บทที่ 594 ขอความช่วยเหลือ

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 594 ขอความช่วยเหลือ

เมื่อเซวียเหม่ยลี่กลับไป หลินชิงเหอก็เริ่มทำงานแปลของตัวเอง

หลังตั้งท้องลูกมานานจนเกียจคร้าน แม้ว่าจะอ่านหนังสือไม่น้อย แต่ตอนที่ท้องนั้นเธอก็ขี้เกียจจริง ๆ นั่นแหละ สมงสมองอะไรก็ไม่ได้ใช้งานเลย

ตอนนี้ต้องค่อย ๆ รวบรวมความคิดกลับมาแล้วจึงจะทำได้

แม้จะแปลออกมาได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เห็นชัดเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เหมาะสมกับสภาพที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้แล้ว

หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงร้องเพลงกล่อมลูกสาวของโจวชิงไป๋ดังมาจากภายในห้อง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้หล่อนตื่นแล้ว

โจวซื่อนีเห็นดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “อาสี่นี่รักมี่มี่จริง ๆ นะคะ”

“ซื่อนี พรุ่งนี้เธอกลับปักกิ่งไปก่อนเถอะจ้ะ” หลินชิงเหอพูดกับหล่อน

เนื่องจากหล่อนกำลังคบหาอยู่กับเวิงกั๋วต้ง ถ้าที่นี่งานยุ่งมากก็คงถือว่าแล้วกันไป ต้องให้ซื่อนีช่วยต่ออย่างไม่มีทางเลือก แต่ตอนนี้เธอออกจากการอยู่ไฟหลังคลอดแล้ว โจวชิงไป๋เองก็แสดงความสามารถในการเป็นพ่ออย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ตอนที่อยู่ไฟ ดังนั้นไม่สู้ให้ซื่อนีกลับปักกิ่งไปก่อนจะดีกว่า

“ได้ค่ะ” โจวซื่อนีนิ่งไปสักพัก แต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรเช่นกัน เพราะอาสี่ของหล่อนดูแลน้องสาวของหล่อนได้ดีแค่ไหนก็เห็น ๆ กันอยู่ หล่อนอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะกลับไปปักกิ่งทำธุระที่นั่นไปก่อน

“กลับไปแล้วเธอก็ลองตั้งใจคบกับกั๋วต้งดูนะ เขาน่ะมีใจให้แล้ว เดิมทีเขาก็ยอมรับในตัวเธอด้วยเหมือนกัน” หลินชิงเหอพูดเตือน

ครั้งก่อนในตอนที่โทรศัพท์คุยกับโจวเสี่ยวเหมย เธอก็ได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา โจวเสี่ยวเหมยยังบอกว่าเวิงกั๋วต้งเคยไปเยี่ยมท่านพ่อท่านท่านแม่โจวแล้ว การกระทำแบบนี้ของเขายังไม่ชัดเจนพออีกอย่างนั้นเหรอ?

“ไว้หนูพาเขากลับบ้านแล้วค่อยว่ากันอีกทีนะคะ” โจวซื่อนีพูด

“จ้ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

เธอเองก็ดูออกเช่นกัน ซื่อนีไม่ใช่ว่าไม่ยอมตอบตกลง หล่อนเพียงกังวลใจว่าเวิงกั๋วต้งจะไม่รู้จักหล่อนโดยแท้จริง จึงอยากจะพาเขากลับไปให้เห็นบ้านของหล่อน ไม่แน่ว่าถ้าเขาเห็นสภาพแวดล้อมชนบทแล้ว เขาอาจจะเปลี่ยนความตั้งใจก็ได้?

แต่ซื่อนีกลับไม่ได้คิดเลยว่า ถ้าหล่อนไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเวิงกั๋วต้งแล้วจะพาเขากลับมาด้วยทำไม? ถ้าทำให้เวิงกั๋วต้งผวาหนีไปแล้ว พ่อแม่ที่ชนบทจะยังมีหน้าไว้รักษาอีกเหรอ?

แต่เรื่องเช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้น บ้านแม่ของหล่อนตอนนี้เป็นบ้านอิฐแล้ว แถมหวังหยวนยังบอกเลยว่ารอให้ฝาแฝดมังกรหงส์โตกว่านี้หน่อย ถึงตอนนั้นจะพาพวกเขามาเยี่ยมคุณตาคุณยาย

เห็นชัดว่าเขาไม่มีทางทอดทิ้งเช่นกัน

เวิงกั๋วต้งรู้มานานแล้วเช่นกันและทำใจเตรียมพร้อมไว้แล้ว อีกอย่างก็คือแม้ว่าเวิงกั๋วต้งจะถูกซื่อนีให้ฉายาว่าเป็นคุณชายน้อย แต่ความจริงเขาก็ไม่ใช่คนที่ถือตัวเลย ตอนที่เป็นทหารเขาก็เคยผ่านความลำบากมาแล้วเช่นกัน

ในการกลับบ้านแม่ไปครั้งนี้ก็เพื่อจะพิสูจน์ทัศนคติของเวิงกั๋วต้ง โจวซื่อนีจะได้ไม่กังวลใจอีก

วันถัดมาโจวซื่อนีก็กลับไปแล้ว ซึ่งเจ้าสามโจวกุยหลายเป็นคนบอกกับเวิงกั๋วต้งให้ไปรับหล่อนโดยเฉพาะ

ดังนั้นเมื่อโจวซื่อนีมาถึงสถานีรถไฟ ก็มองเห็นเวิงกั๋วต้งนั่งคร่อมอยู่บนจักรยานและโบกมือเรียกมาทางเธอแล้ว

โจวซื่อนีจึงเดินมาหาเขา “มารอนานแล้วเหรอคะ?”

