ราชันเร้นลับ 897 : คำใบ้ของเจ้าเมือง

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 897 : คำใบ้ของเจ้าเมือง
ด้านบนสุดของหอคอยทรงกลม ภายในห้องหัวหน้าอาวุโสแห่ง ‘หกสภาอาวุโส’

โคลิน·อีเลียด ชายเจ้าของส่วนสูงตามมาตรฐานของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ ผมสีเทาค่อนข้างยุ่งเหยิงและไม่เอาใจใส่ แก้มมีริ้วรอยร่องลึก แต่ปราศจากริ้วรอยในจุดอื่น บนใบหน้ายังคงมีแผลเป็นเก่าที่บิดเบี้ยวและจมลึกหลงเหลืออยู่

มันสวมเสื้อเชิ้ตลินิน เสื้อคลุมสีน้ำตาล มีเข็มขัดที่มีเต็มไปด้วยช่องกระเป๋ารอบเอว ดวงตาสีฟ้าอ่อนเผยความลุ่มลึกและอัดแน่นไปด้วยประสบการณ์ชีวิต

รอจนกระทั่งเดอร์ริคทำความเคารพเสร็จ ‘นักล่าปีศาจ’ พยักหน้าแผ่วเบา ชี้ไปที่วัตถุบนโต๊ะข้างหน้าและกล่าว

“ยังจำพวกมันได้ไหม”

เดอร์ริคชำเลืองมอง ดวงตาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง สิ่งที่มันกำลังสนใจก็คือ หนอนแมลงสองตัวที่มีขนาดเท่านิ้วของเด็ก

หนอนกาลเวลา!

หนอนกาลเวลาโปร่งใสที่มีวงแหวนอยู่ด้านบน!

หนอนกาลเวลาเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากร่างโคลนของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์!

“จำได้ครับ” เดอร์ริคเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบด้วยสัญชาตญาณ “ของเหลือจากอามุนด์”

โคลิน·อีเลียดพยักหน้าเล็กน้อย

“หนึ่งในนั้น… คุณไอมันออกมา”

โดยไม่รอให้เดอร์ริคพูด มันกล่าวด้วยความใจเย็น

“คุณเคยบอกว่า เมื่อถูกครอบงำโดยอามุนด์ ช่วงเวลาส่วนใหญ่จะอยู่ในภาวะสับสนคล้ายความฝัน ตื่นขึ้นมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น”

เผชิญหน้ากับสายตาของเจ้าเมือง เดอร์ริคพยักหน้ารับหลายหน เป็นนัยว่ายืนยันคำให้การของตัวเอง

โคลิน·อีเลียดมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นอาคารที่อยู่ไม่ไกล

“ผมยังไม่ได้บอกสินะว่าช่วงนั้นคุณทำอะไรลงไปบ้าง… คุณประกอบพิธีกรรมสองครั้ง ครั้งแรกเป็นพันธสัญญาลับ ส่วนอีกครั้งหนึ่งคล้ายกับพิธีกรรมสังเวย แถมได้รับการตอบสนองบางอย่าง… คุณยังมีความทรงจำในตอนนั้นหลงเหลือบ้างไหม?”

อย่างที่คิด ในตอนที่เราขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูลเพื่อชำระล้างร่างโคลนของอามุนด์ด้วยพิธีกรรมพันธสัญญาลับ ทางหอคอยส่งคนมาจับตามอง… เดอร์ริคไม่แปลกใจกับคำพูดของเจ้าเมือง สิ่งนี้อยู่ภายใต้การคาดคะเนของแฮงแมน เหล่าอาวุโสของเมืองเงินพิสุทธิ์ล้วนมีประสบการณ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะเพิกเฉยต่อความไม่ปรกติ ดึงมีการเดาว่า หลังจากพาตัวเองออกจากคุกใต้ดิน ทางหอคอยจะส่งคนมาจับตามองอย่างต่อเนื่อง และเรื่องดังกล่าวก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วหลังจากมีเงาดำโผล่ออกมาขัดจังหวะระหว่างพิธีกรรมสังเวย

“ผมจำไม่ค่อยได้” เดอร์ริคทำท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้า

