บทที่ 593 ทำงานแปล

หลังจากมีลูกสาวคนนี้ หลินชิงเหอก็รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์แค่เป็นยุ้งเก็บข้าวเท่านั้น ตอนนี้ทำได้เพียงมองสองพ่อลูกเหมือนคนกินข้าวหมาอยู่อย่างนี้

ลูกชายมักจะลำเอียงไปทางแม่ ลูกสาวมักจะลำเอียงไปทางพ่อ คำพูดนี้ดูจะมีความเป็นไปได้สูงทีเดียว เพราะตอนเธอที่อุ้มหล่อน หล่อนก็ไม่ยิ้มให้เธอเลย

เธออุ้มท้องอย่างยากลำบากถึง 10 เดือนกว่าจะคลอดออกมา แต่หล่อนไม่ยิ้มให้เธอเลย ยิ้มให้แต่พ่อของหล่อน อีกทั้งยังชอบฟังเสียงของพ่อหล่อนด้วย

มีครั้งหนึ่งหล่อนร้องไห้แล้วพ่อของหล่อนกำลังอาบน้ำอยู่ไม่ว่างมาโอ๋ หล่อนก็ตะเบ็งร้องอย่างกับจะเป็นจะตาย แต่เพียงพ่อหล่อนวิ่งออกมาจากห้องน้ำ และพูดเพียงสองประโยค หล่อนก็สงบลงมาได้ในทันที

เมื่อพ่อของหล่อนอาบน้ำเสร็จ หล่อนก็จะถูกอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน

หลินชิงเหอจินตนาการถึงพล็อตนิยายในหัว สงสัยว่าลูกสาวตัวเองคนนี้จะทะลุมิติมาเกิดใหม่อะไรอย่างนั้นไหม ถึงได้เอาแต่เรียกพ่อหล่อนแบบนี้

ตะโกนเรียกจนไอคิวของพ่อหล่อนลดลงเหลือศูนย์แล้ว!

แน่นอนว่านั่นเป็นความคิดพิสดารของเธอเอง ลูกสาวของเธอเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้ว แต่โชคชะตาก็ช่างน่าประหลาด บางทีตอนที่หล่อนอยู่ในท้อง โจวชิงไป๋ก็ชอบมาคุยพูดกับหล่อนบ่อย ๆ หรือว่านั่นจะเป็นสาเหตุกันนะ?

“ภรรยาครับ ซุปไก่นี่ตุ๋นมาให้คุณโดยเฉพาะเลย” ตอนที่กินข้าว โจวชิงไป๋ก็พูดขึ้น

หลินชิงเหอค้อนเขาหนึ่งที แล้วพูดอย่างไม่พอใจ “หมายความว่าอะไรที่บอกว่าตุ๋นมาให้ฉันโดยเฉพาะคะ คุณตุ๋นมาให้ลูกสาวคุณต่างหาก”

“กินคนหนึ่งบำรุงได้ถึงสองคนเลยไงครับ คุณไม่ต้องกลัวอ้วน คุณกินน้อยขนาดนี้อ้วนไม่ได้หรอก” โจวชิงไป๋พูด

หลินชิงเหอไม่รู้สึกว่าตัวเองกินน้อยเลย ข้าวสวยหนึ่งถ้วย เนื้อ ปลา และไข่ล้วนมีทุกอย่าง และก็ยังมีน้ำแกง แม้ว่าปริมาณจะไม่เยอะ แต่ว่าไม่น้อยอย่างแน่นอน

แต่อย่าให้พูดเลย แม้ว่าการให้นมแม่กับลูกจะเหนื่อย แต่เพราะว่าต้องใส่ใจเรื่ององค์ประกอบของอาหารที่กิน จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ทำให้อ้วนขึ้นได้หรอก

เดิมทีเธอยังรู้สึกกังวลใจอยู่เลย

แต่หลินชิงเหอก็รับมากินอยู่ดี ก่อนจะพูดกับโจวซื่อนี “ซื่อนีเธอก็ต้องกินเยอะ ๆ เหมือนกันนะ”

“ตั้งแต่หนูมาที่นี่ก็อ้วนขึ้นเยอะแล้วค่ะ แต่อาสะใภ้สี่คะ ที่อาสี่พูดมาก็มีเหตุผลนะคะ ดังนั้นไม่ต้องกลัวอ้วนหรอกค่ะ น้ำนมที่ให้มี่มี่จะได้เอาไว้บำรุงร่างกายหล่อนได้” โจวซื่อนีพูดโน้มน้าว

ตอนที่หล่อนอยู่กับพี่สาวรองของหล่อนและซานนี พวกเธอจะกินเยอะมาก ทำให้เด็ก ๆ พากันตัวอ้วนกลมกันหมด

“อารู้จักประมาณตัวเองอยู่นะ” หลินชิงเหอพูด เธอเองก็ไม่ใช่แม่เลี้ยงเสียหน่อย ที่จะให้ลูกสาวต้องหิวน่ะ เพียงแต่เธอกินได้น้อย กินเยอะมากไม่ไหว

