาจมองเห็นประกายความหวังแม้แต่น้อยนิด จนกระทั่งตายอย่างไร้ที่ฝัง
คำถามของเฉินฉางเซิงมิใช่คำแช่งชัก แต่เป็นการวิเคราะห์อย่างใจเย็น เป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงอย่างสุขุม
นี่จึงน่ากลัว
ตอนนี้เงียบงันผิดปกติ ไม่มีใครพูดเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมอาญาหรือนักเรียนจากสำนักฝึกหลวง
ในครั้งนี้ คนเดียวที่สามารถทำลายความเงียบได้ก็คือตัวโจวทงเอง
เขามองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าวอย่างเคร่งเครียดจริงจัง “ปรมาจารย์เต๋าจะจัดการกับศพของข้าเองหลังจากข้าจากไปแล้ว”
ในเวลาอันสั้น นี่คือสิ่งเดียวที่เขาสามารถคิดได้เพื่อโต้แย้งกับข้อสรุปของเฉินฉางเซิง
ตอนนี้เขาเป็นสุนัขของซางสิงโจว หลังจากเขาตาย เจ้านายย่อมต้องมีความเมตตาอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงมองกลับไปและกล่าว “ข้าเข้าใจเขายิ่งกว่าเจ้า สำหรับเขา ศพทุกศพมีประโยชน์ให้ใช้ หากสุนัขที่เขาเลี้ยงตายไป เขาอาจกินเนื้อมันเป็นอาหาร หรือเอาไปแบ่งให้ชาวบ้านในเมืองเพื่อให้มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นสักเล็กน้อย หากสุนัขตัวนั้นเคยกัดคนมาก่อน เขาก็ไม่ลังเลที่จะเผามันจนกลายเป็นเถ้าเพื่อให้คนที่ยังมีชีวิตได้ระบายแค้นสักหน่อย”
โจวทงรู้สึกเย็นเยียบขึ้นมา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นร้อนรุ่ม เริ่มหลั่งเหงื่ออยู่ใต้ชุดขุนนางสีแดงเลือด
“ทุกคนล้วนต้องตาย” เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงรู้ว่าโจวทงพูดถึงสังฆราช
โจวทงกล่าวต่อในทันที “แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าใครจะฝังศพให้เจ้าเมื่อถึงเวลานั้น”
เขาจ้องมองไปที่ดวงตาเฉินฉางเซิงและตะโกนโดยไม่รอให้ตอบ “อย่าลืม เจ้าเป็นแค่ของเล่นของพวกผู้มีอำนาจ ก็แค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง!”
นับจาก ‘ปรมาจารย์เต๋าจะจัดการกับศพของข้าเองหลังจากข้าจากไปแล้ว’ และประโยคที่กล่าวต่อมา เขาพูดถึงแค่คำถามเดียวเท่านั้น
คำถามของเฉินฉางเซิงจี้จุดอ่อนที่สุดของโจวทง และเขาก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ถึงกับรู้สึกกลัวอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าไม่รู้ว่าใครจะฝังศพข้า ข้ารู้เพียงแค่ว่าก่อนตาย ข้าจะต้องฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน”
เกิดความเงียบงัน แม้แต่นกก็ไม่ส่งเสียงร้อง ทั้งในและนอกจวนเซวีย มีแต่เสียงลมฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นให้ได้ยิน
นี่ไม่ใช่คำขู่ ยามที่เขากล่าวคำพูดนี้ สีหน้าสงบอย่างมาก
แน่นอนเขาไม่ได้ล้อเล่นเช่นกัน ไม่มีรอยยิ้มให้เห็นบนใบหน้าแม้แต่น้อย เป็นเพียงคำพูดที่สัตย์ซื่ออย่างยิ่ง
นี่เป็นการประกาศ
เฉินฉางเซิงประกาศต่อโลกนี้ ไม่ว่าอย่างไรโจวทงจะต้องตายก่อนเขา
โจวทงต้องตายอย่างน่าอนาถ
นี่เป็นส่วนเสริมของคำถามก่อนนี้
