ตอนที่ 567 พี่ชาย.....ท่านจะบุ่มบ่ามเกินไปไหม?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ในร่างของเขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูคล้ายคลึงกับจีเฉวียน มากเสียจนหลายต่อหลายครั้งทำให้นางเข้าใจผิดไป คิดว่าเขาก็คือจีเฉวียน 

 

 

แต่เขาก็คล้ายคลึงกับอาจารย์ด้วย…. 

 

 

จะคล้ายอย่างไรนั้น นางไม่คิดจะพูดอีกแล้ว 

 

 

ได้แต่คว้ามือของเขาเอาไว้แน่ แล้วยัดเยียดลูกแก้ววิญญาณเพลิงนั้นกลับคืนลงไปบนฝ่ามือของเขาให้ได้ 

 

 

ท่านเจ้าสำนักผลักไสไม่เป็นผลสำเร็จ จึงมิได้ผลักไสอีกต่อไป เขาพลิกฝ่ามือไปกุมมือที่บอบบางของนางเอาไว้ ทั้งสองคนจึงกุมลูกแก้ววิญญาณเพลิงลูกเดียวกันเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปด้วยกัน  

 

 

ยิ่งเดินลึกเข้าไป ความมืดก็ยิ่งทึมทึบขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

ภายในเป็นห้องที่กว้างขวาง แต่กลับไม่มีเงาของคนอยู่แม้แต่คนเดียว 

 

 

ดูท่าคำเชื้อเชิญของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจะมิได้มีจุดประสงค์ดีอย่างแน่นอน 

 

 

ทั้งสองเดินเข้าไปข้างในอีกครู่หนึ่ง กลิ่นอายความตายภายในห้องก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นมา กระทั่งถึงสุดทาง รอบข้างมีแค่เพียงเทียนเล่มเดียว 

 

 

ประกายไฟสีฟ้า ที่ส่องสว่างอยู่บนเทียนสีขาว ดูเหมือนจิตวิญญาณตนหนึ่ง 

 

 

ตรงจุดที่มีแสงสว่างเข้มข้นมากที่สุดนั้น เป็นพื้นยกสูง บนพื้นยกสูงมีบัลลังก์ที่สร้างขึ้นจากทองคำดำอยู่ตัวหนึ่ง บนบัลลังก์นั้นมีเงาร่างที่อยู่ในหมอกสีดำของคนผู้หนึ่งอยู่ 

 

 

เส้นผมของเขาพลิ้วอยู่ในหมอกสีดำ ที่รายล้อมรอบกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเอาไว้อย่างแน่นหนา มีข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ มือข้างนั้นยังสวมถุงมือสีดำเอาไว้ 

 

 

มือข้างนั้นวางอยู่บนบัลลังก์ คนก็พิงร่างกับพนักด้านหลัง มองแล้วเหมือนจอมปีศาจที่อาศัยอยู่ในถ้ำลึกลับมากว่าพันปี 

 

 

ถึงแม้ว่าท่านเจ้าสำนักจะชอบสวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง ยามลงมือแต่ละครั้งก็เกิดหมอกสีดำพวยพุ่งออกมา แต่ว่าบรรยากาศรอบกายของสองคนนี้กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

 

 

“เจ้าสำนักหยินหยาง….ยากนักที่ท่านจะมาได้” ผ่านไปอีกพักใหญ่ คนที่อยู่บนบัลลังก์ถึงได้เอ่ยปากขึ้นมา 

 

 

น้ำเสียงของเขาแห้งผาด ซุ่มเสียงจึงไม่น่าฟังเท่าไรนัก เหมือนกับลำคอที่ถูกไฟแผดเผามาก่อน 

 

 

แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงของเขาก็ยังฟังดูเย็นชาจนกีดกันน้ำใจไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ 

 

 

เหล่าคนที่ตู๋กูซิงหลันได้พบพานมาบนดินแดนจิ่วโจวนี้ เมื่อได้พบกับอาจารย์ต้าฉุยก็ล้วนแล้วให้ความเคารพด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่ต้าซือมิ่งกับเจ้าแคว้นทองที่มาก่อกวน ก็ยังทำเป็นฮึกเหิมไปอย่างนั้น จากนั้นก็โกยเท้าวิ่งหนีไป 

 

 

แต่ว่าคนผู้นี้กลับไม่เหมือนกัน เขามิได้เห็นท่านเจ้าสำนักอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ 

 

 

ตัวเขาเองก็สะท้อนบรรยากาศที่เข้มแข็งอย่างยิ่งออกมา 

 

 

นับตั้งแต่ที่พวกนางเข้ามาข้างใน เขาก็นั่งอยู่บนบัลลังก์อันสู่งส่งทอดตาลงมามองดูพวกนาง 

 

 

ท่านเจ้าสำนักสีหน้าเรียบเฉย ลากลูกศิษย์ตัวน้อยของตนเองเดินไปยังเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่สนใจ แล้วนั่งลง 

 

 

ยามนี้ ท่านเจ้าสำนักมิได้แม้แต่จะเหลือบตามองดูเขาเลยสักนิดด้วยซ้ำ ฝ่ามือที่ใหญ่โตนั้นเกาะกุมลูกศิษย์ของตนเองเอาไว้อย่างแม่นมั่น ราวกับเกรงว่านางจะวิ่งหนีไป 

 

 

จากนั้นจึงค่อยเอ่ยขึ้นมาอย่างช้าๆว่า “ที่ข้ามาในวันนี้ เพื่อเอาชีวิตของเจ้า” 

 

 

ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ “…..” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “! ! !” 

