ตอนที่ 751 เทียนเกอเจินเหริน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 751 เทียนเกอเจินเหริน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตามที่บันทึกในคัมภีร์ หากสามารถปรับแต่งถุงกระบี่ตามคุณสมบัติกระบี่ของตัวเองได้ ก็สามารถเสริมโอสถและสมุนไพรจิตวิญญาณชนิดต่างๆ ในถุงกระบี่ได้ และเปลี่ยนเป็นพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อหล่อเลี้ยงกระบี่บินอย่างช้าๆ

และกระบี่บินที่มีถุงกระบี่ที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เพียงแค่บ่มเพาะช่วงเวลาหนึ่ง ก็สามารถอาศัยถุงกระบี่ช่วยเพิ่มทวีผลลัพธ์ได้ ทำให้พริบตาที่กระบี่ออกจากถุงมีอานุภาพเพิ่มขึ้นทวี และเผด็จศึกกำชัยชนะได้อย่างง่ายดาย

ว่ากันว่าเคยมีผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วแผ่นดินจงเทียนผู้หนึ่ง ลำพังแค่พลังของถุงกระบี่ ก็ทำให้อานุภาพของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าภายในพริบตาในขณะที่ต่อสู้กับศัตรูได้ แม้แต่ผู้ฝึกฝนที่มีระดับสูงกว่าหนึ่งขั้น ก็ไม่อาจรับกระบี่ของเขาได้

แต่หากกระบี่บินพลังจิตวิญญาณโชคดีบรรลุถึงแก่นกระบี่แล้ว พริบตาที่มันกลายเป็นแก่นกระบี่นั้น ก็จะต้องใส่เข้าไปผนึกไว้ในถุงกระบี่ และต้องบ่มเพาะอย่างน้อยหลายสิบปี อย่างมากก็นับร้อยปี ถึงจะเปิดถุงกระบี่ปล่อยมันออกมาได้

มิเช่นนั้นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่เพิ่งบรรลุระดับเป็นแก่นกระบี่ ก็อาจจะแตกร้าวเพราะปลายกระบี่คมเกินไป

แต่ว่าแก่นกระบี่นี้ ต้องมีการฝึกฝนอย่างน้อยระดับแก่นแท้ถึงจะควบคุมได้ และตัวหลิ่วหมิงเองยังมีโอสถประลองกระบี่อยู่กับตัวหนึ่งเม็ด จึงไม่ค่อยกังวลปัญหาเรื่องการปรับแต่งมากนัก

แต่กลับเป็นเพราะคุณสมบัติของกระบี่บินว่างเปล่า หากจะสร้างถุงกระบี่ที่มีคุณสมบัติเดียวกัน และโอสถจิตวิญญาณชนิดต่างๆ ที่นำมาเสริมในถุงกระบี่ กลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมา

เพราะไม่ว่าจะเป็นวัสดุแบบใดก็ตาม พอได้ชื่อว่าว่างเปล่า ราคาก็จะเพิ่มทวีขึ้นมา ซึ่งหาในตลาดไม่ได้เลย!

ตามที่บันทึกในคัมภีร์ วัสดุหลักของถุงกระบี่ที่ทำจากหนังปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติเดียวกันจะดีที่สุด และปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่าก็พบเห็นได้น้อยมาก จะหาสักหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องให้ความสนใจเรื่องนี้เร็วขึ้น

หลิ่วหมิงเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

เช้าวันที่สอง เขาก็ออกไปจากถ้ำที่พัก และกลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปยังหอลี้ลับ

สองชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงที่สวมชุดสีเขียวก็เดินออกมาจากด้านในหอลี้ลับด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“ภายใต้รางวัลใหญ่จำเป็นต้องมีผู้กล้าหาญ หวังว่าด้วยความยิ่งใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์ จะต้องมีคนรู้เกี่ยวกับตำแหน่งของปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่า หากได้ศพของปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่ามาจากมือผู้อื่นโดยตรง ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก” หลิ่วหมิงพูดพึมพำกับตัวเองสองสามประโยค จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปยังถ้ำที่พัก

ตรงหน้าป้ายประกาศลี้ลับในหอลี้ลับส่วนใน มีคนไม่น้อยกว่าสิบคนกระจุกอยู่อย่างหนาแน่น ขณะนี้ พวกเขากำลังแหงนหน้ามองภารกิจที่สามที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ครู่หนึ่ง

“รีบดูภารกิจใหม่นี้เร็ว!”