อาหารหนึ่งมื้อจบไป หลินชิงเหอจึงเริ่มยืดตัวออกกำลังกายแล้ว ถ้วยชามก็ให้ซื่อนีเก็บไปล้าง โจวชิงไป๋ก็เข้าไปดูลูกสาวแล้ว

ตอนนี้เด็กน้อยคลอดออกมาเป็นเดือนที่สองแล้ว เด็กทารกหลายคนก็มักจะวุ่นวายในเดือนนี้ที่สุด แต่ว่ามี่มี่ของเธอกลับสงบมาก มีแค่ตอนที่รู้สึกไม่สบายจึงจะส่งเสียงกระจองอแง หรือไม่ก็เป็นตอนตื่นนอน และตอนที่ไม่ได้กลิ่นของพ่อหล่อนก็จะร้องไห้

หล่อนฉลาดมาก ไม่อย่างนั้นหลินชิงเหอจะมีความคิดพิสดารอย่างนั้นได้อย่างไร?

โจวชิงไป๋มองเธอนิด ๆ ลูกสาวยังคงนอนหลับอยู่ และหลับอย่างมีความสุขเสียด้วย เขาก็ไม่คิดจะกวนให้หล่อนตื่นขึ้นมาเช่นกัน

“ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าต้องให้เธอหย่านมแล้วนะคะ” หลินชิงเหอพูดกับเขา

ตอนนี้เธออยากจะออกไปเดินเที่ยวซื้อของ และก็จัดการหน้าร้านบางส่วนอะไรทำนองนั้น แต่ก็ไปไม่ได้ พอออกไปไม่ทันไร เด็กน้อยที่อยู่ในบ้านก็จะต้องดื่มนมทุก ๆ สองชั่วโมงครั้งหนึ่ง แล้วเธอจะหนีไปไหนได้?

“ปีหน้าเธอก็ยังเล็กอยู่นะ” โจวชิงไป๋พูดอย่างลังเลใจ

“ไม่เล็กแล้วค่ะ สี่เดือนกว่าก็โตแล้ว สามารถกินข้าวโอ๊ตได้แล้ว” หลินชิงเหอพูด

“ถึงหกเดือนก่อนค่อยว่ากัน” โจวชิงไป๋เหลือบมองแล้วพูดกลับ

หย่านมตอนสี่เดือนเนี่ยนะ? ยังเด็กเกินไปแล้ว โจวชิงไป๋รู้สึกว่าควรจะให้นมแม่มากกว่านี้อีกหน่อย ถ้าเป็นหกเดือนละก็ยังพอรับได้

“งั้นปีหน้าฉันจะสามารถทำอะไรได้ล่ะคะ?” หลินชิงเหอมองเขาแล้วพูด

“ไม่ใช่ว่าปีหน้าพวกเราจะเป็นร้านขายชาเหรอ ถึงตอนนี้จะยุ่งมาก พาลูกสาวไปด้วยแล้วพวกเราก็ไปโรงน้ำชาด้วยเลย” โจวชิงไป๋พูด

“คุณไม่กลัวว่ามันจะยุ่งยากเหรอไงคะ” หลินชิงเหอพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดี ที่จริงหล่อนก็คิดว่าสี่เดือนมันน้อยเกินไปเหมือนกัน จึงพูด “หกเดือนแล้วกันค่ะ กินถึงหกเดือนฉันจะให้หย่านมแล้วค่อยให้กินอย่างอื่น”

“ดี” โจวชิงไป๋ถึงพยักหน้าได้

หลินชิงเหอออกกำลังเสร็จแล้ว จึงหยิบหนังสือแล้วเริ่มเปิดอ่าน โจวชิงไป๋ซื้อหนังสือภาษาอังกฤษกลับมาให้อีก 2-3 เล่ม ยังมีที่ต้องแปลด้วย ดังนั้นเวลาว่างเธอไม่มีอะไรทำก็จะฝึกฝีมือแปลดู

ความเร็วในการแปลถือว่าเร็วมาก ร้านหนังสือต่างพากันมาหาเธอ และถามว่าอยากจะร่วมมือกันในระยะยาวไหม?

หลินชิงเหอเป็นคนเปิดเส้นทางนี้ เธอคิดว่าปีหน้าไม่แน่ว่าตัวเองอาจไม่ได้กลับไปตำแหน่งเดิมไป งั้นเธอก็จะหางานแปลมาทำ และยังเป็นงานที่สามารถนำกลับบ้านไปทำแบบนั้นได้ด้วย

ตอนนี้การแปลภาษากำลังเป็นที่นิยม เพราะมีผลงานชิ้นเอกของต่างประเทศมากมายที่ต้องการแปลเป็นภาษาจีน หรือแปลจากภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศ

กางร่วมงานในระยะยาวนั้นเธอปัดทิ้งไปแล้ว แต่ถ้าเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ยังสามารถร่วมงานไปได้ก่อน

ตอนที่เซวียเหม่ยลี่นำซุปขาหมูมาให้ก็ถามว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่?

