ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 9 จากไป

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงมีความสับสนเกี่ยวกับหุบเขาเขี้ยวหักเป็นอันมาก อย่างเช่นเกาะลอยคว้างแต่ละแห่ง มีสภาวะแวดล้อมอันรุนแรงเป็นจำนวนมาก อย่างเช่นไอหมอกขุมหนึ่งก็มีพลังกัดกร่อนอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด สามารถผลาญสังหารบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้ในพริบตา พลังคุกคามแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเสียอีก! สภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกันก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ในทางกลับกัน ’จักรพรรดิ’ เผ่ามรณะทมิฬบนเกาะแห่งหนึ่ง บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังสามารถต่อสู้ด้วยได้ หรือแม้กระทั่งมีหวังที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้

 

แต่สภาวะแวดล้อมกลับย่ำแย่จนถึงขนาดนั้น! จนถึงขั้นมิอาจจินตนาการได้อยู่บ้าง

 

เพราะ ‘ดินแดนจิตโลกา’ เป็นสิ่งที่หยวนสร้างขึ้น สภาวะแวดล้อมโดยรวมก็ยังปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หุบเขาเขี้ยวหักในตำนานก็เป็นสิ่งที่ ’หยวน’ สร้างขึ้น ต่อให้เพื่อการทดสอบ จะสรรสร้างสภาวะแวดล้อมที่ย่ำแย่ถึงเพียงนั้นออกมาเพื่ออะไรกัน การคุกคามของสภาวะแวดล้อมยังแกร่งถึงเพียงนั้นได้หรือ การจะสร้างสภาวะแวดล้อมที่อันตรายเช่นนั้นออกมา มูลค่าย่อมมิใช่น้อยอย่างแน่นอน ในความเป็นจริงแล้วสภาวะแวดล้อมเหล่านั้นมิได้ให้ผลการทดสอบแต่อย่างใด ในทางกลับกันก็อาศัย ‘โชคชะตา’ มากกว่า อาศัยการสั่งสมประสบการณ์

 

อย่างเช่นส่งร่างแยกร่างแล้วร่างเล่าไปตายเพื่อสั่งสมประสบการณ์

 

มิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อการทดสอบพลังยุทธ์แต่อย่างใด ใช้จ่ายเป็นมูลค่ามหาศาลเพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ออกมา ทั้งยังมิได้เป็นผลต่อการทดสอบ เพื่อเหตุใดกัน

 

ในตำนานก็ได้บอกเล่าเอาไว้ว่าภยันตรายมากมายของหุบเขาเขี้ยวหักนั้นเป็นสิ่งที่ ’หยวน’ เคลื่อนย้ายมาจากสถานที่อื่นๆ ในท้ายที่สุดแล้วก็บอกเล่ากันไปต่างๆ นานา แต่ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อไตร่ตรองดูอย่างละเอียดก็มีส่วนที่ขัดแย้งกันอยู่บ้าง

 

“ที่แท้”

 

“ที่แท้แล้วก็แปลงมาจากซากศพทั้งสองเพียงอย่างเดียวล้วนๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจขึ้นมา “ก็ถูกต้อง สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวั่นเกรงทั้งสองนี้มีขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบ ซากศพร่างหนึ่งก็เทียบเคียงได้พอๆ กันกับหนึ่งในสิบส่วนของโลกกำเนิดธรรมดาๆ แห่งหนึ่งแล้ว ซากศพขนาดมหึมาเช่นนี้สองร่างสร้างขึ้นมาเป็นหุบเขาเขี้ยวหักอันไพศาลเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

 

ซากศพมีขนาดเป็นหนึ่งในสิบส่วนของโลกกำเนิดธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง

 

ความกว้างยาวต่างๆ นั้น ในความเป็นจริงแล้วก็เกินจริงยิ่งกว่าเสียอีก อย่างเช่นงูใหญ่ตัวนั้น ความยาวของตัวงูก็ยังยาวกว่าโลกกำเนิดแห่งหนึ่งเสียอีก ซากศพของมันบิดหมุนคดเคี้ยว มนุษย์น้ำแข็งก็มีอยู่ทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก

 

“แต่ซากศพทั้งสองนี้ หยวนก็น่าจะเคยสำแดงเคล็ดวิชามากมายเอาไว้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

 

อย่างเช่นทางเดินเขี้ยวอสรพิษ

 

อย่างเช่นระหว่างหุบเขาเขี้ยวหักกับดินแดนจิตโลกา ก็มีกฎเกณฑ์กำหนดเอาไว้ว่าผู้ที่พลังยุทธ์สูงถึงระดับหนึ่งก็มิอาจเข้าไปในดินแดนจิตโลกาได้

