นั่นเป็นเพียงแผลเล็กๆบางๆ บาดแผลราวกับเส้นผมเท่านั้น
แต่ก็ทำให้เขากลายเป็นแผลไปจริงๆ
ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ผู้นั้นลุกขึ้นยืน เขาขยับมือวูบหนึ่ง เศษเสี้ยวชิ้นส่วนของเหล็กแหลมที่ถูกเสียงพิณโบราณทำลายไปก็ลอยกลับไปอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง
และพริบตาเดียวชิ้นส่วนเหล่านั้นบนฝ่ามือของเขารวมตัวเป็นเหล็กแหลมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ เหล็กแหลมที่เคยเป็นสีดำสนิทชิ้นนั้น ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดขึ้นมา
สีแดงนั่นสะท้อนออกมาจากเนื้อในของเหล็กแหลม
พอเห็นเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป หมอกดำบนร่างกำจายออกมาเต็มไปหมด มือข้างหนึ่งกำเหล็กแหลมแท่งนั้นเอาไว้ น้ำเสียงที่เดิมก็สากจนแหบพร่ายิ่งไม่น่าฟังกว่าเดิม
“เป็นเจ้า….จริงๆด้วย”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
ฉุยซือ……คือใครกัน?
เป็นคนที่เขารู้จักหรือ…..
ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนโง่เขลา นางรู้ดีว่า เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนผู้นี้มีความแค้นลึกล้ำกับราชวงศ์จีของแคว้นต้าโจว ถึงได้คอยส่งตัวหมากไปก่อกวนและทำลายล้างรอบแล้วรอบเล่า…..
ที่เขาใช้เหล็กแหลมแท่งนั้น ก็เพียงเพื่อจะตรวจสอบอะไร ตรวจสอบฐานะของฉุยซือ?
นางทำท่าจะลุกขึ้นมา แต่ก็ถูกท่านเจ้าสำนักกดร่างลงไป
“เด็กดี อย่าได้เคลื่อนไหววุ่นวาย”
ยากนักที่น้ำเสียงของเขาจะสื่ออารมณ์ออกมา….อบอุ่นอ่อนโยน
บนใบหน้าของเขา ยังมีหยดเลือดหยดเล็กๆ พิณในมือมิได้หยุดนิ่ง เขาลุกขึ้นมา ยืนเอาตัวบังศิษย์น้อยเอาไว้ที่ด้านหลัง
พอปลายนิ้วดีดออกไป เสียงพิณเป็นชุดๆก็ถูกส่งออกไปพร้อมกับไอสังหารอันรุนแรง ไอความตายและการเข่นฆ่าเข้มข้น ราวกับว่ามีมัจจุราชจำนวนมากมายกำเนิดจากเสียงพิณของเขา โบกสะบัดเคียวด้ามยาวพุ่งเข้าหาคนบนบัลลังก์
อีกฝ่ายก็มิได้อ่อนแอ เห็นเขาโบกมืออย่างรวดเร็ว ริมฝีปากเอ่ยคาถากำกับ กลางกระหม่อมของเขาก็มีลูกแก้วสีดำลูกหนึ่งผุดขึ้นมา
และทันทีที่เขาโบกมืออีกครั้ง ลูกแก้วสีดำลูกนั้นก็พุ่งออกไป
ทันใดนั้นแรงดึงดูดที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่งก็พุ่งออกมาจากลูกแก้วสีดำลูกนั้น
ทั้งโต๊ะ เก้าอี้และสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวพวกเขาส่งเสียงแตกหักดังลั่น จากนั้นก็ถูกดึงดูดเข้าสู่ภายในลูกแก้วสีดำ
ท่านเจ้าสำนักกำบังอยู่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลัน เสื้อผ้าของเขาถูกลมดูดจนพลิ้วออกไป เสียงสายลมกรีดผ่านข้างใบหูของนาง
ทุกสิ่งภายในห้องถูกลมกระชากจนพลิกคว่ำ ทุกที่ที่สายลมไปถึงล้วนไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีก
แม้แต่แสงสว่างรอบด้านก็ยังถูกความมืดในลูกแก้วลูกนั้นดูดเข้าไป
แสงสว่าง…..ถูกฉีกสะบั้นและดึงดูดเข้าไป
