ตอนที่ 566 คนที่ข้ารักก็กลัวความหนาว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ถึงแม้ว่าทั่วทั้งร่างของเขาจะปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ จนมองไม่เห็นว่ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไรกันแน่ 

 

 

แต่เพียงแค่เขาปรากฏตัวออกมา บรรยากาศที่เย็นยะเยือกเสมือนดั่งจอมปีศาจจากหุบเขาที่มืดมิดก็ครอบคลุมไปกว่าครึ่งของเมืองว่านฮวาเฉิงแล้ว 

 

 

ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน คือขุมกำลังที่ลึกลับที่สุดในดินแดนจิ่วโจว 

 

 

ก่อนที่เจ้าสำนักหยินหยางจะปรากฏตัวขึ้นมา ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนคือการดำรงอยู่ของสถานที่ที่น่าหวาดกลัวที่สุดแล้ว 

 

 

ศิษย์ในสำนักของพวกเขาแต่ละคนล้วนมีฝีมือสูงส่ง ในหมู่คนเหล่านั้นมีมือสังหารอยู่ไม่น้อย 

 

 

หากจะบอกว่ายาตันกว่าครึ่งหนึ่งมีที่มาจากวังตันติ่งกง ถ้าเช่นนั้นมือสังหารกว่าครึ่งของดินแดนจิ่วโจวก็มาจากตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 

 

 

นอกจากมือสังหารแล้ว ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนยังขึ้นชื่อในเรื่องแผนการชั่วช้า…..ใช่แล้ว ทั้งยุแหย่และก่อกวนด้วยวิธีสกปรก……จนทำให้ทั้งห้าแคว้นใหญ่และขุมอำนาจต่างๆไม่อาจอยู่อย่างสงบ 

 

 

หากเป็นเพียงเท่านั้นก็ยังถือว่าแล้วไป ประเด็นสำคัญคือเหล่าคนที่มาจากตำหนักซิวหลัวเตี้ยนล้วนมีพลังฝึกปรือสูงล้ำ ไม่ใช่ผู้ที่ใครก็สามารถจะกล้าผิดใจล่วงเกินได้ง่ายๆ 

 

 

เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็เป็นผู้แข็งแกร่งถึงระดับพิศดาร ได้ยินมาว่าแค่เพียงเขาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ทุกที่ที่เขาย่างกรายผ่านไปล้วนกลายเป็นลำธารเลือด แม้แต่ต้นหญ้าก็ไม่อาจงอกเงย 

 

 

ผู้คนในดินแดนจิ่วโจวแทบจะยกย่องเขาให้เป็นผู้นำของดินแดนจิ่วโจวมาโดยตลอด 

 

 

ดังนั้นในสุดยอดการประลองครั้งก่อน จึงไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเลยว่า ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจะพ่ายแพ้ 

 

 

ทั้งยังพ่ายแพ้ให้แก่บุรุษโฉมงามที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม 

 

 

ก่อนหน้านี้ คนมากมายต่างก็คาดเดากันไปว่า งานเทศกาลหมื่นบุผชาติในครั้งนี้ เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนอาจจะไม่ยอมมาปรากฏตัว เพราะเขาเสียหน้าไปในสุดยอดการประลองอยู่ไม่น้อยมิใช่หรือ? 

 

 

แต่ใครจะไปคิดว่า เขาไม่เพียงแต่ปรากฏตัวแล้ว แถมยังทำตนโดดเด่นถึงเพียงนี้ 

 

 

เกาะลอยได้แต่ละเกาะในเมืองว่านฮวาเฉิง ล้วนแล้วแต่มีเจ้าของครอบครอง และเกาะลอยที่กว้างใหญ่และงดงามที่สุดย่อมเป็นของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 

 

 

ขณะที่ผู้คนยังมัวแต่เหม่อลอยอยู่นั้น เงาดำสายหนึ่งก็ลอยขึ้นไป 

 

 

คล้ายกับว่าจะเหาะออกมาจากทิศที่ตั้งของห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งบนชั้นบนสุดของเหลาจุ้ยเซียนจูอีกด้วย 

 

 

“เห็นชัดแล้วหรือไม่ ว่าผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นคือผู้ใด” 

 

 

“ขนาดอย่างเจ้ายังไม่อาจมองเห็น แล้วข้าจะเห็นชัดได้อย่างไร?” 

 

 

“……” 

 

 

“อย่าไปสนใจเจ้านั่นเลย จะอย่างไรเสียท่านผู้นั้นจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุดผู้หนึ่ง อย่างแน่นอนมิใช่หรือ? มิเช่นนั้นจะได้รับการต้อนรับจากห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งได้อย่างไร?” 

 

 

………….  