 

 

อย่าอย่างนี้สิพี่ชาย…..ท่านจะบุ่มบ่ามเกินไปไหม? 

 

 

นี่ไม่คิดจะวางแผนอะไรทั้งสิ้น เปิดฉากมาก็ฟัดกันเลยหรือ? 

 

 

ที่นี่จะอย่างไรก็ยังเป็นพื้นที่ของผู้อื่น แค่เข้ามาด้านในก็สัมผัสได้ถึงความไม่ปกติธรรมดาแล้ว อีกประเดี๋ยวพวกนางอาจจะถูกเล่นงานจนตัวเย็นเป็นศพไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็ได้นะ 

 

 

ท่านเปิดปากมาก็จะทวงชีวิตผู้อื่นเลย? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันออกจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง 

 

 

แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระออกไป รออีกสักครู่หากจะตีกันขึ้นมาจริงๆ ก็คงได้แต่หัวร้างข้างแตกกันไปฝ่ายหนึ่งเท่านั้น มิเช่นนั้นจะทำอย่างไรได้ เพราะอย่างไรก็คงไม่อาจทิ้งเขาเอาไว้เพียงลำพังแล้วหนีไปเพียงผู้เดียวได้กระมัง? 

 

 

อีกประเดี๋ยวจะลงมืออย่างไรดีนางก็คิดเอาไว้หมดแล้ว 

 

 

พลังทมิฬที่อยู่ภายในร่างกายใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้ว 

 

 

ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์นิ่งตะลึงไปพักใหญ่ ค่อยยิ้มออกมาอย่างเย็นชา หมอกดำที่ด้านหลังหนาทึบ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปบนร่างของท่านเจ้าสำนัก “ตอนที่อยู่ในสุดยอดการประลอง เจ้าคิดว่าข้าผู้เป็นประมุขพ่ายแพ้ให้กับเจ้าจริงๆน่ะหรือ?” 

 

 

ทันทีที่เขาพูดจบ ฝ่ามือก็ไหววูบครั้งหนึ่ง กลางฝ่ามือปรากฏหมอกสีดำหนาแน่น มันขดตัวอยู่บนฝ่ามือของเขาคล้ายดั่งเป็นอสรพิษสีดำฝูงหนึ่ง 

 

 

“ในการแข่งขันสุดยอดการประลอง ที่ต่อสู้กับเจ้าเป็นเพียงร่างแบ่งภาคของข้าเท่านั้น เป็นพลังที่ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนเลยเสียด้วยซ้ำ” 

 

 

ขณะที่เขาพูดออกมาเช่นนี้ สายตากลับมองไปที่ตู๋กูซิงหลันมากกว่า เมื่อเร็วๆนี้ ทั่วดินแดนจิ่วโจวมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าเพื่อศิษย์คนใหม่ที่พึ่งรับตัวไว้ เจ้าสำนักหยินหยางถึงกับลบล้างวังตันติ่งกงทิ้งไป 

 

 

เดินทีเขาก็ยังสงสัยว่าเป็นศิษย์เช่นไร วันนี้เมื่อได้เห็น ก็ต้องตกตะลึงไปบ้างเช่นกัน 

 

 

ดวงตาดอกท้อคู่นั้น……. 

 

 

เพียงแค่ว่าบนร่างของเขามีหมอกสีดำครอบคลุมโดยรอบ ผู้อื่นจึงไม่อาจมองเห็นรูปโฉมของเขาได้อย่างชัดเจน ยิ่งมองไม่เห็นว่าเขากำลังว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “เจ้าช่างพูดมาก” 

 

 

“ที่ข้าผู้เป็นประมุขเชิญเจ้ามาในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อประมือกับเจ้า” ท่านประมุขที่อยู่ด้านบนมิได้มีท่าทางขุ่นเคือง 

 

 

เขาสำรวจดูตู๋กูซิงหลัน แล้วก็หันไปสำรวจดูท่านเจ้าสำนัก 

 

 

โดยเฉพาะแววตาที่มองมาที่เขานั่น 

 

 

เขาสงสัยเรื่องนี้มานานมากแล้ว ว่าเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่ใช่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับโอรสสวรรค์แคว้นต้าโจวจีเฉวียนหรือไม่ 

 

 

คำถามนี้ แม้จะผ่านมานานถึงครึ่งปีแล้ว เขาก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนออกมา 

 

 

แคว้นต้าโจวกับเขามีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าดิน ความทุกข์ทรมานที่เขาได้ประสบมาตลอดหลายปีนี้ เดิมทีต้องทวงคืนกับตระกูลจีให้หมด 

 

 