ตู๋กูซิงหลันคาดเดาว่าสิ่งที่เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเขวี้ยงออกมานี้คงจะเป็นหลุมดำกระมั้ง
ใช่แล้ว…..เพราะแม้แต่เสียงพิณของอาจารย์ต้าฉุยก็ยังถูกลูกแก้วสีดำนี้ดูดกลืนเข้าไปด้วย
ทั่วทั้งห้องหับมีแต่เขาเพียงคนเดียวที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ที่เดิมราวตะปูตอกลงบนพื้น เขาหันหลังให้ตู๋กูซิงหลัน นางจึงไม่อาจมองเห็นแววตาของเขาได้
เขาระเบิดพลังวิญญาณภายในร่างออกมา สร้างเป็นอาณาเขตปกป้องที่ข้างกาย พร้อมกับผลักแรงดึงดูดของลูกแก้วสีดำนั่นออกไป
มืออีกข้างหนึ่งถึงได้ค่อยคลายออกจากศิษย์น้อย
ทันทีที่เขาปล่อยมือ ก็ไม่รู้ว่าเขาไปหยิบเอากระถางติ่งสามขาใบหนึ่งมาจากที่ใด พอกระถางติ่งใบน้อยขนาดฝ่ามือถูกเขาเขวี้ยงขึ้นไปในอากาศ ก็ขยายออกกลางเป็นกระถางที่ทั้งสูงและใหญ่ขนาดสองเมตร เสียงตึงดังขึ้นมา มันก็ครอบตัวตู๋กูซิงหลันจากศีรษะลงไปถึงปลายเท้า ปกป้องนางเอาไว้ด้านในอย่างมิดชิด
กระถางติ่งนั่นสกัดกั้นแรงดึงดูดทั้งหมดไว้ และยังปิดกั้นการมองเห็นของนางอีกด้วย
นี่เป็นอาวุธที่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง ตู๋กูซิงหลันซัดฝ่ามือใส่มันครั้งหนึ่งก็ไม่มีวี่แววว่าจะสะเทือน
………..
ที่ด้านนอกกระถางติ่ง ท่านเจ้าสำนักเก็บพิณโบราณไปแล้ว และเพราะพลังดึงดูดที่รุนแรงของลูกแก้ว แถบผ้าผูกผมของเขาจึงคลายหลวมออก และถูกดูดเข้าไปอย่างไร้ปรานี
เสื้อผ้าถูกดูดกระชากจนขาดวิ่น แต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาขยับร่างวูบหนึ่งก็พุ่งทะยานอ้อมผ่านลูกแก้วสีดำไปถึงเบื้องหน้าเจ้าซิวหลัวเตี้ยนในวูบเดียว
ฝ่ามือใหญ่กำเป็นหมัด ต่อยใส่ใบหน้าของเขาอย่างตรงๆ
เจ้าซิวหลัวเตี้ยนขยับตัววูบหนึ่งอย่างรวดเร็ว หลบหมัดนั้นได้อย่างทันท่วงที
หมอกสีดำที่ด้านหลังของเขาหมุนวน แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นสับสนวุ่นวาย
เพราะแม้แต่เขาเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ แม้แต่ของวิเศษเช่นลูกแก้วโลกาวินาศนี้ก็ยังหลบได้
ลูกแก้วสีดำลูกนี้ เป็นของวิเศษที่สืบทอดกับมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ในลูกแก้วสีดำ คือโลกมืดที่สับสนวุ่นวายใบหนึ่ง ของเพียงถูกดึงดูดเข้าไป ก็จะต้องถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้แต่วิญญาณก็ไม่มีหลงเหลือ!
นับแต่นั้นก็ต้องถูกกักขังอยู่ในโลกาวินาศที่มืดมิดใบนี้ตลอดไป
ลูกแก้วโลกาวินาศของเขาใบนี้ ไม่รู้ว่าดึงดูดผู้คนเข้าไปมากน้อยเพียงไรแล้ว …..แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครรอดพ้นจากมันมาก่อน
แต่ว่าคนผู้นี้……
หมัดแรกของท่านเจ้าสำนักพลาดไป เขาก็ต่อยหมัดที่สองออกมาติดๆกัน
พลังที่แข็งแกร่งและรุนแรงผนวกเข้ามาพร้อมกับหมัด
หอชมจันทราของเขา สร้างขึ้นจากไม้วัชระทั้งหลัง ยังแข็งแกร่งกว่าก้อนหินมากมายหลายเท่านัก แต่กลับถูกกำปั้นของเขาต่อยใส่จนหักกระเด็นออกมา?
