ในความเห็นของหยูหงเว่ย ไม่ว่าจะยังไงหยูปิงก็ยังคงเป็นคนของตระกูลเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าหยูปิงเข้าร่วมกับตำหนักดับเซียนจริงหรือเปล่า แต่การที่หลิงตู้ฉิง ทรมานคนของตระกูลเขาตามอำเภอใจแบบนี้ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบัน เขาไม่อาจยืนดูอยู่เฉย ๆ ให้มันเกิดขึ้นต่อไปได้อีก
ตามที่คาดไว้ หลิงตู้ฉิงหยุดทันทีเมื่อเขาได้ยินหยูหงเว่ยข่มขู่ เขามองไปที่หยูหงเว่ยและถามว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะเมื่อกี้?”
หยูหงเว่ยตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “อย่าคิดว่าต่อให้เจ้าจะมีวิธีการที่พิสดารมากมายแล้วข้าจะกลัวเจ้า! อย่าลืมว่าแผ่นดินที่เจ้าเหยียบอยู่ตอนนี้คือสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ หากเจ้ายังคงทำอะไรไม่เกรงใจสำนักของเราต่อไป ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของข้านั้นแข็งแกร่งขนาดไหน!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะเยาะเย้ย “เจ้าคิดว่าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแข็งแกร่งมากเลยงั้นเหรอ? สำนักของเจ้ามีทั้งผู้เก็บเกี่ยววิญญาณและผู้พิพากษาของตำหนักดับเซียนอยู่ในสำนัก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตระกูลเย่เป็นตระกูลของชิงเฉิงแล้วล่ะก็ป่านนี้ข้าทำลายสำนักของพวกเจ้าจนราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว!”
“ใครกันที่กล้าอวดดีจะทำลายสำนักของข้า?” ชายชราผู้หนึ่งจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้ามองลงมาที่หลิงตู้ฉิง “ไอ้หนุ่ม ในตอนที่สำนักข้าอยู่ในจุดรุ่งเรืองที่สุดบรรพบุรุษของเจ้ายังไม่เกิดซะด้วยซ้ำ! เจ้าที่อาศัยโชคช่วยจนได้กลายมามีความสัมพันธ์กับสำนักของข้าแค่ผิวเผินกล้าดียังไงถึงได้มาพูดจาโอหังในสำนักของข้าแบบนี้!?”
“คารวะท่านบรรพบุรุษ!” หยูหงเว่ยรีบโค้งคารวะชายชราทันที
“ฮ่าฮ่า!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะด้วยสีหน้าเย็นชา “ดีมาก ดีจริง ๆ ที่ตาแก่อย่างเจ้าในที่สุดก็โผล่หัวออกมาจนได้! คงหมิงเป็นไอ้แก่คนนี้รึเปล่าที่ตรึงร่างของเจ้าไว้เมื่อครู่?”
หยูคงหมิงแหงนหน้าขึ้นไปมองชายชรา จากนั้นเขาส่ายหัวและตอบหลิงตู้ฉิงว่า “นายท่าน ข้าคิดว่าไม่ใช่เขา”
ในเวลาเดียวกัน ชายชราอีกคนหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นและมองไปที่หยูคงหมิง และพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “หนุ่มน้อย ข้าคิดว่ามันควรจะถึงเวลาแล้วที่เจ้าน่าจะปล่อยหลานของข้าจริงไหม?”
หลิงตู้ฉิงไม่ตอบกลับชายชรา แต่เขาหันไปถามกับหยูคงหมิงอีกรอบ “แล้วตาแก่คนนี้ล่ะใช่เขารึเปล่า?”
“นายท่าน คนนี้ก็ไม่ใช่!” หยูคงหมิงส่ายหัว
ชายชราที่ปรากฏตัวขึ้นล่าสุดรู้สึกหงิดหงุดทันทีเมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่สนใจเขา เขาจึงถามย้ำอีกรอบ “ไอ้หนุ่ม ข้าคุยกับเจ้าอยู่ เจ้าหูหนวกรึยังไง?”
