ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 24 ความคิดไร้จิตชั่วร้าย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ประตูและลานบ้านที่เปลี่ยวร้างของจวนเซวียยังคงไม่คึกคักมากนัก แต่อย่างน้อยก็มีคนมาเยื่อมเยือนอยู่บ้างและคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนสำคัญ ตรงหน้าหีบศพ จงซานอ๋องเพียงแค่พยักหน้าแล้วจากไป แต่ทางด้านเจ้ากรมพิธีการจุดธูปอย่างจริงจัง ทั้งยังกระซิบอีกสองสามคำ ไม่มีใครรู้ว่าเขาพูดว่าอะไร

ที่ลานด้านตะวันออก จัดห้องเงียบๆ ไว้ห้องหนึ่ง เฉินฉางเซิง ซูม่ออวี๋ เฉินหลิวอ๋องกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยล้วนนั่งอยู่ในห้องนี้

พวกเขาทั้งสี่ล้วนยังเยาว์ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยอายุมากที่สุด แต่ก็เพิ่งอายุสามสิบกว่าปีเท่านั้น

เฉินฉางเซิงมองไปที่รอยแผลบนหน้าของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยและอยากพูดอะไรบางอย่าง

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยพูดก่อน

หลังจากการสอบใหญ่ในปีนั้น ความคั่งแค้นระหว่างสำนักฝึกหลวงกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก็ได้สะสางลงไป ระหว่างพวกเขาได้สร้างความเข้าใจร่วมกันที่คนอื่นไม่อาจทราบได้ ความเข้าใจร่วมกันและคำสัญญาในตอนนั้นดูเหมือนจะเปราะบางต่อยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู ไม่อาจต้านทานการโจมตีได้แม้เพียงครั้งเดียว กระนั้นก็ตาม ทั้งสองฝ่ายต่างเคยมีความเข้าใจร่วมกันมาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น อย่างที่เคยบอกก่อนหน้านี้ พวกเขายังเยาว์

ผู้เยาว์คุยกันมักไม่มีเรื่องอ้อมค้อม พูดด้วยความตรงไปตรงมา

“เจ้าน่าจะรู้ดีว่าเหล่าคนสำคัญที่มาจวนเซวียวันนี้หวังจะใช้เจ้าเพื่อทดสอบและยืนยันเรื่องบางอย่างของราชสำนัก”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกล่าวต่อ “ปรมาจารย์เต๋ามีอำนาจในราชสำนักสูงมาก และต้องการใช้ชีวิตของโจวทงเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่างน้อยจนถึงจุดนี้ ก็ไม่มีใครกล้าท้าทายเขา แต่ข้าเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป พวกบิดาของเราคงไม่ยอมเชื่อฟังเช่นนี้”

บิดาเขาคือเทียนไห่เฉินอู๋และบิดาเฉินหลิวอ๋องก็คือเซียงอ๋อง ทั้งสองล้วนเป็นผู้ทรงอำนาจในราชวงศ์ต้าโจว

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าว “ไม่มีใครรู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน”

“เจ้าไม่อาจเดินสะเปะสะปะบนเส้นทางนี้เมื่อเจ้าไม่รู้ว่าเบื้องหน้าเป็นเช่นไร ไม่เช่นนั้นจะเข้าสู่ทางแยกได้อย่างง่ายดาย”

เฉินหลิวอ๋องเห็นสีหน้าเขา ก็กล่าวแนะนำอย่างจริงใจ “เรื่องใดก็ต้องพิจารณาสถานการณ์โดยรวมก่อน การที่เจ้าจะเป็นสังฆราชก็คือสถานการณ์โดยรวมซึ่งสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด มีค่าควรให้อดทนรอ”

เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไร เขามีความเห็นที่ต่างไปในเรื่องนี้