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนถึงกับขมวดคิ้ว
เขาถอยหลังไปสองก้าว ริมฝีปากท่องคาถาไม่หยุด คิดจะเรียกลูกแก้วลูกนั้นกลับมา
แต่ว่าท่านเจ้าสำนักย่อมไม่เปิดโอกาสให้กับเขา หมัดที่ต่อยออกไปแจกจ่ายราวกับให้เปล่า ทุกหมัดที่เหวี่ยงออกมาล้วนหนักหน่วง
หมัดที่รัวออกมาเป็นชุดบีบให้เขาต้องล่าถอยอย่างไร้หนทาง
ในใต้หล้านี้ไม่ว่าศาตราวุธที่แข็งแกร่ง พลังวิญญาณ หรือเทพอาวุธใดๆย่อมมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด….ย่อมเป็นตบะที่เกิดจากการฝึกฝนด้วยตนเอง
เมื่อฝึกฝนจนแข็งแกร่ง เพียงแค่ไม่กี่หมัด ก็สามารถกระแทกภูเขาให้พังทะลายได้
เช่นเดียวกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้….
เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะหยิบเอาอาวุธชิ้นใหม่ออกมา เขาได้แต่ต้องรับหมัดและโต้กลับด้วยมือเปล่า
แต่ว่าร่างเนื้อของเขาไม่อาจต้านทานท่านเจ้าสำนักได้
พอต่อยเข้าไปหลายๆครั้งเข้า ในที่สุดหมัดของเขาก็ต่อยลงไปบนใบหน้าของอีกฝ่าย
หมัดนี้ต่อยลงมา เกรงว่าแม้แต่ภูเขาน้อยๆก็ยังต้องถล่มลงไป
เสียงกระดูกแตกลั่นดัง ‘เปรี๊ยะ’……ออกมาอย่างชัดเจน
ยามนี้แม้แต่หมอกสีดำบนร่างของเขาก็ยังถูกหมัดนั้นกระแทกใส่จนสลายตัวออกไป
ใต้หมอกสีดำ คือใบหน้าที่มิได้สมบูรณ์ใบหน้าหนึ่ง
ใบหน้าที่เหมือนกับถูกไฟแผดเผาจนผิวหนังหลุดลอกออกมา ดวงตาก็ไหม้เกรียมจนเหลือแต่ลูกนัยตา แม้แต่เส้นผมก็ถูกเผาจนหมดสิ้น
บุรุษผู้นี้ดูแล้วยังน่าหวาดกลัวกว่าภูตผีเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น บนลำคอของเขายังมีรอยบาดที่ชัดเจน บาดแผลนั้นมีเส้นลวดสีเงินเย็บตรึงบาดแผลเอาไว้…..
เป็นคนผู้หนึ่ง….แต่ก็มิใช่มนุษย์
ร่างกายของเขา เมื่อเข้าไปใกล้ก็สามารถได้กลิ่นเหม็นชนิดหนึ่งลอยออกมาจางๆ….กลิ่นศพ
ถึงแม้ว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้ แต่ท่านเจ้าสำนักก็มิได้เปลี่ยนสีหน้า…. ดวงตาหงส์คู่นั้นไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความหวาดกลัวให้เห็น
ราวกับว่า เขารู้ถึงสภาพร่างกายของอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกแล้ว
เขายังคงยกหมัดขึ้นมา เอ่ยอย่างเย็นชาไร้อารมณ์ใดๆว่า
“ข้าบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าวันนี้จะมาเอาชีวิตของเจ้า”
เมื่อถูกคนเปิดเผยรูปโฉม เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็โกรธเกรี้ยวอย่างหนัก ใบหน้าที่เดิมก็อัปลักษณ์อย่างที่สุดนี้ พอเกิดความเกรี้ยวกราดก็ยิ่งดูย่ำแย่ไปกว่าเดิม
“ข้าคือคนที่ตายไปแต่แรกครั้งหนึ่งแล้ว ยังจะต้องเกรงกลัวเจ้าอีกหรือ…..จีเฉวียน เจ้ามันสมควรตายไปตั้งนานแล้วเช่นกัน”
จีเฉวียนสองคำนั้น ทำให้หมัดที่ยกขึ้นมาของท่านเจ้าสำนักชะงักไปในอากาศวูบหนึ่ง
ยามปกติก็มักจะได้ยินศิษย์ตัวน้อยเอ่ยถึงชื่อนี้อยู่บ่อยๆ เขาได้ยินบ่อยเสียจนใบหูจะเข้าดักแด้แล้ว
วันนี้กลับเป็นผู้อื่นเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาให้ได้ยินอีก จีเฉวียน
…………………….