ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 669 ตาต่อตาฟันต่อฟัน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

หนงอวี่ซวนจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอ ครู่ต่อมาค่อยเอ่ยปากว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีไข่มุกมองฟ้า เป็นข้าผิดพลาดไป

“แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ล่อเจ้ามาได้ ก็เท่ากับบรรลุเป้าหมายแล้ว”

หนงอวี่ซวนเท้าเหยียบย่างอากาศ เดินมาหาเยี่ยนจ้าวเกอทีละก้าว “เทียบกับข้อนี้ ข้ออื่นไม่ต้องพูด”

คนของหอกระบี่ทะเลเหนือกับสำนักความมืดตวาด “ท่านจะทำอะไร?”

จอมยุทธ์สำนักแสงสว่างคนอื่นติดตามอยู่ด้านหลังหนงอวี่ซวน เขากล่าวว่า “ผู้อาวุโสชี เรื่องนี้จะจัดการอย่างไร จะรายงานผู้คุมหอกู้ของสำนักท่านหรือไม่ พวกเราอีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้ท่านได้โปรดถอยไป สำนักแสงสว่างของข้าจะทำธุระ”

“เทียบกับคำว่าความสำเร็จ และคำว่าบุญคุณแล้ว การสังหารเด็กน้อยผู้นี้เป็นเรื่องที่ข้าให้ความสำคัญที่สุด”

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอไม่วางตา

ผู้อาวุโสชีเดือดดาล “ท่านยังคิดจะลงมืออย่างอำมหิตต่อหน้าพวกเราอีกหรือ?”

ขณะพูด พลันมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าไกล เข้ามาใกล้ในชั่วพริบตา

เมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งนั้น พวกผู้อาวุโสชีต่างกลั้นลมหายใจ “…จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เทวะสำแดง! เพื่อรับมือกับคนรุ่นหลังระดับมหาปรมาจารย์เพียงคนเดียว ถึงกับขอให้จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเทวะสำแดงให้ลงมือเลยหรือ?!”

ทุกคนรู้สึกได้ว่า ระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับสำนักแสงสว่าง ไม่ได้ผูกความแค้นกันทั่วไป

ทั้งสองฝ่ายมีความเกี่ยวพันลึกซึ้งยิ่งกว่า ดังนั้นตอนนี้สำนักแสงสว่างต่อให้ต้องถูกฉีกหน้า ก็ต้องอาศัยพลังสะกดคนของหอกระบี่ทะเลเหนือและสำนักความมืดที่อยู่ที่นี่ไว้ เพื่อจัดการเยี่ยนจ้าวเกอให้ได้

การต่อสู้กับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องกำลังอยู่ในช่วงสำคัญ โดยเฉพาะที่อยู่ของสำนักแสงสว่างตอนนี้ได้รับการคุกคาม

จอมยุทธ์ระดับสูงสุดทุกคนต่างสำคัญยิ่ง ต้องพยายามรวบรวมสรรพกำลังทั้งหมดเท่าที่จะทำได้

แม้จะเป็นเช่นนั้น สำนักแสงสว่างยังคงส่งจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงคนนี้ออกมาเคลื่อนไหวอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน เห็นถึงความแน่วแน่ได้อย่างชัดเจน

หนงอวี่ซวนเดินเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอทีละก้าว “ในวินาทีที่เจ้าอดทนมายังเกาะเทียนอิ้นไม่ได้ จุดจบของเจ้าก็ถูกลิขิตไว้แล้ว นั่นคือความตาย!”

ผู้อาวุโสสำนักความมืดคนนั้นแค่นหัวเราะ “ประเสริฐนัก ศัตรูร้ายกาจอยู่ด้านหน้า เพื่อต่อต้านราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง ยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามขึ้นไปของทุกสำนัก ต่างก็อยากจะมีผลงานยอดเยี่ยมทั้งนั้น คนของพวกเจ้ากลับยังมาอวดโอ่บารมีที่นี่อีก!”

ผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างหลุดหัวเราะ “สุนัขไร้เจ้าของ หุบปากเสียดีๆ เถอะ ไม่เช่นนั้นจะกำจัดสำนักความมืดที่ทรยศต่อบรรพบุรุษอย่างพวกเจ้าไปด้วย”

“ไม่มีจอมยุทธ์ระดับสะพานเซียน ทั้งยังไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง พวกเจ้าก็แค่อาศัยความเร้นลับของหอสักการะหลัก ถึงได้รอดมาจนทุกวันนี้ ไม่เช่นนั้นสำนักเราคงทำลายที่อยู่ของสำนักความมืดไปนานแล้ว”

“ตอนนี้หอสักการะหลักของพวกเจ้าล่มสลาย ยังมีค่าให้พูดถึงอีกหรือ? สิ่งที่ฝ่ายต่อต้านต้าเสวียนพึ่งพาคือสำนักเรา หอกระบี่ทะเลเหนือและเกาะมนุษย์สำริดก็มีที่พึ่งสุดท้าย ส่วนพวกเจ้าสำนักความมืดก็แค่นักดนตรีปลอมที่แสร้งทำไปตามน้ำ[1]เท่านั้น!”