แต่เพราะดินแดนทั้งสองห่างไกลกันนับพันลี้ เขาที่ถูกกักขังควบคุมพลังเอาไว้ ย่อมไม่อาจไปยังดินแดนโบราณด้วยตนเอง ได้แต่ส่งตัวหมากต่างๆไป 

 

 

แต่ว่าตัวหมากเหล่านั้นช่างไม่มีคุณค่าใดๆเอาเสียเลย ทั้งหมดล้วนถูกจีเฉวียนเล่นงานอย่างง่ายดาย 

 

 

ยังดีที่ในท้ายที่สุด…..จีเฉวียนก็ได้ตายอยู่ที่ใต้ก้นทะเลลึก 

 

 

แต่ว่านั่นย่อมห่างไกลจากความต้องการของเขามากนัก มันไม่เพียงพอ…..สิ่งที่เขาปรารถนาคือการทำลายล้างให้แคว้นต้าโจวล่มสลาย สังหารราชวงศ์จีให้สิ้นสูญ ตอนนี้ในเมื่อมีเพียงแต่จีเฉวียนที่ตายไปเพียงผู้เดียว ย่อมไม่อาจชำระล้างความเคียดแค้นในหัวใจของเขาลงไปได้ 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ….ตอนนี้ก็ยังมีบุรุษที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีความคล้ายคลึงกับจีเฉวียนปรากฏตัวขึ้นมา 

 

 

แต่ว่ามิว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจสืบเรื่องของคนผู้นี้ออกมาได้ 

 

 

แม้กระทั่งว่าตกลงแล้วคนผู้นี้มาจากที่ใดกันแน่ก็ยังไม่สามารถสืบออกมาได้ชัดเจน เหมือนกับว่าเขาผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นอยู่ๆก็กลายเป็นประมุขของแดนจิ่วโจว 

 

 

แต่มิว่าจะใช่หรือไม่ ขอเพียงมีส่วนเกี่ยวข้องกับจีเฉวียนแม้เพียงเล็กน้อยก็สมควรตายอยู่ดี 

 

 

อสรพิษที่เกิดขึ้นจากหมอกสีดำของเขาเคลื่อนไหวอยู่บนฝ่ามืออย่างไม่ยอมสงบนิ่ง ท่ามกลางแสงสว่างที่อ่อนจาง อสรพิษจากหมอกสีดำนั้นแทบจะกลมกลืนไปกับความมืด แม้แต่ตู๋กูซิงหลันยังแทบจะมองไม่เห็น และท่ามกลางหมู่อสรพิษสีดำเหล่านั้น ยังมีเหล็กแหลมสีดำทะมึนอยู่เล่มหนึ่ง 

 

 

“หากคิดจะฆ่าข้า เกรงว่าเจ้าสำนักอย่างเจ้ายังไม่มีความสามารถพอ แต่หากเจ้าตำหนักอย่างข้าจะปลิดชีวิตเจ้า กลับง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ” 

 

 

ขณะที่เขาพูดอยู่ ก็พลิกฝ่ามือออกไปเงียบๆ ทันใดนั้นเหล่าอสรพิษสีดำบนฝ่ามือก็พุ่งเข้าหาพวกนาง 

 

 

ท่านเจ้าสำนักไม่เปลี่ยนสีหน้า มือของเขากุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น แขนเสื้ออีกข้างโบกขึ้นมาวูบหนึ่ง บนร่างก็ปรากฏหมอกสีดำหนาแน่นสายหนึ่ง หมอกนั้นพุ่งเข้าไปปะทะกับเหล่าอสรพิษสีดำ 

 

 

ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องหับก็เกิดเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นมา  

 

 

แต่เขากลับยืนอย่างมั่นคงโดยมิยอมขยับ ขณะเดียวกันฝ่ามือใหญ่ก็วาดขึ้น หมอกสีดำกลุ่มหนึ่งโอบล้อมศิษย์น้อยเอาไว้ดุจกำแพงเวทย์ชั้นหนึ่ง 

 

 

และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็เห็นว่าที่ด้านหลังของอสรพิษเหล่านั้น มีเหล็กแหลมสีดำแท่งหนึ่งบินออกมาจากด้านหลังอย่างกระชั้นชิด 

 

 

เหล็กแหลมนั่นสะท้อนแสงที่เย็นยะเยือกออกมา ราวกับลูกกระสุนที่ถูกยิงออกไป 

 

 

ท่านเจ้าสำนักนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ขยับร่างสักนิด เพียงแต่พอขยับนิ้วเบื้องหน้าของเขาปรากฏพิณโบราณตัวหนึ่งขึ้นมา มือข้างหนึ่งคว้าตู๋กูซิงหลันเอาไว้ มืออีกข้างดีดพิณเสียงหนึ่งออกไป 

 

 

พอเสียงพิณสะท้อนออกไป พริบตาเดียวก็ทำลายเหล็กแหลมนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย 

 

 

แต่ว่าเศษเสี้ยวของเหล็กแหลมนั่น ก็ยังมีชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งที่สะกิดผ่านใบหน้าของเขาออกไป 

 

 

………………………………..