หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1178 ผู้ชนะคนสุดท้าย
ฮึ่ม**!**
แสงสีทองพร่างพราวโอบล้อมทั่วบริเวณ ตอนนี้จาโหลหลัวหวาดกลัวไปจนถึงจิตวิญญาณ เนื่องจากมือขนาดใหญ่แหวกผ่านมิติปรากฏขึ้นเหนือร่างแล้วตบลงเบาๆ
การตบที่ดูเชื่องช้ากลับทะลุผ่านมิติด้วยความเร็วที่ไม่สามารถอธิบายได้ นอกจากนี้จาโหลหลัวยังรู้สึกได้ว่ามิติถูกแช่แข็งด้วยมือทองคำนี้ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถหลบหนีไปได้อีก
ความกลัวปกคลุมใบหน้าจาโหลหลัว จากนั้นเขาก็ตะโกน “ข้ายอมแพ้!”
ฝ่ามือทองคำเหมือนจะหยุดชั่วขณะซึ่งทำให้จาโหลหลัวสามารถหยิบหินหยกออกมาและเตรียมจะบดขยี้
นี่เป็นวัตถุที่ประมุขตำหนักเทพปีศาจมอบให้ สามารถใช้เพื่อช่วยเขาหลบหนีในยามคับขัน
ตู้ม!
แต่ตอนนั้นเองก่อนที่เขาจะบดขยี้มัน แสงสีทองก็สะท้อนเต็มในดวงตา ความกดดันที่อธิบายไม่ได้ครอบงำไปทุกทิศทาง
ภายใต้แรงกดดันที่น่ากลัวจาโหลหลัวตัวแข็งไม่สามารถขยับได้
จากนั้นฝ่ามือสีทองก็กระแทกเข้ากับร่างเทพสุริยะสีดำของเขา
ปัง!
ร่างเทพสุริยะดำทะมึนช่างบอบบางภายใต้มือทองคำ รอยแตกวิ่งพล่านไปทั่วก่อนที่จะระเบิดออก
เมื่อร่างเทพสุริยะสีดำระเบิด จาโหลหลัวก็รู้สึกถึงผลกระทบร้ายแรงพร้อมกับเลือดสดกระอักจนกบปาก ตัวเขาถูกย้อมเป็นสีแดงเลือดทันที คลื่นหลิงรอบตัวก็ลดน้อยลง
“มู่เฉิน ถ้าแกกล้าฆ่าข้าตำหนักเทพปีศาจไม่ปล่อยแกไปแน่! ท่านประมุขจะให้แกได้ลิ้มรสชีวิตตายดีกว่าอยู่!” จาโหลหลัวที่สัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าของมู่เฉินก็สบถออกมาอย่างโหดเหี้ยม
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนั่น ฝ่ามือสีทองกดลงมา ร่างจาโหลหลัวแหลกสลายลง แม้แต่จุดจื้อจุนไห่และจิตวิญญาณก็ถูกทำลายล้าง
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จมือทองคำถึงได้ค่อยๆ สลายไป
อ็อก
เมื่อมือทองคำหายไปแล้ว มู่เฉินก็พ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง ความผันผวนของคลื่นหลิงลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว
การโจมตีกระบวนท่าเมื่อครู่ใช้พลังงานในจุดจื้อจุนไห่ของเขาจนหมด
มู่เฉินปาดเลือดออกจากริมฝีปากขณะทนกับความเจ็บปวดรุนแรงที่เขย่าไปมาในร่างกาย เขาโบกมือดอกบัวสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็นั่งลงไปบนนั้น
ไอเย็นฉ่ำเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว เริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและคลื่นหลิงที่อ่อนล้า
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาสิบกว่านาทีก่อนที่มู่เฉินจะลืมตาขึ้น เขาครางออกมาก่อนที่จะตบขอบใจดอกบัวสีแดง หลังจากที่รู้สึกได้ถึงการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ
ถ้าเขาทำด้วยวิธีปกติอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันในการฟื้นตัว แต่ด้วยความช่วยเหลือของแท่นดอกบัวทำให้บาดแผลส่วนใหญ่ประสานได้ในสิบกว่านาที
มู่เฉินยืนขึ้นมองไปยังทิศทางที่จาโหลหลัวถูกฆ่าก็เห็นประกายแสงสีดำนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในอากาศ
สิ่งเหล่านี้มาจากร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง
มู่เฉินโบกมือดึงประกายแสงสีดำเข้ามา พวกมันรวมตัวกันบนฝ่ามือเขาเป็นรูปทรงกลมสีดำที่มีขนาดเท่าหัว
ภายในสามารถมองเห็นร่างเทพสุริยะสีดำได้อย่างเลือนราง
มู่เฉินมองไปที่ลูกทรงกลมด้วยสายตาซับซ้อน ถ้าจาโหลหลัวเอาชนะเขาได้นี่ก็จะเป็นร่างเทพสุริยะของเขาแทน
เส้นทางไปสู่ร่างมหาเทพนิรันดร์โหดร้ายอย่างแท้จริง…
มู่เฉินถอนหายใจก่อนที่จะสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็โบกมืออีกครั้งแสงแวววาวพุ่งเข้ามาหาเขาจากที่ไกล
นี่คือป้ายหินสีดำ อาวุธมหสวรรค์ที่จาโหลหลัวใช้—ป้ายขวางสมุทร
“สมเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ไม่ได้รับอันตรายอะไรภายใต้การโจมตี” มู่เฉินจับป้ายขวางสมุทรด้วยความยินดีในดวงตา
พลังของป้ายขวางสมุทรไม่ได้ด้อยไปกว่าพัดเทพสายลม กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ใช่ว่าจะมีในครอบครองทุกคน นั่นหมายความว่าตอนนี้เขามีอาวุธทั้งหมดถึงสองชิ้น ซึ่งนี่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังอิจฉา
มู่เฉินโยนป้ายในมือเล่น แต่เขายังไม่ได้ชำระ แม้ว่าจาโหลหลัวจะตายไปแล้ว แต่นี่ก็เป็นวัตถุที่มอบให้โดยประมุขตำหนักเทพปีศาจลู่หยวน ใครจะรู้อีกฝ่ายอาจทิ้งวิธีลับไว้ก็ได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรรอจนกว่าทุกอย่างจะสงบลงก่อนที่จะชำระ
ในตอนนี้เขามีสิ่งที่สำคัญกว่าที่ต้องทำ
หลังจากได้ของมาแล้วมู่เฉินก็หันกลับมองไปที่แท่นบูชาโบราณด้วยดวงตาโชนแสง
เขาไปปรากฏตัวที่ใต้แท่นบูชา ดึงพลังกลับก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนแท่น
รูปปั้นหินพร้อมกับหน้ากระดาษทองคำลอยอยู่ด้านบนสลักด้วยข้อความโบราณที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกครั่นคร้ามจากก้นบึ้งของหัวใจ
มู่เฉินมองไปที่หน้ากระดาษร่างกายก็สั่นสะท้าน ในขณะนี้หัวใจของเขาเต้นระรัวไปหมด
เป้าหมายที่เขาทำงานอย่างหนักมาตลอดในที่สุดก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว
ตราบใดที่เขาได้รับหน้ากระดาษทองคำนี้ เขาก็จะสามารถพัฒนาร่างเทพสุริยะให้กลายเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์และก้าวขึ้นสู่การเป็นยอดยุทธ์…
มู่เฉินยื่นมือที่สั่นเทาออกไป ลูกแสงสีดำที่เกิดจากร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวก็พุ่งออกไปตกลงไปบนแท่นบูชา
ฮึ่ม
ลูกแสงสีดำแตกออกกลายเป็นเปลวไฟสีดำห่อหุ้มหน้ากระดาษทองคำอย่างช้าๆ
ขณะนั้นเกลียวแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็เปล่งออกมาจากหน้ากระดาษ กลั่นออกมาเป็นหินหนืดสีทอง แม้แต่มิติยังแสดงสัญญาณของการพังทลายจากพลัง
ทว่าสายตาของมู่เฉินกลับจับจ้องไปที่หินหนืด เขาสามารถมองเห็นอักขระเล็กๆ มากมายที่ไหลเวียนอยู่ภายใน
หินหนืดรวมตัวเป็นทะเลสาบสีทองเหนือแท่นบูชาพร้อมกับพลังงานน่ากลัวเอิบอาบออกมา ซึ่งสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้
หินหนืดสีทองดูเหมือนจะเดือดพล่านจนถึงจุดที่เปลวไฟสีทองเริ่มลุกโชนก่อตัวเป็นคำโบราณลอยอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน
ร่างเทห์สวรรค์เข้าสู่ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนกายเป็นร่างสีทอง
มู่เฉินจ้องมองคำพูดเหล่านั้นก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แม้ยังไม่สัมผัสแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัวภายใน
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ยังไม่กล้าที่จะปล่อยให้ร่างเทห์สวรรค์เข้าไป เพราะคงจะสลายกลายเป็นควันในทันที
ทว่าแม้มู่เฉินจะหวั่นเกรง แต่เขาไม่ใช่คนไม่เด็ดขาด เขาทำงานหนักมาหลายปีก็เพื่อช่วงเวลานี้ ดังนั้นแม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตเขาก็จะไม่ลังเลเลยสักอึดใจ
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึก สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง โดยไม่ลังเลใดๆ เขาวาดตราประทับเรียกร่างเทพสุริยะของตัวเองออกมา
เขาเงยหน้ามองไปที่ร่างเทพสุริยะที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นมันก็ก้าวออกไปมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบลาวาสีทองที่ลุกเป็นไฟ
มู่เฉินก็นั่งลงมองไปที่ทะเลสาบที่กลืนกินร่างเทพของเขาในเวลานี้ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ หลับตาลง
หลังจากทำงานหนักมาหลายปี…
ในที่สุดช่วงเวลานี้ก็มาถึง!