 

หยาดน้ำพันเนตรและไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ สมบัติชั้นยอดทั้งสองชิ้นนี้ รับประกันว่าถึงทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้วจึงจะแสดงพลังออกมา เกรงว่าต่างก็เป็นกฎเกณฑ์ที่หยวนบัญญัติเอาไว้ทั้งสิ้น บนพื้นฐานของซากศพทั้งสอง วิวัฒน์เป็นโลก บัญญัติกฎเกณฑ์ ก็ย่อมง่ายดายเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว

 

“ร้ายกาจ ช่างเป็นวิธีการที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด ในที่สุดเขาก็เข้าใจวิธีการที่บุคคลระดับอย่าง ’หยวน’ สรรสร้างโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว

 

“หยวนย่อมร้ายกาจอย่างแน่นอนอยู่แล้ว แม้กระทั่งในตำนานที่พวกเราได้ยินได้ฟังกันมา เขาก็ยังเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับยอดสุดเลย” ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็รำพึงออกมาประโยคหนึ่ง “อย่างเช่นพวกเรา ต่อให้โชคดีตื่นรู้ขั้นสุดยอด กลายเป็นเผ่าพันธุ์แรกเริ่ม ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์จะแข็งแกร่ง พวกเราตื่นรู้ก็เป็นเพียงแค่เด็กแรกเกิดเท่านั้น คิดอยากจะไปถึงระดับพลังยุทธ์เช่นซากศพทั้งสอง เกรงว่าคงต้องประสบกับความยากลำบากไม่รู้อีกมากมายเท่าใด ต่อให้ในท้ายที่สุดมีพลังยุทธ์เช่นนี้ก็ยังคงมิอาจเทียบกับ ’หยวน’ ได้อยู่ดี”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

 

หยวนได้โยนซากศพอันน่าหวาดหวั่นทั้งสองแล้วสร้างหุบเขาเขี้ยวหักออกมาเพื่อชนรุ่นหลัง

 

เกรงว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ตายด้วยน้ำมือของ ’หยวน’ คงมิใช่เพียงแค่สองตนนี้แน่นอน

 

……

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงสนทนากับยอดเคารพเฮ่ากู่ แต่ในชั่วขณะหนึ่งก็มิได้ใส่ใจจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเลย

 

“เฮ่ากู่ เจ้าจะไม่เหลือทางให้ข้าเดินเลยจริงๆ น่ะหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยปาก

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางจักรพรรดิเป่ยเหอแล้วก็ลอบประหลาดใจ ห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ก็เป็นสถานที่อันสุดยอดแล้ว ถึงแม้ว่าก็มีวัตถุวิเศษอยู่หลายชิ้นเช่นกัน แต่ก็ไม่มีสถานที่ให้หลบหนี แต่นี่จักรพรรดิเป่ยเหอกลับดูเหมือนยังมีที่ให้พึ่งพิงด้วยอย่างนั้นหรือ

 

“เป่ยเหอ เจ้าช่างทำอะไรสุดโต่งเกินไปนัก เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แล้วก็ไม่เลือกวิธีการ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด “แม้กระทั่งยอดเคารพห้าท่านในสายตาของเจ้าก็เป็นเพียงแค่คู่ต่อสู้เท่านั้น ข้ายอมรับว่าพลังยุทธ์ของเจ้าก็มิได้แตกต่างจากพวกเรามากมายสักเท่าใดนัก อีกทั้งยังระดมสามสิบหกแม่ทัพเทพเอาไว้อีกด้วย เหล่ายอดเคารพต่างก็คร้านจะเปิดฉากสงครามเพราะเจ้า แต่เจ้ากลับล่วงเกินจ้าวหิมะเหิน นี่ก็เป็นความผิดอันเหนือธรรมดาแล้ว จ้าวหิมะเหินคนเดียวก็มีอิทธิพลต่อการต่อสู้เป็นอย่างมาก เขามีประโยชน์มากกว่าแม่ทัพเทพกลุ่มใหญ่เสียอีก วันนี้แม้แต่ยอดเคารพสองท่านร่วมมือกันก็ยังยากจะกำจัดเจ้า แต่มีจ้าวหิมะเหินอยู่ การกำจัดเจ้าก็เป็นเรื่องง่ายดายเสียแล้ว”

 

จักรพรรดิเป่ยเหอสีหน้าเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง

 

ใช่แล้ว

 

ต่อให้เป็นยอดเคารพสองท่าน อย่างน้อยเขาก็ยังมีความมั่นใจในการหนีเอาชีวิตรอด

 

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถทำให้พลังยุทธ์ของเขาลดต่ำลงอย่างมหาศาลได้ ลดต่ำลงไปถึงระดับแม่ทัพเทพ ระดับแม่ทัพเทพจ่อสู้กับยอดเคารพอย่างนั้นหรือ ก็เป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริงแล้ว!