ผู้อาวุโสสำนักความมืดผู้นั้นได้ยินก็เดือดดาลใหญ่ “พูดมาได้ไม่ละอายแก่ใจ!”

แต่ว่าในตอนนี้ กลิ่นอายของพลังอันแข็งแกร่งนั้นได้ครอบฟ้าดินไว้แล้ว

ดวงอาทิตย์สีเหลืองอร่ามสาดแสงบนศีรษะ แสงสว่างไร้ขอบเขตเผาไหม้ร่างกาย ทำให้ผู้คนเหมือนอยู่ในเตาหลอม เบื้องหน้าเป็นสีขาวโพลน มองสิ่งใดไม่ชัด

เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วขึ้น ยอดฝีมือที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้นผู้นี้ คือคนรู้จักเก่าชัดๆ

ถึงแม้หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ เคยเจอแค่ครั้งเดียว แต่สำหรับศัตรูตรงหน้า เยี่ยนจ้าวเกอเคยได้ยินชื่อมานานแล้ว

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงที่สะกดเกาะเทียนอิ้น คือจอมยุทธ์ศักดิสิทธิ์อาทิตย์ม่วงจางเชา เจ้าสำนักรุ่นก่อนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ลอยจากโลกแปดพิภพขึ้นสู่โลกซ้อนโลกหลังจากมีพลังฝึกปรือเหนือกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม

ผู้อาวุโสชีสีหน้าเคร่งขรึม “หนงแสงดารา พวกท่านเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว เกาะเทียนอิ้นเป็นดินแดนของพรรคเรา”

พูดจบ ก็ไม่กล่าวมากความอีก

ผู้อาวุโสชีตบฝักกระบี่ด้านหลัง กระบี่คมกว้างเล่มหนึ่งดีดออกจากฝัก พุ่งมาอยู่ในมือเขา

เขาสั่งความคิด ประกายกระบี่หลายสายสว่างขึ้นจากทั่วทุกทิศทุกทางบนน่านน้ำของเกาะเทียนอิ้น

ประกายกระบี่ตัดสลับ กลายเป็นค่ายกลยักษ์ค่ายหนึ่งอย่างรวดเร็ว

ประกายกระบี่อันวาววับแผ่พุ่งไปทั่วบริเวณ พุ่งขึ้นมาพร้อมกัน ด้านล่างกวนคนทะเลลึก ด้านบนทะลุหมู่เมฆ

ชั่วขณะนั้น เหมือนกับข่ายกระบี่บนเกาะโม๋หลูถูกย้ายมายังที่นี่ชั่วคราว

ถึงแม้เมื่อเทียบกับข่ายกระบี่เกาะโม๋หลูของจริงแล้ว จะมีขนาดและอานุภาพด้อยกว่ามาก แต่ว่าภายใต้การควบคุมโดยผู้อาวุโสชี ยังแสดงให้เห็นถึงอานุภาพอันน่าทึ่ง

ท้องทะเลกว้างใหญ่ที่ม้วนพัดฟ้าดิน กับปราณกระบี่น่าสะพรึงซึ่งไม่อาจทำลายผสมกัน ก่อเกิดเป็นโลกแห่งกระบี่

ดวงอาทิตย์สีทองตกจากฟากฟ้า แสงสีทองหลายสายปะทะกับปราณกระบี่มากมายของข่ายกระบี่อย่างต่อเนื่อง

ข่ายกระบี่สั่นไหว เอนเอียงอย่างรุนแรง

ดวงอาทิตย์สีทองกำลังแหลกสลายทีละน้อยๆ

แต่ว่าจางเชาไม่ได้มีความคิดหยุดมือ กลับต่อยหมัดหนึ่งต่อด้วยอีกหมัดหนึ่งอย่างรวดเร็วและรุนแรง

หลายครั้งที่เผชิญกับประกายกระบี่อันดุดันทรงพลังที่ผู้อาวุโสชีใช้ข่ายกระบี่เพิ่มพลัง จางเชาถึงขั้นไม่หลบหลีก แต่อาศัยวิธีโจมตีปะทะโจมตี ใช้บาดเจ็บแลกบาดเจ็บ ใช้พลังงานถึงขีดสุดอย่างแท้จริง

พวกหนงอวี่ซวนซึ่งเป็นจอมยุทธ์สำนักแสงสว่างที่อยู่ในข่ายกระบี่ ต่างก็พุ่งเข้าไปหาเยี่ยนจ้าวเกอ

