ก่อนหน้านี้เขาโดยสารเรือใหญ่มากว่าสองเดือน ตลอดช่วงนั้นก็ได้สนทนากับเหล่าทหารคุ้มกัน ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพอจะเข้าใจ ‘เมืองจวิ้นซาน’ อยู่บ้าง แม้ภายในเมืองจวิ้นซานแห่งนี้จะมีขุมอำนาจซับซ้อนยุ่งเหยิงไปหมด แต่ ‘ระดับจ้าวเทพ’ ก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว ตนมาจากดินแดนจิตโลกาอันไกลโพ้น เพิ่งจะมาถึงที่นี่สดๆ ร้อนๆ คนที่รู้จักก็มีน้อยยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศัตรูคู่แค้นเลย
ลอบสังหารยอดฝีมือระดับจ้าวเทพหรือ
“ข้าจะดูสิว่าเป็นใครกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งขัดสมาธิอย่างสงบ เปลือกตาปิดลง
แต่ยามนี้ บนถนนนอกลาน เงาร่างสามสายเร้นกายท่ามกลางความว่างเปล่าแล้วมาถึงที่นี่อย่างเงียบเชียบ ยอดฝีมือทั้งสามคนนี้มองดูลานตรงหน้า นัยน์ตาฉายแววอาฆาต
“ไม่ผิดกระมัง”
“วางใจเถิด เป็นที่นี่แหละ! ผู้เหินทะยานคนนั้นพำนักอยู่ที่นี่”
“เจ้าห้า เจ้าเก้า ตามแผนเจ้าห้าจะต้องสำแดงบริเวณออกมา ส่วนเจ้าเก้าก็ลอบสังหาร จะให้ดีที่สุดก็คือสังหารได้ในกระบวนท่าเดียว แม้จะฆ่าไม่ตาย ข้าก็จะตามไปสังหารเขาติดๆ” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่ที่สุดในนั้นถ่ายเสียงพูด
“พี่สาม! ท่านวางใจเถิด ข้ากับเจ้าห้าร่วมมือกันก็เพียงพอแล้ว”
“พี่สาม คอยดูพวกเราเถิด”
คนตัวผอมเล็กอีกสองคนมั่นใจมาก พวกเขาทั้งสองร่วมมือกันมากมายเกินไปแล้ว
พวกเขาทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง
สวบ สวบ!
พวกเขากะพริบวาบพร้อมกันแล้วเข้ามาในจวนของตงป๋อเสวี่ยอิง ชั่วขณะที่เข้ามานั้น พวกเขาทั้งสองก็สำแดงกระบวนท่าออกมาแล้ว
“ฟิ้วๆๆ” หนึ่งในคนตัวผอมเล็กก็คือสตรีอาภรณ์สีแดง ปากของนางพ่นออกมาเบาๆ ขณะเดียวกันหมอกเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนก็พลันทะลักล้นออกมา แล้วโอบล้อมไปทางห้องเงียบที่ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้สำหรับบำเพ็ญแห่งนั้น! ภายใต้การปกคลุมของหมอกสีเขียว ทั้งสิ่งก่อสร้างที่ห้องเงียบแห่งนั้นตั้งอยู่กลายเป็นผุยผงอย่างรวดเร็วเสียงดังฟึ่บๆๆ
“เป็นหมอกพิษที่ร้ายกาจนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องเงียบพลางเลิกคิ้วขึ้นมา รู้สึกแตกตื่นอยู่บ้าง
ต่อให้โลกใบนี้เป็นกรวดหินดินทรายที่หนักอึ้งอย่างยิ่ง ประหนึ่งกรวดหินดินทรายแต่ละชิ้นเกิดจากพลังคละถิ่นรวมตัวกัน แรงดึงดูดก็ยิ่งใหญ่เสียจนเกินจริง ทำให้ลูกหลงจากการต่อสู้ลดขอบเขตลงเป็นอันมาก เนื่องจากเดิมทีวัตถุก็มั่นคงและหนักอึ้งอย่างยิ่งอยู่แล้ว บวกกับเคล็ดลับค่ายกลต่างๆ ที่สร้างจวนแห่งนี้ขึ้นมา คิดจะทำลายกำแพงได้ก็เกรงว่าคงจะต้องมีพลังระดับเทพจักรวาลเลยทีเดียว! จะกัดกร่อนอย่างเงียบเชียบจนกลายเป็นผุยผง ก็ย่อมยากยิ่งเช่นกัน
หมอกพิษกัดกร่อนเข้ามาแล้วชอนไชไปทั่วทุกอณู
อากาศของโลกใบนี้มั่นคงเสียจนน่ากลัว จนถึงบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมิทันได้เคี่ยวกรำวิธี ‘เคลื่อนที่ในพริบตา’ ออกมาเลย เมื่อเผชิญหน้ากับหมอกพิษพรรค์นี้ ก็ทำได้เพียงสกัดกั้นซึ่งหน้าเท่านั้น! จะหลบก็หลบไม่พ้น!