เขาเข้าใจอาจารย์ดียิ่งกว่าผู้ใด แม้แต่สังฆราช

เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในวัดเก่าเมืองซีหนิงมานานสิบสี่ปี นักพรตวัยกลางคนที่เป็นทั้งอาจารย์ทั้งพ่อสำหรับเขา แต่ตอนนี้เมื่อเขาคิดอย่างรอบคอบ ไม่ว่าเขาหรืออวี๋เหรินก็ไม่เคยเห็นตัวจริงของนักพรตวัยกลางคนผู้นี้ พวกเขาเห็นแค่ยอดเขาที่โผล่พ้นหมอกหนา ประกายสีเงินบนท้องฟ้าในวันที่เมฆครึ้ม ดอกไม้ต้นเดียวที่เติบโตอยู่ริมลำธาร

ตอนนี้เขาได้ประสบพบเจอเรื่องมากมาย เศษเสี้ยวความทรงจำมากมายค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง รายละเอียดที่ดูเหมือนจะไร้ความหมาย ดอกไม้ริมลำธาร ภูเขาในม่านหมอก ท้องฟ้าหลังก้อนเมฆ คัมภีร์เต๋าในวัด ล้วนบรรจุไว้ด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่ประกอบเป็นภาพแท้จริงของอาจารย์ ซางสิงโจว

สังฆราชอยากจะส่งต่อนิกายหลวงไว้ในมือเฉินฉางเซิง เขาเชื่อว่าเขาจะใช้อำนาจพระราชวังหลีและชื่อเสียงของเขา เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครในนิกายหลวงคัดค้านเรื่องนี้หลังจากเขากลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ดังนั้นตราบใดที่นิกายหลวงยังมั่นคงเป็นหนึ่งเดียว ราชสำนักก็ไม่อาจเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ได้

แต่เฉินฉางเซิงรู้ว่าเรื่องนี้ย่อมไม่พัฒนาไปในทางนั้น เขาแน่ใจมากว่าวันที่อาจารย์อาสังฆราชกลับคืนสู่ทะเลดวงดาวจะเป็นวันเดียวกับที่อาจารย์ลงมือกับเขา เขาอาจถูกฆ่าหรือถูกขังไว้ตลอดกาลในคุกที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นมังกรดำน้อย

ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยดูเหมือนจะสัมผัสบางอย่างได้ จึงกล่าว “หากเจ้าคิดจริงๆ ว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เจ้าก็ควรจะเริ่มเตรียมตัวได้แล้ว”

เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “การเตรียมตัวทั้งหมดล้วนไร้ความหมาย”

เหมือนกับคืนนั้น หลังจากผังลายจักรพรรดิเสียประสิทธิภาพลง สถานการณ์ทั้งหมดในจิงตูก็ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการต่อสู้ในสุสานเทียนซู

ประวัติศาสตร์ต้าลู่นั้นถูกกำหนดโดยยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ

ระหว่างเทพศักดิ์สิทธิ์กับมนุษย์นั้นมีช่องว่างที่ไม่อาจข้ามได้

ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรเพียงไร ก็ไม่อาจก้าวข้ามช่องว่างนี้ได้ในเวลาแค่ไม่กี่วัน

“เจ้าควรไป”

เฉินหลิวอ๋องมีความคิดต่างไปจากเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย “ฉวยโอกาสจากการที่ใต้เท้าสังฆราชสะกดอาจารย์ของเจ้าไม่ให้เคลื่อนไหว…นี่เป็นโอกาสอันดีที่สุดและเป็นโอกาสสุดท้าย”

ซูม่ออวี๋มองไปที่เฉินฉางเซิง

ในสำนักฝึกหลวง เขาก็เคยทำเช่นนี้

เฉินฉางเซิงไม่ตอบ เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไป

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเป็นฝ่ายจากไปก่อน แต่ก่อนจะออกจากห้องเขาได้กล่าวว่า “ในอีกไม่กี่วันจะเริ่มการฉลอง”

มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ราชามารตายตกนรก

เหตุการณ์อื่นก็กำลังจะเกิดขึ้น เรื่องเดียวที่พอจะนำมาพูดในระดับเดียวกับเหตุการณ์ทั้งสองได้ก็คือการบรรจบกันของเหนือใต้

อีกไม่กี่วันการฉลองการบรรจบกันของเหนือใต้ก็จะเริ่มขึ้น จากการประชุมเมื่อฤดูใบไม้ผลิ จักรพรรดิขาวและภรรยาจะมาเป็นประธานในงานเลี้ยง

เฉินฉางเซิงเข้าใจว่าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยต้องการจะเตือนเรื่องใด

ลั่วลั่วอาจกลับมายังจิงตู

….