การโจมตีของพวกเขากำลังปั่นป่วนการทำงานของข่ายกระบี่ ทำให้ค่ายกลสับสน

เพราะต้องรับมือในนอก ข่ายกระบี่บนเกาะเทียนอิ้นจึงสั่นไหวขึ้นมา

พลังของข่ายกระบี่อ่อนแอลง ผู้อาวุโสชีคิดจะรับมือจางเชา แต่กลับไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น

ถึงแม้ว่าวิชากระบี่ของหอกระบี่ทะเลเหนือจะทรงพลังและแยบยล แต่จางเชาที่เป็นยอดฝีมือจากโลกแปดพิภพหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่หนึ่งในไม่กี่คน ครอบครองพลังที่เหนือกว่าคนทั่วไปเช่นกัน

ต่อสู้กันด้วยระดับที่เท่ากัน ผู้อาวุโสชีจะชนะจางเชาได้หรือไม่ยังบอกไม่ได้

ตอนนี้ระดับกดดันผู้คน ยิ่งไม่อาจตัดสินได้ง่าย

ผู้อาวุโสชีสีหน้าเคร่งขรึม ชักประกายกระบี่ให้ม้วนเข้าหาเยี่ยนจ้างเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอมองออกว่าเขาไม่มีเจตนาร้าย จึงไม่โต้ตอบใดๆ ปล่อยให้ประกายกระบี่ม้วนตัวเองไว้

จากนั้นร่างของเขาก็หายไปในค่ายกล ธารแสงชักนำ ปราณกระบี่นำทาง เยี่ยนจ้าวเกอกำลังจะถูกส่งออกจากข่ายกระบี่บนเกาะเทียนอิ้น เงาร่างกลายเป็นประกายกระบี่ พุ่งออกไปไกล

จางเชาที่อยู่ด้านนอกข่ายกระบี่คิดจะไล่ตาม ค่ายกลที่เขาเอาชนะก่อนหน้าพลันโต้กลับ

ผู้อาวุโสชีประสานกับกระบี่ พุ่งขึ้นท้องฟ้า คมกระบี่ชี้ไปที่จางเชา ขัดขวางเส้นทางของเขา

แต่ว่ากลางค่ายกลในตอนนี้ พวกหนงอวี่ซวนไม่ได้พัวพันกับจอมยุทธ์ของสำนักความมืด และหอกระบี่ทะเลเหนือ

พวกเขาให้หนงอวี่ซวนเป็นคนเปิดทาง ทะลวงทะเลออกไปด้านนอกได้

หนงอวี่ซวนเชี่ยวชาญค่ายกล กระนั้นในตอนนี้กลับเป็นอิสระยิ่งกว่าพวกเยว่เป่าฉีที่เป็นจอมยุทธ์หอกระบี่ทะเลเหนือเสียอีก

ผู้อาวุโสชีตั้งใจมอง เห็นในมือหนงอวี่ซวนถือเข็มทิศอันหนึ่งไว้ เข็มของเข็มทิศสั่นสะเทือนไม่หยุด ชี้ทางให้กับเขา

จางเชานาทีนี้กลับไม่รีบร้อน เปลี่ยนมาสะกดพวกผู้อาวุโสชี ทำให้พวกหนงอวี่ซวนไล่ตามอย่างวางใจได้

เยี่ยนจ้าวเกอถูกประกายกระบี่ของผู้อาวุโสชีส่งออกไปไกล แต่ไม่ได้ผ่อนคลายลง ‘คงไม่ง่ายดายขนาดนั้น’

เป็นอย่างที่คาด ความคิดเพิ่งผุดขึ้น ตรงหน้าก็มีแสงอันเจิดจ้างสว่างขึ้นแต่ไกล สาดส่องไปทั่วฟ้าดิน

สำนักแสงสว่างถึงขั้นยังมียอดฝีมือที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้นรอขัดขวางอยู่ด้านนอกเกาะเทียนอิ้นโดยเฉพาะ!

ครั้งนี้กลับเป็นเฉิงซง ผู้อาวุโสซึ่งเป็นศิษย์สายตรงของสำนักแสงสว่างคนหนึ่ง ผู้อาวุโสตำหนักตะวันจันทรา

และด้านหลัง พวกหนงอวี่ซวนยังไล่ตามมาด้วยสภาวะดุร้าย

“เจ้าได้ยินข่าวที่ป่าวประกาศว่าข้าทำลายค่ายกล หากอดทนได้ก็แล้วกันไป แต่เจ้าไม่ทน กล้าโผล่หน้ามา ตอนนี้จึงกำหนดวันตายของเจ้าได้แล้ว” หนงอวี่ซวนจับจ้องเยี่ยนจ้าวเกอ “ในวินาทีที่เจ้าเหยียบเข้ามาในเกาะเทียนอิ้น ต่อให้เจ้าขึ้นสวรรค์ก็ไร้ทาง ลงนรกก็ไร้ประตู”

………………..

[1] นักดนตรีปลอมที่แสร้งทำไปตามน้ำ หมายถึง ไม่มีความสามารถแต่แสร้งเป็นมี