 

 

ตู๋กูซิงหลันติดตามท่านเจ้าสำนักหยินหยางขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้า 

 

 

เกาะแห่งนี้อยู่สูงกว่าพื้นดินถึงพันเมตร ยิ่งเหาะสูงขึ้นไป ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าอากาศด้านบนบริสุทธิ์สะอาด รอบด้านมีแต่ไอทิพย์เข้มข้นแวดล้อมอยู่ทุกด้าน ทุกลมหายใจที่สูดไอทิพย์เหล่านี้เข้าไปทำให้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นเซียนอยู่แล้ว 

 

 

เมื่อขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้า ถึงได้พบว่าทั่วทั้งเกาะล้วนแต่เป็นสีแดง 

 

 

ในดวงตาของนางเห็นแต่สีแดงของกลีบดอกไห่ถางที่ปลิวคว้างอยู่กลางสายลม สีแดงเพลิงราวอาทิตย์อัสดง จนแม้กระทั่งสายหมอกที่ไหลผ่านต้นไห่ถางก็ยังถูกย้อมเป็นสีแดงไปด้วยเช่นกัน ทัศนียภาพที่ปรากฏแก่สายตาจึงดูราวกับความฝันอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ท่ามกลางป่าดอกไห่ถาง มีต้นไห่ถางที่แสนจะงดงามเช่นเดียวกับต้นไม้มังกรของบิดาคนงามอยู่ต้นหนึ่ง 

 

 

เพียงแค่กิ่งก้านของต้นไม้ต้นนี้ ก็ครอบคลุมพื้นที่ไปแทบจะครึ่งหนึ่งของเกาะลอยแล้ว ดอกไม้บนต้นบานสะพรั่ง ไม่เพียงแค่นั้นดอกไห่ถางทุกดอกยังมีละลองสีทองจางๆเคลือบอยู่บนดอกไม้ชั้นหนึ่ง 

 

 

บนลำต้นของต้นไห่ถางต้นนี้ มีอาคารไม้ที่สร้างขึ้นอย่างมีเอกลักษณ์และวิจิตรบรรจงหลังหนึ่ง 

 

 

ชั้นที่ใหญ่ที่สุดของอาคารไม้หลังนี้จัดสร้างอยู่บนกิ่งก้านที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งที่สุดของลำต้น หากมองดูแต่ไกล ก็ราวกับตำหนักเล็กๆหลังหนึ่ง 

 

 

เมื่อได้เห็นภาพสถานที่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางกลีบดอกไห่ถางที่ล่องลอยอยู่ในสายลม ตู๋กูซิงหลันก็ใจลอยไปในทันที นี่ทำให้นางคิดไปถึงตำหนักเฟิ่งหมิงกงในแคว้นต้าโจว และยิ่งดูคล้ายกับจวนจวิ้นอ๋องในเมืองกู่เย่ว 

 

 

สีแดงที่เจิดจ้าจนบาดตา แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความโศกเศร้าจนบีบคั้นหัวใจของผู้คนออกมา 

 

 

ราวกับว่าดอกไม้เหล่านี้เกิดมาจากเลือดและเนื้อของเจียงเย่วอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเห็นนางตกตะลึงจนใจลอยอยู่กับที่ ก็หันกลับมามองดูนาง ในดวงตาของศิษย์มีหยาดน้ำตาอยู่เล็กน้อย นางเห็นสิ่งใดเข้า จึงได้ทุกข์ใจถึงเพียงนี้? 

 

 

“กลีบดอกไม้เคืองตาหรือ?” 

 

 

เขาถามออกไป 

 

 

หากว่ามันทำให้นางเคืองตา ถ้าเช่นนั้นก็เผาทิ้งให้หมด 

 

 

เขาไม่ชอบให้ในแววตาของนางมีความหม่นหมอง 

 

 

เขาชอบเห็นนางยิ้ม เห็นแววตานางมีประกาย ให้ในใจนางเบิกบาน 

 

 

“แค่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาบางเรื่องเท่านั้น….ไม่เป็นอะไร” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกโศกเศร้าที่อธิบายไม่ถูกนั้นลงไป 

 

 

พอนางพูดจบ ก็เห็นนกกระเรียนเซียนสองตัวบินลงมา กระเรียนเซียนทั้งสองส่งเสียงร้องคราหนึ่งก็ร่อนลงตรงหน้าพวกนาง 

 

 

จากนั้นเป็นแปลงกายเป็นเด็กหนุ่มสองคน 

 

 

“ท่านประมุขรอท่านเจ้าสำนักอยู่ที่หอชมจันทราแล้ว” 

 

 

ทั้งสองคนคำนับพวกนางด้วยความอ่อนน้อม จากนั้นก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เอ่ยอย่างสงบเสงี่ยมว่า “ขอท่านเจ้าสำนักติดตามพวกเรา” พูดจบแล้วหนุ่มน้อยในชุดสีขาวทั้งสองก็แปลงร่างกลับไปเป็นกระเรียน ส่งเสียงอีกครั้งก่อนโผบินขึ้นไป 

 

 

เพียงแต่บินด้วยระดับความเร็วที่ไม่มากนัก 

 

 

ท่านเจ้าสำนักมิได้ถามอะไรมากความ มือกระชับเอวบางของศิษย์น้อย สะกิดปลายเท้าครั้งหนึ่ง ก็เหาะติดตามไป 

 

 