….

โจวทงกลับไปที่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง

เขายืนที่ฐานของกำแพงลานบ้าน สองมือไพล่หลังมองลงไปในหลุมลึก รอการมาถึงของต้นไห่ถังด้วยสีหน้าเฉื่อยชา

เสียงนกร้องโหยหวนพลันดังขึ้นบนท้องฟ้าฤดูใบไม้ร่วง เขากับผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงแค่เงาดำที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า

มีคืออินทรีแดง หนึ่งในสัตว์ปีกที่สามารถบินได้ระยะไกล ในหนึ่งคืนมันสามารถบินข้ามเขาพันลูกแม่น้ำพันสายโดยไม่รู้สึกเหนื่อย

อินทรีแดงตัวนี้กลับมาจากทางใต้ แต่กลับเหนื่อยล้าจนตาย

ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นทางใต้

สำนักกระบี่หลีซาน? ตระกูลชิวซาน? หรือ…สำนักต้นไหว?

คิ้วโจวทงเลิกสูงขึ้น

ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งเร่งรุดมารายงานข่าวด่วนจากทางใต้

หวังผ้อได้ออกจากสำนักต้นไหวแล้ว

สายลับของกรมอาญาที่ติดตามเขาตลอดเวลา ถูกทิ้งที่แม่น้ำชิงเมื่อสองวันก่อนและไม่อาจตามรอยหวังผ้อได้

ไม่มีใครรู้ว่าหวังผ้อไปที่ไหนหรือว่าอยู่ที่ใดในตอนนี้

โจวทงจ้องมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ไม่พูดอะไร

ผู้ใต้บังคับบัญชากล่าวอย่างลังเลอยู่บ้าง “เขา…อาจมาที่จิงตู”

โจวทงหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากหยุดไปเขาก็กล่าวขึ้น “ข้าต้องเข้าวัง”

ผู้ใต้บังคับบัญชาตกตะลึงกับคำพูดนี้ หากหวังผ้อมาที่จิงตูจริงๆ ทำไมใต้เท้าไม่ส่งคนไปหยุดหรือสังหารเขา ทำไมต้องรีบเข้าวัง

“พวกเจ้าหูหนวกกันหมดหรืออย่างไร”

สีหน้าโจวทงค่อนข้างซีด น้ำเสียงสั่นอยู่บ้าง

เขาจำเป็นต้องเข้าวังโดยด่วนเพราะเขารู้สึกไม่สบายใจมาก ถึงขนาดรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง

มีแต่ในวังหลวงที่อยู่ใต้การดูแลของปรมาจารย์เต๋าเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย

เขาแน่ใจมากว่าหวังผ้อจะมาที่จิงตู

เขาแน่ใจมากว่าหวังผ้อมาเพื่อทำสิ่งใด

….

….

เมื่อกลับสู่สำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงก็ได้รู้ข่าวนี้เช่นกัน

ซูม่ออวี๋งงงวยอย่างมากและถาม “เขามาที่จิงตูทำไม มาเคารพศพเซวียสิ่งชวนหรือ”

ไม่มีใครกล้าฝังศพเซวียสิ่งชวนและไม่มีใครกล้ามาแสดงความเคารพ ในตอนนี้หากหวังผ้อปรากฏตัว ก็จะสอดคล้องกับความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อเขา

เฉินฉางเซิงไม่เชื่อในเรื่องนี้ เขารู้ว่าหวังผ้อไม่ได้มาแสดงความเคารพหรือทำธุระอื่นใด

หวังผ้อมาที่จิงตูเพื่อทำเรื่องเรื่องหนึ่ง

เขามาเพื่อฆ่าคน

มาฆ่าโจวทง