 

“เดิมทีข้าคิดจะบำเพ็ญอยู่ที่นี่ดีๆ คว้าโอกาสเหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นยอดเคารพ” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยเสียงต่ำ “แต่คิดไม่ถึงว่าข้าบริโภคพลังหยาดน้ำพันเนตรอย่างประหยัด แต่พวกเจ้าสองคนกลับเข้ามาเสียได้ ข้อแรก ยังมากันถึงสองคนอีกด้วยหรือ สมบัติชั้นยอดได้มาอย่างง่ายๆ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

 

“เป่ยเหอ เดิมทีข้าเพียงแค่อยากจะหยั่งรู้หยาดน้ำพันเนตรดูหน่อยก็เท่านั้น มิได้บริโภคพลังเลยแม้แต่น้อย พอถึงเวลาก็ย่อมต้องมอบให้แก่เจ้าอยู่แล้ว ข้าเองก็ได้ให้สัตย์สาบานเอาไว้แล้ว มีหรือที่ข้าจะเลือกตัดขาดเส้นทางการบำเพ็ญแล้วมาตระบัดสัตย์กับเจ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอื้อนเอ่ย “เจ้ามิให้ทางเดินแก่ผู้อื่น ตอนนี้ตัวเองก็ไม่มีทางเดินหรอก!”

 

“ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางตระบัดสัตย์แน่ แต่ข่าวของหยาดน้ำพันเนตรแพร่ออกไปแล้ว ระยะเวลาอันยาวนาน เหล่ายอดเคารพต่างก็อิจฉาตาร้อนกันทั้งสิ้น ใครจะไปรู้ได้เล่าว่าจะเกิดปัญหาอันใดขึ้น”

 

จักรพรรดิเป่ยเหอพูด

 

“เจ้ากับข้าร่วมมือกันแล้วจะต้านทานยอดเคารพมิได้หรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

 

“เวลาเนิ่นนานไปแล้ว ใครจะไปรู้ได้เล่าว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้นบ้าง ข้าเอามาไว้ในมือเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ตรงเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษเลยจะดีกว่า” จักรพรรดิเป่ยเหอยิ้มเย็น

 

แต่ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่ข้างๆ กลับเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้าไม่ทรยศต่อหิมะเหิน ไม่เพียงแค่จะได้เม็ดนี้มาไว้ในมือในท้ายที่สุดเท่านั้น ในภายภาคหน้าบางทีอาจจะยังมีโอกาสได้เม็ดที่สองมาครองอีกด้วย”

 

“ข้า เป่ยเหอได้สมบัติชั้นยอดชิ้นหนึ่งมาครอบครองตั้งแต่ยังเป็นระดับจักรพรรดิก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่กล้าวาดหวังว่าจะได้เม็ดที่สองมาครอบครองอีกอยู่แล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยอย่างเรียบเฉย “นอกจากนี้ ด้วยอุปนิสัยของจ้าวหิมะเหิน เกรงว่าก็คงมิได้ชอบคนอย่างข้ามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าหากมิใช่ตอนนั้นข้าต้องการจะครอบครองโลกมากมาย หากมิใช่เพราะมดปลวกเหล่านั้น เกรงว่าจ้าวหิมะเหินผู้นี้ก็คงไม่ช่วยเหลือข้าอย่างแน่นอน”

 

“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ” ยอดเคารพเฮ่ากู่เอ่ยขึ้นในทันใด

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความสงสัยอยู่บ้าง

 

แน่ใจหรือ

 

แน่ใจอะไรกัน

 

“พวกเจ้าจะไม่ให้ทางเดินข้าจริงๆ หรือ ข้ามีทางเลือกหรือไร” จักรพรรดิเป่ยเหอหัวเราะเยาะ “หึ พวกเจ้าห้ายอดเคารพแต่ละคนล้วนขลาดกลัวไม่กล้าพนัน เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองภายในหุบเขาเขี้ยวหักมาโดยตลอด ก็ดีเหมือนกัน ให้ข้าไป ก็ไม่แน่ว่าในภายภาคหน้าข้าอาจจะตื่นรู้ขั้นสุดยอดก่อนพวกเจ้าก้าวหนึ่งก็เป็นได้”