โคลินที่มองด้วยหางตา ถอนสายตากลับ ถอนหายใจแผ่ว

“ลองนึกให้ออก… หนอนแมลงสองตัวที่อามุนด์ทิ้งไว้ถือเป็นวัตถุที่มีค่ามาก ผมมองหาวิธีใช้งานมันมาตลอด หากเราสามารถเปลี่ยนมันเป็นไพ่ตายที่ใช้การได้อย่างลับๆ มันจะกลายเป็นไพ่ตายในยามวิกฤติ… ในสองพิธีกรรมที่คุณประกอบขึ้น อาจมีสัญลักษณ์ อักขระเวทมนตร์โบราณ หรือปัจจัยในเชิงศาสตร์เร้นลับที่สามารถอ้างถึงได้… ลองนึกให้ถี่ถ้วน”

หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เดอร์ริคคงเข้าใจความหมายเพียงผิวเผินของเจ้าเมือง แต่ในปัจจุบัน เด็กหนุ่มสามารถ ‘แปล’ คำที่เกี่ยวข้องให้กลายเป็นประโยคที่ซ่อนอยู่ จึงยังไม่ตอบสนองในทันที

“ผมรู้ว่าคุณยังมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับอามุนด์… อนุสาวรีย์บรรจุศพของอดีตเจ้าเมืองจะเปิดออกเร็วๆ นี้ ผมต้องเตรียมความพร้อมเล็กน้อยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ป้องกันไม่ให้โลเฟียร์หรือใครทำร้ายนักรบที่กล้าหาญของเมืองเงินพิสุทธิ์ ผมอยากให้คุณลองพยายามติดต่อ ดูว่าจะมีการตอบสนองบ้างไหม หรือไม่ก็บอกรายละเอียดของพิธีกรรมให้ผม”

มิสเตอร์แฮงแมนพูดถูก ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้น ยิ่งต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมากมาย และถ้ายิ่งเชี่ยวชาญในการสนทนาแบบอ้อมค้อมมากเท่าไร คู่สนทนาก็ยิ่งได้รับความกดดันน้อยลง มีโอกาสให้ความร่วมมือมากขึ้น… เดอร์ริคพบว่าศาสตร์ในการโน้มน้าวคือสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้นำ

จุดประสงค์ของเจ้าเมืองก็คือการ ‘คานอำนาจ’ กับอาวุโสโลเฟียร์และ ‘พระผู้สร้างเสื่อมทราม’ ซึ่งเป็นตัวแทนของอีกฝ่าย โคลินรู้สึกว่าตนต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้วิธีใช้งาน ‘หนอนกาลเวลา’ จึงตัดสินใจลองเสี่ยงสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล ดูว่าอีกฝ่ายพอจะมอบความช่วยเหลือได้ไหม

“ผมจะพยายามนึกให้ออก… ต้องการห้องที่เงียบสงบ” เดอร์ริคพูดพลางเว้นวรรค พยายามตอบอย่างรอบคอบ

คล้ายกับโคลิน·อีเลียดเตรียมพร้อมไว้แล้ว มันชี้ไปที่ทางเดิน

“ฝั่งตรงข้ามมีหลายห้อง เลือกห้องที่ประตูเปิดอยู่ได้เลย”

“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคคำนับและปลีกตัวออกมา สุ่มเลือกห้องว่าง ลงกลอนประตูไม้อย่างมิดชิด นั่งลงในมุมมืด ดวงตาส่องแสงสลัวพลางสวดวิงวอนด้วยเสียงต่ำ

อ่าวเดซีย์ ท่าเรืออิสเคอร์เซ่น

ไคลน์แบกสัมภาระลงจากเรือเหาะ ตรงไปตามทางเดิน เตรียมขึ้นรถของกองทัพเข้าไปในเมือง

สำหรับ ‘ถุงมือแดง’ อย่างดาลีย์·ซิโมเน่และเลียวนาร์ด·มิเชล พวกมันคือกลุ่มแรกที่ลงจากเรือเหาะ ไคลน์ได้รับการจัดคิวให้อยู่ในลำดับท้ายสุด จึงไม่ได้พบกัน

หลังจากเข้าไปในเมืองและหาโรงแรมเข้าพัก ขณะชายหนุ่มเตรียมล้มตัวลงนอนเพื่อขจัดอาการอ่อนเพลียที่เมื่อคืนนอนไม่หลับด้วยหลายปัจจัย ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงสวดวิงวอนมายาดังซ้อนทับในหัว