พอได้ยินว่าเธอกำลังทำงานแปลอยู่ หล่อนก็รู้สึกนับถือเธอขึ้นมาทันที “ฉันก็คิดว่าจะไปเอางานฝีมือมาทำเหมือนกัน แต่หมวกสานที่คุณแม่ทำฉันก็ทำไม่เป็น งานแปลของคุณอันนี้ฉันยิ่งทำไม่ได้ใหญ่ ทำให้ตอนนี้ฉันรู้ว่าตัวเองไร้ประโยชน์จริง ๆ ค่ะ”

“คุณอย่าคิดมากเลย เดี๋ยวก็จะเป็นภรรยาของท่านผู้ว่าอยู่แล้ว พอว่างไม่มีอะไรทำ ก็ออกไปดื่มกาแฟจิบชา ฟังดนตรีดีจะตายค่ะ” หลินชิงเหอพูด

เซวียเหม่ยลี่ยิ้มออกมาแล้ว “ชีวิตแบบนั้นฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ”

“ภรรยาผู้ว่าการคนหนึ่งทำไมจะทำไม่ได้ เธอแค่ใช้ชีวิตกันประหยัดก็เท่านั้น” หลินชิงเหอพูด

“ก็แค่ภรรยาของรองผู้ว่าการตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งค่ะ” เซวียเหม่ยลี่ยิ้มพูด และพูดต่อว่า “นี่เป็นซุปขาหมูถั่วลิสงที่ฉันตั้งใจทำมาให้ค่ะ ทำให้มีน้ำนมมาก คุณต้องดื่มเยอะ ๆ หน่อยนะคะ”

“น้ำใจของเธอฉันต้องรับไว้อยู่แล้ว” หลินชิงเหอพูด แม้ว่าในใจจะรู้สึกจนใจก็ตาม แต่เซวียเหม่ยลี่ก็มีความตั้งใจจริง ๆ หล่อนส่งซุปขาหมูถั่วลิสงตุ๋นมาอย่างดีมาให้เธอ 2-3 รอบแล้ว

“พ่อบุญธรรมของเสี่ยวเกิงล่ะคะ?” เซวียเหม่ยลี่พูด

“เขานอนหลับอยู่ในห้องกับลูกสาวของเขาแล้วล่ะค่ะ” หลินชิงเหอหัวเราะ

“เขารักลูกสาวมากจริง ๆ นะคะ” เซวียเหม่ยลี่ยิ้มพูด หลังจากนั้นก็เร่งให้หลินชิงเหอดื่มซุปขาหมูและก็ดื่มให้หมด

หลินชิงเหอดื่มหมดแล้ว แม้ว่าจะรู้สึกเลี่ยนเล็กน้อย แต่ก็อร่อยดี ถ้าเป็นกับโจวชิงไป๋เธอก็คงจะกระเง้ากระงอดเขาแน่ แต่พอเซวียเหม่ยลี่เป็นคนยกมา เธอก็ย่อมต้องรับไว้

“งั้นเชิญคุณทำงานต่อเถอะค่ะ ฉันขอตัวกลับก่อนแล้ว ครั้งหน้าจะตุ๋นมาให้ใหม่นะคะ” เห็นเธอกินแล้ว เซวียเหม่ยลี่ก็ดีใจมากเช่นกัน เธอยิ้มแล้วพูดออกมา

“เมื่อเช้าชิงไป๋ซื้อกุ้งกลับมาไม่น้อย คุณเอากลับไปด้วยสักหน่อย ให้เสี่ยวเกิงกินสิคะ เขาชอบกินกุ้งทะเลค่ะ” หลินชิงเหอลุกขึ้นพูด

“ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อเช้านี้ฉันไปซื้อมาแล้วเหมือนกันค่ะ” เซวียเหม่ยลี่รีบพูด

“นำกลับไปด้วยสักหน่อยเถอะค่ะ กำลังสดเชียว” หลินชิงเหอพูด และแบ่งส่วนหนึ่งออกมา เรียกให้เซวียเหม่ยลี่รับไว้

…………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มีงานไหนที่แม่ทำไม่ได้บ้างคะ การแปลหนังสือนี่ต้องใช้ทักษะมากเลยนะคะ แปลได้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่แปลเป็นภาษาปลายทางให้อ่านรู้เรื่องและลื่นไหลทั้งที่เก็บเนื้อความต้นทางไว้ได้ครบนี่มันยากนะคะ

นี่ก็ยังคิดอยู่เหมือนกันค่ะว่าผู้แปลเองแปลเรื่องนี้ได้รู้เรื่องดีไหม ขอถามความเห็นผู้อ่านหน่อยนะคะ

ไหหม่า(海馬)