หอชมจันทรา ตั้งอยู่บนลำต้นของต้นไห่ถาง เป็นอาคารไม้ที่วิจิตรงดงามเสมือนวังแห่งหนึ่ง 

 

 

กระเรียนเซียนนำพวกนางมาถึงที่นี่ ก็แปลงเป็นหนุ่มน้อยอีกครั้ง ต่างยืนอยู่ด้านข้างประตูบานใหญ่คนละด้าน เปิดบานประตูไม้ขนาดใหญ่ออก 

 

 

กริยาของทั้งสองแสดงท่าทางเชื้อเชิญที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน 

 

 

ประตูบานใหญ่เปิดออกกว้าง แต่ด้านในกลับปราศจากแสงสว่าง ดูราวกับว่าเป็นถ้ำที่มืดมิดแห่งหนึ่ง 

 

 

ทั้งยังดูคล้ายปากของสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกลืนกินผู้คนลงไป 

 

 

แม้ว่าที่ข้างกายของท่านเจ้าสำนักจะเพิ่มตู๋กูซิงหลันมาอีกหนึ่งคน กระเรียนเซียนหนุ่มน้อยทั้งสองก็มิได้แสดงท่าทีไม่พอใจ 

 

 

ท่านเจ้าสำนักสีหน้าเรียบเฉย ส่วนตู๋กูซิงหลันก็เพียงแต่หรี่ดวงตาดอกท้อครู่นั้นลงเล็กน้อย 

 

 

ตลอดทั้งปีอากาศของเมืองว่านฮวาเฉิงทั้งสี่ฤดูกาลล้วนอบอุ่นเสมือนฤดูใบไม้ผลิอยู่ตลอดเวลา เกาะลอยฟ้าแห่งนี้เดิมทีก็มีอากาศอบอุ่นสบาย แต่ว่าหอแห่งนี้ กลับมีไอเย็นเสียดกระดูกราวน้ำแข็งพันปี 

 

 

อากาศนอกหอแสนอบอุ่นราวฤดูใบไม่ผลิ แต่อากาศจากภายในหอหนาวยะเยือกราวฤดูหนาว 

 

 

แค่ย่างเท้าเข้าไปด้านในเพียงก้าวเดียว ความเย็นราวแผ่นน้ำแข็งก็แผ่ซ่านขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า เกาะกุมผู้คนจนแทบแข็งค้าง 

 

 

ท่านเจ้าสำนักพึ่งจะเดินเข้าไปก็หยุดเท้าลง 

 

 

เขาหยิบเอาลูกแก้วกลมสีแดงเพลิงขนาดเท่าลูกปิงปองออกมา ส่งให้กับศิษย์น้อยของตนเอง 

 

 

ทันทีที่ลูกแก้วสัมผัสกับผิวก็กำจายความอบอุ่นออกมา ความอบอุ่นนี้แผ่ซ่านจากผิวหนังเข้าสู่ร่างกาย กำจัดความเหน็บหนาวที่เกาะกุ่มอยู่ภายนอกจนหมดสิ้นไป 

 

 

“ลูกแก้ววิญญาณเพลิง เป็นของที่เจ้าแคว้นทองทำหล่นเอาไว้โดยไม่ทันระวัง” ยากนักที่ท่านเจ้าสำนักจะมีแก่ใจมาอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ศิษย์น้อยได้ฟัง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันก้มลงไปมองดูลูกแก้ววิญญาณเพลิงบนฝ่ามือ ในแววตาของนางก็ทอประกายสงสัยออกมา……ตอนที่เจ้าแคว้นทองมาที่สำนักหยินหยาง นางก็เห็นอย่างชัดเจน ว่าเขาไม่ได้ลืมอะไรเอาไว้มิใช่หรือ? 

 

 

เอาเถอะ….อาจารย์ต้าฉุยผู้นี้ดูผิวเผินวางท่านิ่งเฉย แต่ภายในกลับมีลูกเล่นแพรวพราว เจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง 

 

 

ฮึ….ได้ดั่งใจนางนัก 

 

 

ทันทีที่นางถือลูกแก้ววิญญาณเพลิงเอาไว้ในฝ่ามือ สีหน้าของท่านเจ้าสำนักก็ซีดขาวราวหิมะลงไปอีกขั้นหนึ่ง 

 

 

ถึงแม้ว่าความซีดขาวนั้นจะปรากฏขึ้นมาเพียงเบาบางแวบเดียว แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของนางไปได้ 

 

 

“เจ้ากลัวหนาวหรือ?” นางถามออกไป 

 

 

ท่านเจ้าสำนักมิได้ตอบ เพียงแต่เดินนำเข้าไปก่อน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรีบติดตามเข้าไป พลางคว้ามือของเขาเอาไว้ ส่งลูกแก้ววิญญาณเพลิงลูกนั้นกลับคืนไปบนฝ่ามือของเขา 

 

 

“คนที่ข้ารักก็กลัวหนาว หากว่าท่านคือเขา ข้าย่อมทนเห็นท่านทรมานเพราะความหนาวไม่ได้แม้แต่น้อย” 

 

 

…………………..