เย่ชางคงรีบพูดขึ้นแทรกทันที “ท่านบรรพบุรุษฉิงซาน คือสถานการณ์ตอนนี้มันค่อนข้างจะซับซ้อน…”
แต่ก่อนที่เย่ชางคงจะทันได้พูดจบ เย่ฉิงซานก็พูดแทรกขึ้นทันทีด้วยสีหน้าเย็นชา “ชางคง ครั้งนี้เจ้าทำให้ข้าผิดหวังเป็นอย่างมากจริง ๆ แค่ลูกเขยของเจ้าคนเดียวเจ้ายังไม่สามารถที่จะควบคุมเขาได้แถมยังปล่อยให้เขารังแกคนในสำนักไปทั่ว แค่เรื่องในครอบครัวของเจ้า เจ้ายังไม่สามารถจัดการให้เรียบร้อยได้แล้วแบบนี้เจ้าจะเอาปัญญาที่ไหนมาดูแลคนในสำนักทั้งหมด? ข้าคิดว่าหลังจากนี้ข้าคงจะต้องพิจารณาเจ้าใหม่แล้วว่าเจ้ายังมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นเจ้าสำนักต่อไปอีกรึเปล่า!”
สีหน้าของเย่ชางคงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันทีพร้อมกับตอบกลับด้วยสีหน้าขุ่นเคืองว่า “บรรพบุรุษฉิงซาน ตัวข้าจะมีคุณสมบัติพอหรือไม่ในการเป็นเจ้าสำนักนั้นไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะมาตัดสินได้ด้วยตัวของท่านเองคนเดียว!”
เย่ฉิงซานพ่นลมหายใจด้วยความไม่พอใจ “ถ้างั้นเรื่องของเจ้าข้าจะเอาไว้ทีหลัง แต่ตอนนี้ถ้าหากข้าจะเอาตัวหลานของข้ากลับมา เจ้าคงไม่ขัดข้องใช่ไหม?”
เมื่อพูดจบ เย่ฉิงซานก็ไม่สนใจเย่ชางคงอีก เขาหันไปหาหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “ปล่อยหลานของข้าได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะลงมือกับเจ้าทันที จงจำไว้ว่าข้าไม่ใช่พ่อตาของเจ้าที่คอยแต่จะให้ท้ายเจ้าอยู่ตลอดเวลา!”
หลิงตู้ฉิงจ้องเขม็งที่เย่ฉิงซาน จากนั้นเขากวาดตามองเหล่าผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและพูดว่า “ตั้งแต่ที่ข้ามาที่นี่ครั้งแรก ข้าก็ไม่เคยรู้สึกว่าจะชอบสำนักของเจ้าเลยสักนิด แล้วเมื่อข้ายิ่งรู้จักพวกเจ้านานเข้า ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเจ้ามันยิ่งน่ารังเกียจขึ้นเรื่อย ๆ”
“รอบที่แล้วที่ข้ามาข้าอุตส่าห์เห็นแก่ภรรยาของข้าไม่ถือสาหาความอะไรกับพวกเจ้า แต่พอมาตอนนี้พวกเจ้าทั้งหลายก็ยังคงไม่ดีขึ้นเลย ไม่สิ พวกเจ้ากลับทำตัวน่ารังเกียจมากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้วันนี้ข้าจะสั่งสอนพวกเจ้าให้หลาบจำว่า ต่อหน้าข้าพวกเจ้ามันไร้ค่าไม่ต่างอะไรกับเศษขยะที่อยู่ข้างถนน!”
“เจ้ากล้าดียังไงถึงมาด่าว่าพวกข้าเป็นเศษขยะ!” เหล่าผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่างตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล..
ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มตีวงล้อมกรอบบรรดาผู้คนของตระกูลเย่และจ้องเขม็งไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาเหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อ
แม้แต่ตระกูลหานที่คอยดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอดก็เริ่มส่งคนเข้ามากดดันตระกูลเย่เช่นกัน
หานหลิงอู่ ผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบัน เมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงด่าแบบเหมารวมเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หลานชายหลิง ข้าคิดว่าคำพูดของเจ้ามันออกจะเกินไปสักหน่อยนะ?”
“เกินไปงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงเย้ยหยัน “หากวันนี้ไม่มีใครให้คำอธิบายเรื่องตำหนักดับเซียนที่น่าฟังกับข้าได้แล้วล่ะก็ ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าทุกคนดูว่าไอ้ความหมายของคำว่าเกินไปที่แท้จริงแล้วมันเป็นแบบไหน! อันดับแรกใครเป็นคนแอบลงมือตรึงร่างหยูคงหมิงโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นวันนี้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จะต้องชุ่มโชกไปด้วยโลหิต!”