“ไม่นานหรอกครับ” เวิงกั๋วต้งรับกระเป๋าเธอมาวางไว้บนรถ และพาหล่อนออกมาข้างนอก “ผมนึกว่าคุณจะกลับมาพร้อมกับน้าหลินเสียอีก”

“น้าหลินให้ฉันกลับมาก่อนน่ะค่ะ” โจวซื่อนีพูดตอบกลับเช่นกัน

เวิงกั๋วต้งหัวเราะ “น้าหลินช่างเข้าใจความคิดของผมจริง ๆ”

สิ้นประโยคนั้นโจวซื่อนีก็ไม่ได้พูดอะไรอีกแล้ว พอมาถึงถนนแล้วโจวซื่อนีถึงคิดขึ้นมาได้และพูดขึ้น “ขี่จักรยานมาทำไมกันคะ นั่งรถมาก็ได้นี่”

“นั่งรถแล้วมีกลิ่นควันกลิ่นน้ำมัน คุณไม่ชินนี่” เวิงกั๋วต้งพูด

อีกอย่างหล่อนก็เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แค่นี้เขาจะขี่จักรยานไม่ไหวเลยเหรอ อย่ามองว่าตอนนี้เขามาทำงานเอกสารแล้วจะไม่แข็งแรงเชียว เพราะก่อนหน้าเขาก็เคยรบมาก่อนเช่นกัน

โจวซื่อนีเม้มปากนั่งอยู่บนจักรยานเงียบ ๆ สักพัก จึงพูดขึ้นมา “ปีนี้คุณจะมีวันหยุดเมื่อไหร่คะ?”

“วันที่ยี่สิบของเดือนธันวาคมครับ” เวิงกั๋วต้งพูด ทั้งที่จริง ๆ ไม่ใช่ วันหยุดของเขาคือประมาณวันที่ยี่สิบห้าธันวาคม แต่เขาสามารถลาหยุดได้ เนื่องจากต้องกลับไปบ้านของคนรัก ซึ่งเรื่องนี้หัวหน้าก็เข้าใจ

“งั้น…งั้นถึงตอนนั้นคุณจะกลับไปบ้านของฉันไหมคะ?” โจวซื่อนีพูดอย่างลังเล

“ผมควรจะไปพบคุณพ่อคุณแม่คุณเสียหน่อย” เวิงกั๋วต้งพยักหน้าพูด

โจวซื่อนีมองสิ่งก่อสร้างสองข้างทางแล้วพูด “ไปที่ชนบทของพวกฉันคุณน่าจะรับไม่ได้ ถ้าไม่พอใจคุณก็บอกฉันนะคะ สามีของลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงของฉันก็อยู่ปักกิ่ง พอไปบ้านป้าใหญ่เขาก็รับไม่ได้แล้ว”

เวิงกั๋วต้งพูด “ไม่ใช่ว่าสามีของพี่สาวรองคุณชอบบ้านของคุณมากเหรอ?”

โจวซื่อนีเข้าใจความหมายของเขา และไม่ได้พูดอะไรอีก ถ้า…ถ้าเขาเห็นแล้วไม่รังเกียจล่ะก็ งั้นหล่อนก็จะ…แต่งงานกับเขา!

เวิงกั๋วต้งมาส่งโจวซื่อนีที่บ้านของท่านพ่อท่านแม่โจว ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ใช่ช่วงเช้าแล้ว อย่างไรก็ตามท่านพ่อท่านแม่โจวก็ยังบอกให้เขาอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน

ในสายตาของสองสามีภรรยาเฒ่า ตอนนี้เวิงกั๋วต้งหนีตำแหน่งลูกเขยของหลานสาวคนที่สี่ไปไม่ได้แล้ว เนื่องจากเขาแสดงอาการชอบหลานสาวพวกเขาถึงขนาดนี้ และเขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจบ้านที่ชนบทอีกด้วย

ไม่ต้องบอกเลยว่ามันจะเป็นเรื่องแย่ ต่อให้เป็นเรื่องแย่ อย่างไรเมื่อซื่อนีแต่งออกไปก็ย่อมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับลูกสาวของนางขนาดนั้น และเวิงกั๋วต้งก็ไม่ต้องไปอยู่ที่ชนบทด้วย

ท่านแม่โจวกลับเป็นห่วงโจวชิงไป๋ หลินชิงเหอ และหลานสาวคนเล็กที่ยังไม่เห็นหน้ามากกว่า