ฟังดูเหมือนเดอะซันน้อย… ไคลน์ปิดปากและหาว เดินเข้าห้องน้ำที่คับแคบ ถอยหลังสี่ก้าวอย่างยากลำบาก ส่งตัวเองเข้าสู่หมอกสีเทา

ไม่ผิดจากที่คาด ดาวแดงสัญลักษณ์แทนตัว ‘เดอะซัน’ กำลังกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง

หลังจากแผ่พลังวิญญาณออกไปสัมผัส ไคลน์ได้ยินอย่างรวดเร็วว่า ‘เดอะซัน’ กำลังสวดวิงวอนในเรื่องใด

เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์กำลังถามเดอะซันน้อย ไม่สิ ถามถึงคนที่มันคิดว่าเป็นอามุนด์ เกี่ยวกับวิธีใช้งานยันต์หนอนกาลเวลา… อา เราเองก็เคยประสบปัญหาเดียวกันมาก่อน และพบวิธีแก้ไขนานแล้ว… แต่การใช้หนอนกาลเวลาเพื่อสร้างยันต์โจรปล้นดวง ต้องมีการสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล แบบนี้จะเท่ากับเป็นการเปิดเผยว่า ตัวตนที่คอยหนุนหลังเดอะซันไม่ใช่อามุนด์ แต่เป็นอีกหนึ่งตัวตนลึกลับ… นิ้วชี้ขวาไคลน์เคาะลงบนขอบโต๊ะทองแดงยาวที่มีร่องรอยโบราณ พิจารณาอย่างจริงจังว่าควรตอบสนองอย่างไร

ไม่ถึงหนึ่งนาที มันพบว่าความกังวลในเรื่องนี้ไม่มีความหมาย

ก่อนอื่น หากไม่นับผู้อาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์ซึ่งอาจได้รับวิวรณ์จาก ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ไม่มีใครในเมืองเงินพิสุทธิ์ที่เข้าใจสถานการณ์ของอามุนด์อย่างเฉพาะเจาะจง มีเพียงการคาดเดาว่ามันอาจเป็น ‘เทวทูตกาลเวลา’ จากบรรดาราชาเทวทูตทั้งแปดที่รายล้อมพระผู้สร้าง ดังนั้น แม้อีกฝ่ายจะรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘เดอะฟูล’ พวกมันก็คงคิดว่านี่คือร่างหลักของอามุนด์ หรือเทพที่อามุนด์รับใช้อยู่

ประการที่สอง พระนามเต็มอันยิ่งใหญ่ของ ‘เดอะฟูล’ ไม่ได้เป็นความลับต่อ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ‘ผู้ดูหมิ่น’ อามุนด์และ ‘คนเลี้ยงแกะ’ อาวุโสโลเฟียร์แล้ว ถึงคนในเมืองเงินพิสุทธิ์จะรู้เรื่องนี้มากขึ้นก็มิได้สลักสำคัญ

ประการที่สาม เจ้าเมืองโคลิน·อีเลียดเป็นแค่ ‘นักล่าปีศาจ’ ต่อให้รู้ถึงพระนามเต็มอันสูงส่งของ ‘เดอะฟูล’ ต่อให้มีสมบัติปิดผนึกลำดับ 0 ก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะแม้แต่ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์และ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ก็ยังไม่ได้มาเคาะประตูบ้านเรากลางดึก

สิ่งที่ได้รู้ในวันนี้ก็คือ ผู้นำแห่งหกสภาอาวุโส รู้มานานแล้วว่าเดอะซันน้อยมีบางอย่างผิดปรกติ แต่เก็บงำเป็นความลับไว้ตลอด

ท่ามกลางความคิดไคลน์ มันรู้สึกว่าตัวเองต้องกล้า บางที นี่อาจเป็นโอกาสอันดีในการสร้าง ‘ลูกข่าย’ ไม่สิ สร้างสาวกจากภายในเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่ให้เดอะซันน้อยต้องอยู่ตามลำพัง