“…เสนอให้บอกเบาะแสของปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่า ก็จะได้รับสองล้านหินจิตวิญญาณ แต้มคุณูปการอีกหนึ่งหมื่นแต้ม…ไม่รู้ว่าผู้ที่ประกาศภารกิจเป็นใครกัน คิดไม่ถึงว่าจะใจกว้างเช่นนี้” ชายชุดคลุมสีเขียวที่มีรูปร่างค่อนข้างกำยำกล่าวด้วยความประหลาดใจ

“ผู้ที่สามารถบอกเบาะแส อีกทั้งนำทางไปด้วยกันได้ จะได้รับค่าตอบแทนห้าล้านหินจิตวิญญาณ แต้มคุณูปการสามหมื่นแต้ม หากมีศพของปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่า ก็สามารถขายได้โดยตรง เพื่อแลกกับสิบล้านหินจิตวิญญาณ แต้มคุณูปการห้าหมื่นแต้ม ศิษย์พี่หลิน ภารกิจนี้เป็นงานใหญ่จริงๆ ไม่สู้พวกเราทั้งสองรับภารกิจนี้ไว้” หญิงสาวรูปร่างอรชรที่อยู่ข้างชายชุดเขียวกล่าวออกมา

ชายชุดเขียวได้ยินก็รู้สึกใจเต้นเป็นอย่างมาก

แต่ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดเทาที่อยู่บริเวณนั้นกลับหัวเราะออกมา

“ท่านทั้งสองอย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย ปีศาจอสูรที่มีคุณสมบัติว่างเปล่านี้มีอยู่น้อยมาก หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง และปีศาจอสูรว่างเปล่าที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ อย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับผลึกไปจนถึงระดับแก่นแท้ขึ้นไป ทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาเคลื่อนย้ายภายในพริบตา ต่อให้พวกเราจะหาร่องรอยของปีศาจอสูรนี้เจอ ก็ไม่อาจยุแหย่มันได้ พอถูกมันค้นพบก็จะต้องมอบชีวิตน้อยๆ ให้กับมัน ดังนั้นแต้มคุณูปการเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าจะได้มาโดยง่าย”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ชายขุดเขียวได้ยินก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน และไม่พูดอะไรออกมาอีก

หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาทันที

เมื่อได้ยินคำว่าระดับแก่นแท้ ศิษย์ที่ห้อมล้อมอยู่ใต้ป้ายประกาศลี้ลับก็แยกย้ายกันออกไป หรือไม่ก็ละสายตาไปดูภารกิจอื่น มีแค่ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งที่ยังคงไม่ละสายตาไปจากภารกิจนี้ สีหน้าของเขาดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

ไม่นานหลิ่วหมิงก็กลับถึงห้องลับถายในถ้ำที่พัก พอตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวไอหมอกสีดำกับหมอกควันสีเขียวก็ม้วนตัวออกมาพร้อมกัน หลังจากหมุนตัวติ้วๆ รวมตัวกันตรงหน้าเขาแล้ว ก็กลายเป็นหญิงสาวชุดดำรูปร่างอรชรกับเด็กชายชุดเขียวที่มีผิวพรรณขาวสะอาดผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ที่กลายร่างมานั่นเอง

“นายท่าน!” พอหญิงสาวชุดดำปรากฏตัวออกมา ก็เข้ามาอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิงอย่างสนิทสนม แขนของนางกอดแขนของเขาไว้เบาๆ

 

“ได้ออกมาสักที ดูเหมือนว่าตอนนี้ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณจะมีพื้นที่ไม่เพียงพอแล้ว อยู่ในนี้นานๆ ก็รู้สึกทรมาณมาก” เด็กชายเสื้อเขียวหาวออกมา และส่ายหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงของเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม

“ข้ารู้แล้ว รอมีโอกาสจะเปลี่ยนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่มีคุณสมบัติดีกว่าให้พวกเจ้า” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบขวดเล็กสีเขียวหยกสองใบให้กับทั้งสอง

พอเด็กชายรับขวดเล็กมา ก็เปิดจุกออกทันที ทันใดนั้นปราณจิตวิญญาณก็ลอยขึ้นมาจากขวด สิ่งที่อยู่ในขวดคือโอสถจิตวิญญาณสองสามเม็ดที่สามารถเพิ่มทวีพลังเวทได้ ซึ่งก็คือโอสถแฝงจิตวิญญาณนั่นเอง