และการประกาศนี้ย่อมหมายความว่าเขาจะให้โจวทงตายอย่างไร้ที่ฝัง
……
……
ความเงียบงันราวความตายปกคลุมจวนเซวีย
เจ้าหน้าที่กรมอาญามีสีหน้าน่าเกลียดผิดปกติ ในขณะที่นักเรียนสำนักฝึกหลวงค่อนข้างเป็นกังวล
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โจวทงเป็นขุนนางทรงอำนาจในราชสำนัก แม้แต่สังฆราชหรือจักรพรรดิก็ยังไม่อาจประกาศเช่นนี้
เฉินฉางเซิงประกาศเช่นนี้อาจทำให้เขาได้ระบายอารมณ์อยู่บ้าง แต่มันจะนำปัญหาแบบใดตามมาอีก
สำหรับเขานี่ไม่ใช่ปัญหา เขาไม่ได้ต้องการใช้การประกาศนี้เพื่อระบายความโกรธ เขาเพียงพูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างสุขุมและใจเย็น ส่วนคนอื่นคิดอย่างไรเขาไม่สนใจ
หลังจากกล่าวคำพูดนี้แล้ว เขาก็เดินไปหาเซวียฮูหยิน
สาวใช้กับพ่อบ้านของจวนเซวียที่ถูกพวกเจ้าหน้าที่จับตัวไว้ย่อมถูกช่วยออกมาเป็นธรรมดา
โจวทงจ้องมองหลังของเขาและถามอย่างเฉยชา “เจ้าจะสังหารข้าได้หรือ”
เฉินฉางเซิงไม่ได้หยุดหรือหันกลับไป “ในคืนนั้น ข้าก็สังหารเจ้าไปครั้งหนึ่งแล้ว”
“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเจ้ายึดติดกับความยุติธรรมเกินไป คิดหรือไม่ว่าคำพูดไร้สาระของเจ้ามีอำนาจและน้ำหนักแค่ไหน ‘ทำตามใจตน’ เจ้าคิดจะพูดประโยคเดิมๆ นี้อีกกี่รอบกัน”
โจวทงกล่าวปิด “ไม่มีใครคิดเหมือนเจ้าหรอก เหมือนกับที่ไม่มีใครมายังที่แห่งนี้”
……
……
ความจริงได้พิสูจน์ว่าโจวทงพูดผิด
ไม่นานหลังจากเฉินฉางเซิงมาถึง จวนเซวียก็ได้รับแขกอีกคนหนึ่ง
คนผู้นี้มีฐานะพิเศษที่แม้แต่โจวทงก็ไม่มีอำนาจมากไปกว่า ในขณะเดียวกันการมาเยือนของเขาก็น่าประหลาดใจอย่างมาก
คนสำคัญที่มาแสดงเคารพเซวียสิ่งชวนก็คือจงซานอ๋อง เฉินซือเสวียน
เขาผู้นี้เป็นอ๋องที่ทนรับการดูถูกจากการปกครองของเทียนไห่ ย่อมไม่มีความรู้สึกดีต่อเฉินฉางเซิง แต่เกลียดโจวทงยิ่งกว่า
เขาจุดธูปดอกหนึ่งให้เซวียสิ่งชวน มองที่เฉินฉางเซิง จากนั้นก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าโจวทง
ไม่นานหลังจากนั้นเจ้ากรมพิธีการก็มาถึง ตามมาด้วยคนสำคัญของนิกายหลวงหลายคน จากนั้นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก็มาถึงในที่สุด
หลายคนเห็นว่ามีรอยแผลจางๆ บนหน้าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย น่าจะเป็นผลมาจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตอนที่เขาจะย้ายออกจากจวนก่อนหน้านี้
ทุกครั้งที่คนสำคัญปรากฏตัวในจวนเซวียก็เหมือบการตบหน้าโจวทงครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่ว่าโจวทงจะมีความอดทนเพียงไร ก็ไม่อาจทนอยู่ที่นี่ต่อไปได้
ตอนที่เขากำลังจะจากไป ก็พบกับหลิวอ๋อง
“หากข้าเป็นเจ้า ข้าย่อมภาวนาให้เฉินฉางเซิงสืบทอดตำแหน่งสังฆราชได้อย่างราบรื่น”
เฉินหลิวอ๋องแนะนำอย่างจริงจัง “ไม่เช่นนั้น เขาต้องทำให้คำพูดนั้นเป็นจริงแน่”