นอกจากนั้น ตัวเราในปัจจุบันพัฒนาขึ้นจากตอนที่เคยเผชิญหน้าอามุนด์มาก สั่งสมความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับเพิ่มจากเดิมหลายสิ่ง ได้ครอบครอง ‘คทาเทพสมุทร’ สามารถใช้พลังของมิติลึกลับเหนือหมอกสีเทาได้มากขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นขณะเผชิญหน้ากับลำดับ 4 ระหว่างพิธีธรรม… ตราบใดที่เราไม่ลากอีกฝ่ายขึ้นมาบนหมอกสีเทา… ไคลน์ตัดสินใจฉับไว เสกขั้นตอนการสร้างยันต์ ‘โจรปล้นดวง’ ให้กลายเป็นละอองแสง จากนั้นก็บรรจุลงไปในดวงดาวสีแดงเข้มที่เป็นสัญลักษณ์ของ ‘เดอะซัน’

ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังขึ้นในห้องเจ้าเมือง ณ ชั้นบนสุดของหอคอยทรงกลม

และไม่นานก่อนที่เสียงจะดังขึ้น โคลิน·อีเลียดรู้อยู่แล้วว่าเดอร์ริค·เบเกอร์เปิดประตูห้องฝั่งตรงข้ามและกำลังเดินมา

“เข้ามาได้” มันกล่าวพลางหันไปมองที่ประตูทางเข้า

เดอร์ริคผลักเข้ามา กล่าวคำทักทาย

“ท่านเจ้าเมือง ผมจดจำรายละเอียดบางสิ่งได้อย่างคลุมเครือ”

โคลิน·อีเลียดพยักหน้าเงียบขรึม

“เกี่ยวกับอะไร?”

“การใช้แร่เงินและปรอทเป็นวัสดุ…” เดอร์ริคบรรยายช่วงแรกของพิธีกรรมอย่างกระชับ เว้นวรรคเล็กน้อย “ในตอนนั้น ดูเหมือนผมจะเอ่ยพระนามเต็มว่า… เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”

ดวงตาของโคลินหรี่ลงเล็กน้อย พูดขัดจังหวะทันที

“สัญลักษณ์ของพระองค์คือภาพที่เหลืออยู่บนเทียนไข?”

“ใช่ครับ” เดอร์ริคตอบเยือกเย็น “วรรคที่สองคือ ผู้ปกครองลึกลับเหนือสายหมอกสีเทา”

ทันใดนั้น โคลินขัดจังหวะอีกครั้ง

“วัตถุดิบมีแค่นี้หรือ?”

“ใช่ครับ” เดอร์ริคพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ

อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มเริ่มสังเกตเห็นว่า คล้ายกับเจ้าเมืองจงใจขัดจังหวะไม่ให้ตนเอ่ยพระนามเต็มของเดอะฟูล

นั่นสินะ ภาษากลางของเราคือภาษาคนยักษ์ สามารถกระตุ้นพลังจากธรรมชาติ… หากท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์โดยตรง ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบลึกลับที่ยากจะคาดเดา… เรามักเอ่ยชื่อของมิสเตอร์ฟูลเป็นประจำเพราะทราบว่านั่นปลอดภัย แต่ท่านเจ้าเมืองไม่รู้เรื่องนี้… เดอร์ริคพูดต่อทันที

“วรรคที่สาม ราชันเหลืองดำผู้ถือครองพลังโชคลาภ”

โคลินฟังอย่างเงียบงัน พยักหน้าเล็กน้อย

“ดีมาก… แม้จะยังยืนยันไม่ได้ว่าสิ่งที่คุณเล่ามีประโยชน์หรือไม่ แต่นี่ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ ผมจะเพิ่มคะแนนผลงานให้คุณ… เชิญกลับไปก่อน หรือไม่ก็ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด”

“ครับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคก้มหน้าด้วยความโล่งใจ ก่อนจะรีบออกจากห้องทำงานด้านบนสุดของหอคอยทรงกลม

หลังจากโคลิน·อีเลียดเฝ้ามองเด็กหนุ่มจากไป มันเดินกลับไปที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานและนั่งลง จ้องหนอนแมลงโปร่งแสงทั้งสองตัว

ข้างหนอนแมลงมีสมุดหลายเล่มกระจัดกระจาย ภายในนั้นมีการบันทึกสัญลักษณ์อันประกอบด้วย ‘เนตรไร้รูม่านตา’ ครึ่งหนึ่งและ ‘เส้นบิดเป็นเกลียว’ ครึ่งหนึ่ง

สายตาของโคลินไม่ขยับเป็นเวลานาน คล้ายกับกลายเป็นรูปปั้นหินโดยสมบูรณ์

ผ่านไปสักพัก มันยืนขึ้นเชื่องช้า นำเทียนไขออกมาสามเล่ม