“หูววว…….หอมจัง!” เด็กชายชุดเขียวเทออกมาหนึ่งเม็ดทันที และนำใส่ปากเคี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง

“ขอบคุณนายท่าน!” หญิงสาวชุดดำจ้องมองเด็กชายทีหนึ่ง ดูเหมือนจะตำหนิที่เขาไม่รู้จักมารยาท จากนั้นก็หันไปขอบคุณหลิ่วหมิง

“แจ๊บๆ!…ขอบคุณนายท่าน!” เด็กชายชุดเขียวกลืนโอสถลงไปสองสามครั้ง จากนั้นก็หันไปแลบลิ้นให้กับหญิงสาวชุดดำทีหนึ่ง และหันมากล่าวกับหลิ่วหมิง

“เอาล่ะ! สำหรับระดับผลึกแล้ว โอสถแฝงจิตวิญญาณเหล่านี้เป็นสิ่งที่หาได้ยาก พวกเจ้าเพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นต้นได้ไม่นาน จะได้ถือโอกาสนี้ทำระดับการฝึกฝนให้มั่นคงพอดี” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ

แม้จะบอกว่าโอสถแฝงจิตวิญญาณนี้มีมูลค่าไม่เบา แต่หลายปีที่อยู่ในดินแดนทางตอนใต้ เขาก็รวบรวมของเหลวห้าแสงมาได้ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ โอสถแฝงจิตวิญญาณที่ปรุงขึ้นมา นอกจากจะใช้ในการฝึกฝนของตัวเองแล้ว ก็สามารถแบ่งให้อสูรเลี้ยงทั้งสองได้อย่างเหลือเฟือ

หญิงสาวชุดดำได้ยินก็กะพริบตา และเปิดจุกขวดนำโอสถแฝงจิตวิญญาณใส่ปาก หลังจากกระตุ้นพลังของโอสถแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิฝึกฝนอย่างตั้งใจ

ทันใดนั้น เศษหินและฝุ่นจำนวนหนึ่งก็ม้วนตัวขึ้นมาภายในห้องลับ และค่อยๆ กลายเป็นเกราะคุ้มกันสีเหลืองปกคลุมในระยะหนึ่งจั้งกว่าๆ

เด็กชายเสื้อเขียวก็นั่งขัดสมาธิลงไป ไอสีเขียวรายล้อมรอบตัว ประจักษ์ชัดว่าหลังจากพลังของโอสถถูกกระตุ้นออกมาแล้ว ก็อดใจไม่ไหวที่จะทำการฝึกฝนแล้ว

หลิ่วหมิงมองดูอสูรจิตวิญญาณทั้งสองด้วยความพอใจ และก็นั่งขัดสมาธิฝึกฝนเช่นกัน

วันนี้ ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังฝึกฝนอยู่ในห้องลับกับหัวบินและแมงป่องกระดูกนั้น อยู่ๆ ป้ายประจำตัวบนเอวก็สั่นสะท้านเบาๆ แสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งยิงออกมา จากนั้นน้ำเสียงราบเรียบของอินจิ่วหลิงก็ดังขึ้น

“หลิ่วหมิง พรุ่งตอนเช้ามาที่วิหารใหญ่ของยอดเขาลั่วโยวเถิด อาจารย์อยากจะพบเจ้า”

นับเวลาดูแล้ว อินจิ่วหลิงก็ออกจากการเก็บตัวมานานครึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้เพิ่งอยากจะพบเขา ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เขาย่อมตอบกลับไปอย่างนอบน้อม

เช้าตรู่วันที่สอง หลิ่วหมิงก็ออกไปจากถ้ำที่พัก และขี่เมฆพุ่งไปยังวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว

ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาต่อมา เขาก็เข้าไปในวิหารใหญ่ แต่ขณะที่กำลังจะเดินเข้าประตูใหญ่ไปนั้น กลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

จะเห็นว่าภายในห้องโถงมีคนสองคนกำลังยืนสนทนากันอยู่

หนึ่งในนั้นสวมชุดสีดำ เป็นผู้อาวุโสที่มีใบหน้าแห้งเหี่ยวครึ่งหนึ่ง ไม่ต้องพูดอะไรมาก เขาก็คืออินจิ่วหลิงที่เป็นผู้ควบคุมยอดเขา และอาจารย์ของเขานั่นเอง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับชายที่อยู่ตรงหน้า กลับมีสีหน้านอบน้อมเป็นอย่างมาก