แน่นอนว่าเสี่ยวมี่มี่เป็นหลานสาวรุ่นที่สามของตระกูลโจว เป็นสมบัติล้ำค่า*ที่อายุน้อยที่สุด

(*คนจีนเปรียบลูกสาวว่าเป็นสมบัติ)

“คุณย่าวางใจได้ค่ะ อาสี่ตอนนี้เก่งมาก ก่อนหน้านี้ที่บอกพวกเราว่าไม่ต้องไป หนูยังแอบกังวลอยู่เลย แต่พอไปเห็นด้วยตัวเองก็รู้ว่าอาสี่เก่งจริง ๆ ค่ะ” โจวซื่อนีพูดด้วยรอยยิ้ม

นอกจาก 2-3 วันแรกที่ยังไม่ชิน ตอนหลังก็ไม่มีอะไรที่อาสี่ของหล่อนทำไม่ได้แล้ว

“หนูเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับพี่สะใภ้สี่ หล่อนบอกว่าตอนนี้เธอแทบจะไม่มีตัวตนแล้ว จิตใจพี่สี่ไปลงอยู่ที่ลูกสาวเขาหมดแล้วค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยยิ้มพูด

“ที่ไหนกันคะ อาสะใภ้สี่ขออะไรอาสี่ก็ทำให้หมด” โจวซื่อนียิ้มพูด

“ตอนนี้หล่อนยังเล็กเกินไปหน่อย แต่ต่อไปฉันกลัวว่ามันจะยิ่งหนาวกว่านี้น่ะสิ” ท่านแม่โจวพอได้ยินก็ไม่กังวลอะไรแล้วจึงพูดขึ้น

“ห่อตัวดี ๆ ก็ไม่ต้องกังวลแล้วค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพูด

หากเพิ่งออกจากการอยู่ไฟล่ะก็ จะถือว่าเด็กยังเล็กเกินไป รอให้ผ่าน 2 เดือนไปก่อนน่าจะดีที่สุด ต่อให้ 2 เดือนจะไม่เล็กแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือก

“พวกเธอวางแผนจะกลับบ้านตอนไหนล่ะ?” โจวเสี่ยวเหมยเปลี่ยนหัวข้อกลับมาที่พวกเขาสองคน

โจวซื่อนีหน้าแดง แม้จะพูดกับเวิงกั๋วต้งไว้ดิบดีแล้ว แต่ต่อหน้าผู้ใหญ่มากขนาดนี้หล่อนก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วน

“เดือนธันวาคมที่ยี่สิบผมจะหาเวลากลับไปครับ” เวิงกั๋วต้งพูดอย่างมั่นคง

“ฉันขอฝากของกลับไปให้คุณพ่อคุณแม่ด้วยนะ” หวังหยวนพูด

ตอนนี้เขากับโจวเอ้อร์นีไม่ได้ทำกับข้าวด้วยตัวเอง จึงให้เงินค่าอาหาร 50 หยวน แล้วมากินข้าวด้วยกันที่นี่

“ผมจะเอาด้วย” เวิงกั๋วต้งพูด

“ของนายก็ส่วนของนาย ของฉันก็ส่วนของฉัน” หวังหยวนพูด

“ได้” เวิงกั๋วต้งรับปากเขา

โจวเอ้อร์นีไม่ได้พูดอะไร เพียงอยากให้สองแฝดสงบลงหน่อย ตอนนี้ความซนของพวกเขาทำหล่อนปวดหัวจริง ๆ แต่ก็รักมากจนทนตีหรือด่าไม่ได้

เฒ่าหวังวันนี้ก็มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน รอจนเจ้ารอง เจ้าสาม หู่จือ กังจือมาถึงแล้ว พวกเขาจึงจะตั้งโต๊ะกินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน

คนเยอะขนาดนี้จึงต้องทำกับข้าวอยู่ทุกวัน แต่กับข้าวที่ทำยังคงเรียบง่าย

ขณะที่กำลังทานข้าวเย็นอย่างมีความสุข แขกที่คาดไม่ถึงก็มาหา สวี่เชิ่งเหม่ยวิ่งมาขอความช่วยเหลือด้วยใบหน้าซีดเผือด

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ตอนที่แปลไม่ออกนี่อาการเหมือนแม่เลยค่ะ รู้สึกหัวมึน ๆ ตื้อ ๆ ตัน ๆ นึกคำไม่ออก หรือนึกออกได้ก็ใช้เวลานานหน่อย จนต้องหาอะไรอย่างอื่นทำก่อนแล้วค่อยแปลต่อ

ซื่อนีไม่ต้องกังวลไปนะคะ ดูจากท่าทางแล้วหนูน่าจะได้แต่งกับกั๋วต้งแน่ ๆ ค่ะ

กำลังจะมีความสุขอยู่แล้วเชียว นังดอกบัวผุดเอาเรื่องอะไรมาให้อีกเนี่ย โง้ยยย เซ็ง ไม่อยากตามเผือกก็ต้องเผือกอีกแล้ว

ไหหม่า(海馬)