ในอดีตบนถนนเสินของพระราชวังหลี มหามุขนายกเหมยลี่ซาได้ประกาศต่อทั้งโลกว่าเฉินฉางเซิงจะได้อันดับหนึ่งขั้นหนึ่งในการสอบใหญ่ ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็สามารถทำได้จริงๆ
วันนี้ตรงหน้าโถงพิธีศพของจวนเซวีย เฉินฉางเซิงได้ประกาศต่อทั้งโลกว่าเขาจะทำให้โจวทงตายไร้ที่ฝัง…
“มีคนมากมายที่ต้องการจะสังหารข้า แต่ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่มาได้ตั้งหลายปี เป็นเพราะเหตุใด”
โจวทงหัวเราะ แย้มยิ้มชั่วร้าย “เพราะข้าไม่เคยนับว่าตนเองเป็นคน ข้ารู้มาตลอดว่าข้าเป็นสุนัข”
สุนัขมีเจ้าของ
จะตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของก่อน
และเขาก็เป็นสุนัขที่สามารถหาเจ้าของที่แข็งแกร่งที่สุดได้เสมอ
“พวกคนหนุ่บ้าดีเดือดเลือดร้อน ที่จิตใจเต็มไปด้วยความโง่เขลาเพราะเยาว์วัย ก็ต้องการที่จะฆ่าข้าอยู่ตลอด แล้วพวกเขาเคยทำสำเร็จหรือเปล่า”
“สำหรับคนที่มีความสามารถจะฆ่าข้า ก็คงไม่ตาบอดจนมองไม่เห็นเจ้าของข้ากระมัง”
“เฉินฉางเซิงสามารถพูดได้ตามต้องการ แต่เขาก็ยังไม่กล้าโจมตีข้า หรือจะบอกว่าข้าพูดผิด”
โจวทงยิ้ม กลิ่นอายชั่วร้ายในรอยยิ้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเย้ยหยันและเหนื่อยล้าให้ทั้งกับโลกนี้และกับตัวเขาเอง
เขาพูดความจริง ตัวเขาเองก็เป็นผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในระดับสูงขั้นรวบรวมดวงดาว ในขณะที่คำสั่งของเขาสามารถควบคุมยอดฝีมือและนักฆ่าจำนวนนับไม่ถ้วน คนที่สามารถฆ่าเขาได้ย่อมเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงของต้าลู่ และยอดฝีมือที่แท้จริงย่อมไม่ใช่คนโดดเดี่ยว พวกเขามีพรรค มีครอบครัว มีศิษย์ มีคนมากมายที่ต้องดูแล ยกตัวอย่างเช่นจูลั่ว ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ฆ่าโจวทงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่หลายปีมานี้ เขาก็ไม่เคยพยายามทำเรื่องนี้
คนที่ยังเยาว์และมีความกล้าพอที่จะมาฆ่าโจวทงก็ไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้
คนที่มีความสามารถย่อมมีประสบการณ์และเติบโตผ่านกาลเวลา ได้เรียนรู้หลักของการมองภาพใหญ่
น้อยคนนักที่จะเป็นเหมือนเฉินฉางเซิง
แต่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อาจแตะโจวทงได้หากเขาคิดจะนั่งตำแหน่งสังฆราช
ในสายตาโจวทง การประกาศนี้เป็นเพียงแค่คำพูดของเด็กน้อย
นอกจากเฉินฉางเซิงจะมีใครอีก
คนที่มีความสามารถจะฆ่าเขาย่อมไม่ใช่พวกอ่อนต่อโลกและโง่เขลา
ดังนั้นเขาจึงปลอดภัยเสมอ
ในตอนนี้มีรถม้าคันใหญ่ขนต้นไห่ถังเข้าสู่จิงตู
รากต้นไห่ถังได้รับการรักษาไว้อย่างดี ห่อหุ้มเอาไว้ด้วยดินที่สดใหม่ที่สุด
ทหารม้าเกราะแดงที่คุ้มกันมาโบกแส้ไล่คนเดินถนนพลางตะโกนไปด้วย
ริมถนนหลวงมีชายคนหนึ่งมองดูภาพนี้อยู่เงียบๆ
ชุดสีเขียวครามถูกซักจนซีด ถูกลงแป้งจนแข็ง
คิ้วทั้งสองลู่ลง ทำให้เขาดูยากจนข้นแค้นอยู่บ้าง
เขาดูเหมือนนักบัญชีที่ถูกหักเงินเดือนไปมาก
และยังดูเหมือนดาบเก่าที่ถูกผ้าพันเอาไว้