และชายวัยกลางคนที่มีกลิ่นไอไม่ธรรมดา ใส่เครื่องประดับผมหยก และสวมชุดสีเหลือง คือคนที่หลิ่วหมิงไม่เคยเห็นมาก่อน

แม้ว่าเขาจะไม่กล้าปล่อยจิตออกไปสำรวจดู แต่กลับรับรู้ถึงความรู้สึกกดดันจากชายผู้นี้ลางๆ

หลังจากหลิ่วหมิงแลกมือกับปีศาจสายฟ้าเลี่ยเจิ้นเทียนในแดนมายาอยู่หลายครั้ง ก็รู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นไอของผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ทันใดนั้นเขาก็รีบไปคารวะทันที

“ศิษย์คารวะอาจารย์ และผู้อาวุโส”

“หลิ่วหมิง ท่านนี้ไม่อาจเรียกว่าผู้อาวุโสได้ ท่านเป็นประมุขของนิกายยอดบริสุทธิ์เรา ‘เทียนเกอเจินเหริน’ อาจารย์อา หลิ่วหมิงไม่ทราบสถานะของท่าน ขอท่านโปรดให้อภัย” อินจิ่วหลิงกลับกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะแหะๆ

“ไม่เป็นไร ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด” ชายชุดเหลืองตอบด้วยรอยยิ้ม

“คารวะท่านประมุข!”

พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่าประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จึงรีบทำการคารวะอีกครั้ง

เรื่องเล่าลือเกี่ยวกับประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์ ตอนที่เพิ่งเข้ามาในนิกายนั้น เขาก็ได้ยินชื่อเสียงดังก้องหูแล้ว

ได้ยินมาว่าเทียนเกอเจินเหรินผู้นี้ เคยอาศัยการฝึกฝนระดับแก่นแท้ฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่เจ็ดสิบสอง ต่อสู้กับราชาปีศาจระดับแก่นแท้ขั้นปลายที่ร่วมมือกันหกตัว พลังของเขานับว่าน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก บารมีในนิกายยอดบริสุทธิ์ก็สูงมากเช่นกัน ต่อมาก็กลายเป็นประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างราบรื่น

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังนึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเทียนเกอเจินเหรินอยู่นั้น ชายชุดเหลืองก็สังเกตดูหลิ่วหมิงสองทีโดยไม่มีสีหน้าประหลาดใจใดๆ เลยแม้แต่น้อย แต่พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น เงาฝ่ามือยักษ์ขนาดหลายจั้งก็ก่อตัวขึ้นมาในพริบตา และตบเข้าหาหลิ่วหมิงด้วยอานุภาพราวกับภูเขาไท่ซานพร้อมเสียงอันดัง

หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีเงาสีเหลืองเปล่งประกายตรงหน้า พลังมหาศาลกดดันเข้ามา เขาย่อมรู้สึกอึ้งในทันที พอเหลือบตามองเห็นสีหน้าสงบของอินจิ่วหลิง ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที เขารีบทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง จากนั้นไอดำก็พวยพุ่งออกมา

เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังก้องขอบฟ้า!

พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนทั้งสอง มังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำอย่างละห้าตัวก็ก่อตัวขึ้นมา และพุ่งออกไปรับมือกับฝ่ามือยักษ์

“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสนั่น!

เมื่อมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกอย่างละสองตัวสัมผัสกับฝ่ามือยักษ์ มันก็หยุดชะงักในทันที จากนั้นก็ถูกพลังมหาศาลกดดันจนแตกกระจาย

ครู่ต่อมา มังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำอีกสามตัวที่ตามมา ก็พุ่งเข้าไปรัดพันฝ่ามือยักษ์พร้อมกัน

ท่ามกลางเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำราม ฝ่ามือยักษ์สีเหลืองก็ถูกรัดพันกันจนกลายเป็นก้อน ทันใดนั้นแรงดันด้านบนก็หยุดลง!

แต่ขณะนั้นเอง ฝ่ามือยักษ์สีเหลืองก็เปล่งแสงสีทองออกมา และมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกอย่างละสองตัวต่างก็สลายไป แต่ว่าแรงกดดันของฝ่ามือยักษ์ก็ลดลงไปมาก

สุดท้ายภายใต้การหักล้างของมังกรและพยัคฆ์หมอกที่เหลือ ฝ่ามือยักษ์สีเหลืองก็ค่อยๆ สลายตัวกลายเป็นจุดแสงแวววาว

………………………………