“โอหังมากไปหน่อยแล้ว!”
“ไอ้สารเลวนี่เจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงบ้างเหรอยังไง!?”
“… …”
เสียงตะโกนก่นด่าต่าง ๆ นานาดังขึ้นในทันที
แม้แต่เย่ชางคงที่ยืนอยู่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิงก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้ามืดหม่น เนื่องจากคำด่าของหลิงตู้ฉิงมันกระทบถึงเขาเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจยิ่งกว่าก็คือ เขาไม่รู้ว่าทำไมหลังจากที่เขาถูกขังอยู่ในเขตแดนหมอกและออกมาได้ สำนักของเขาจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเละเทะได้มากขนาดนี้ราวกับมันเป็นคนละสำนักที่เขาเคยผู้นำ
ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิงจ้องไปที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันที่ลอยอยู่เหนือหัวของเขาด้วยสายตาเย็นชาและพูดว่า “ดูเหมือนว่าพวกเจ้ามันเกินจะเยียวยาแล้วจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงไม่มีทางเลือกต้องทำลายสำนักพวกเจ้าสักหน่อย!”
เมื่อพูดจบ สัญลักษณ์หยินหยางในร่างของหลิงตู้ฉิงที่เคยมีสีขาวและดำแบ่งกันอยู่อย่างสมดุล จู่ ๆ ฝั่งสีดำก็กลืนกินฝั่งสีขาวไปจนเกือบหมดเหลือฝั่งสีขาวไว้แค่เพียงเล็กน้อยและจากนั้นแสงเจ็ดสีที่เป็นตัวแทนแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดก็เปล่งประกายขึ้นทั่วพื้นที่สีดำ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ร่างกายของหลิงตู้ฉิงปลดปล่อยเจตจำนงแห่งการฆ่าฟันออกมาอย่างมหาศาล
จากนั้นหลิงตู้ฉิงโบกง้าวเทวะพินาศเก็บเขตแดนประกาศิตกลับไปทั้งหมด
ในตอนนี้เขาพร้อมที่จะฆ่าเรียบร้อยแล้ว!
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งการฆ่าฟันอันรุนแรงที่หลิงตู้ฉิ ปลดปล่อยออกมา ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งก็ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล “เจ้ามันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง บังอาจปลดปล่อยเจตจำนงแห่งการฆ่าฟันในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เพื่อข่มขู่พวกข้างั้นเหรอ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้งั้นเจ้าก็อย่ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย!”
เมื่อพูดจบ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันผู้นั้นก็โคจรพลังตั้งใจว่าจะลงมือเป็นคนแรกทันที
แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันปลดปล่อยกระบวนท่า ร่างของเขาก็ถูกง้าวเทวะพินาศจำลองแยกออกเป็นสองส่วนไปเรียบร้อย
ทันทีที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันผู้นั้นตายลง อารมณ์ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ระเบิดขึ้นกันอย่างฉับพลัน
ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดต่างไม่สนใจอีกแล้วว่าหลิงตู้ฉิงจะเป็นใครหรือวิเศษมาจากไหน พวกเขาทั้งหลายต่างหยิบอาวุธที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาและพร้อมใจกันพุ่งเข้าไปหาหลิงตู้ฉิงในทันที
เมื่อมองไปที่ฝูงชนที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเดือดดาล หลิงตู้ฉิงก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ในเมื่อพวกเจ้าทำตัวไม่รู้จักฟ้าต่ำสวรรค์สูง ถ้าอย่างนั้นในวันนี้ข้าแสดงให้เจ้าเห็นว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าพวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับมด!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิผู้หนึ่งตะโกนสวนทันที “ไอ้สารเลวอย่างเจ้าน่ะสิที่เป็นมด!”
แต่แล้วทันทีที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิผู้นั้นพูดจบ ชะตากรรมของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันคนแรกที่ได้ตายลงไป ในชั่วพริบตาง้าวเทวะพินาศจำลองก็พุ่งเข้ามาแยกร่างของเขาออกเป็นสองส่วนไปพร้อม ๆ กับอาวุธจักรพรรดิที่เขาใช้ ซึ่งก็แตกกระจายกลายเป็นเศษซาก!