 

จักรพรรดิเป่ยเหอก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยพลางแยกเขี้ยวยิ้ม “จ้าวหิมะเหิน ผู้แกร่งกล้าที่สุดทางด้านวิถีวิญญาณเท่าที่หุบเขาเขี้ยวหักแห่งดินแดนจิตโลกาเคยมีมาอย่างเจ้าผู้นี้ได้ช่วยข้าจัดการงานใหญ่ แต่กลับไม่ให้หนทางถอยกับข้าเลย ฮ่าฮ่า ก็ดี นี่ก็เป็นแนวทางการจัดการของข้าพอดีเลย ไม่ให้หนทางถอยกับตัวเอง ฮ่าฮ่า… เจ้ากับข้าพบกันคราวหน้า บางทีข้าอาจจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้วก็เป็นได้ ฮ่าฮ่า…”

 

เอ่ยวาจาจบ จักรพรรดิเป่ยเหอก็พุ่งตรงเข้าใส่ก้อนหินใหญ่สีดำก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง

 

ครืน…

 

พื้นผิวของก้อนหินใหญ่สีดำเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา จักรพรรดิเป่ยเหอพุ่งปะทะเข้าไปแล้วก็ตรงเข้าไปภายในก้อนหินใหญ่สีดำ หายลับไปมิอาจเห็นได้อีก

 

“อะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง

 

หนีทางไหนไม่หนี แต่จักรพรรดิเป่ยเหอกลับหนีเข้าไปในห้วงมิติกลุ่มแสงที่ดูเหมือนจะเป็นทางตันแห่งนี้

 

มาถึงตรงนี้ ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็มิได้ลงมือต่ออีกแล้ว จักรพรรดิเป่ยเหอดูคล้ายว่าจะมีสิ่งใดให้พึ่งพาได้อยู่

 

เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว

 

ที่แท้แล้วเขาสามารถอาศัยก้อนหินใหญ่สีดำข้างกายหลบหนีไปได้อย่างรวดเร็ว

 

“ก้อนหินใหญ่สีดำนี้คือสิ่งใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม

 

“เจ้ามารับสัมผัสตรวจสอบดูอย่างละเอียดก็จะรู้แล้วล่ะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด “ที่นี่เป็นสิ่งที่หยวนเหลือทิ้งเอาไว้ให้กับพวกเรา ทั้งยังเป็นทางอีกเส้นหนึ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้ให้พวกเจ้าผู้บำเพ็ญด้วย! ที่นี่คือห้วงมิติกลุ่มแสงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งภายในทะเลแห่งการรับรู้ เมื่ออยู่ที่นี่ก็สามารถมองเห็นด้านที่แท้จริงของทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักได้ พร้อมกันนั้น… ที่นี่มีทางเดินอยู่แห่งหนึ่ง สามารถไปจากหุบเขาเขี้ยวหัก และไปจากดินแดนจิตโลกา ไปยังอาณาเขตที่ค่อนข้างพิเศษแห่งหนึ่งในมิติคละถิ่นได้”

 

ยอดเคารพเฮ่ากู่ยังคงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ ในสายตาก็มีความริษยาและคาดหวังรอคอย

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินไปถึงตรงหน้าก้อนหินใหญ่สีดำแล้ว สติรับรู้สายหนึ่งแทรกผ่านเข้าไป

 

“ปัง…”

 

“ในเมื่อไม่มีทางให้เข้าไปได้อีกแล้ว ก็ไปยังแหล่งอารยธรรมอื่นเถิด การขัดเกลาภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน โต้ตอบกับผู้แกร่งกล้าจากแหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน รับรอง ‘ความเป็นนิรันดร์’ ของวิถีสายนั้น หนีออกจากกรงขังอย่างแท้จริง หนีออกจากการพันธนาการของแหล่งอารยธรรมจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่กล้าแกร่งคนหนึ่ง” น้ำเสียงกังวานยิ่งใหญ่เสียงหนึ่งก้องสะท้อนอยู่ภายในห้วงความคิด

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักได้ในทันใด

 

น้ำเสียงนี้คงเป็น ’หยวน’ กระมัง และที่นี่ก็คือเส้นทางสุดท้ายที่เหล่าผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักแห่งดินแดนจิตโลกาสามารถเลือกได้หลังจากที่ไม่มีทางบรรลุ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้แล้ว

 

………………………………………..