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เพียงแค่นเสียงเฮอะออกมาอย่างเย็นชาคราหนึ่ง รอบด้านพลันมีน้ำวนห้วงอากาศปรากฏขึ้นรายล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงทันที และสกัดกั้นหมอกพิษสีเขียวนี้ไว้ภายนอก หมอกพิษกัดกร่อนอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับมิอาจทะลุผ่านน้ำวนห้วงอากาศชั้นแล้วชั้นเล่าได้เลย ตงป๋อเสวี่ยอิงที่บำเพ็ญกฎเกณฑ์มาจนถึงระดับนี้ สามารถใช้งานพละกำลังได้อย่างพิสดารจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว หมอกพิษของสตรีอาภรณ์สีแดงซึ่งเป็นเพียง ‘จ้าวเทพช่วงต้น’ ผู้นั้น อาจทำให้จ้าวเทพคนอื่นๆรู้สึกว่ากระบวนท่าที่ชอนไชไปทุกอณูเช่นนี้ยากรับมือ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสามารถแก้ไขได้สบายๆ
“หยิ่งผยองเสียจนยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างนั้นหรือ” คนชุดดำซึ่งจัดเป็น ‘อันดับเก้า’ ลอบโมโหขึ้นมา ทั้งร่างของเขาบิดเบี้ยวไป ก่อนจะกลายเป็นงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวหนึ่ง
งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวนี้มิได้ยาวเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น
ฟิ้ว!
งูตัวเรียวยาวกะพริบวาบคราหนึ่ง ทิ้งร่องรอยสีแดงเข้มสายหนึ่งเอาไว้ หมายจะแทงให้ทะลุร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น แต่บนตักของเขากลับมีหอกยาวเล่มหนึ่งวางอยู่ นี่คือหอกยาวที่เขาแลกเปลี่ยนมาด้วยรางวัลที่ได้รับมาเป็นจำนวนมากหลังจากกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของ ‘สกุลจวิ้นซานอวี้เฟิง’ ภายในโลกใบนี้ หอกยาวเล่มนี้นับได้เพียงว่าเป็นอาวุธที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญเท่านั้น เมื่อเทียบกับอาวุธของทางฝั่งดินแดนจิตโลกาแล้ว ยังหยาบกว่าเสียด้วยซ้ำ
ทว่ามีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง…ก็คือหนักอึ้งอย่างยิ่ง!
“อสรพิษจำแลงหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าหอกยาวที่วางไว้บนตักด้วยมือข้างเดียว จากนั้้นก็ส่งตรงไปด้านหน้า ปลายหอกแทงตรงไปทางงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวนั้นทันที
“เฮอะๆๆ ช่างน่าขันนัก” เมื่องูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวนั้นโจมตีเข้ามาแล้วเห็นเข้าก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจ ทั้งร่างของมันมิใช่แค่คมกริบหาใดเปรียบประหนึ่งอาวุธเทพเท่านั้น แต่ยังคล่องแคล่วอย่างยิ่ง น่ากลัวกว่าอาวุธที่แท้จริงมากนัก
“ฟึ่บๆๆ…”
ขณะที่งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มลอบโจมตีเข้ามานั่นเอง
ท่ามกลางหมอกสีเขียวทั้งหลายด้านข้างที่รายล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่นั้น กลับมีแมลงมากมายปรากฏขึ้นมาทันที แมลงเหล่านี้รวมตัวเข้าด้วยกันแล้วกัดกินน้ำวนห้วงอากาศพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง แมลงเหล่านี้กำลังฝืนทำลายน้ำวนห้วงอากาศอันไร้รูปร่าง
“ข้าอาจไม่จำเป็นต้องลงมือกระมัง” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่ที่สุดถือมีดโค้งสีแดงโลหิตเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ เขาตามมาด้านหลังติดๆ
ยอดฝีมือทั้งสามลอบโจมตี!
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น แล้วแทงหอกออกมาคราหนึ่งอย่างสงบ ทันใดนั้นอากาศตรงหน้าปลายหอกพลันหดเล็กลงและยุบตัวไปราวกับฟองอากาศ ฟองอากาศนั้นห่อหุ้ม ‘งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้ม’ ที่แทงเข้ามาพอดิบพอดี
“นี่มันเรื่องอันใดกัน นี่มัน นี่มันอะไรน่ะ ทำลายให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
แม้งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มจะตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่กลับหมายจะทำลายให้ได้ด้วยความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
แต่เมื่อหัวงูอันคมกริบประหนึ่งอาวุธเทพของมันปะทะเข้ากับขอบฟองอากาศกลับสัมผัสได้ถึงอุปสรรคชั้นแล้วชั้นเล่า การโจมตีของมันในครั้งนี้เหมือนไร้เรี่ยวแรง มิอาจโจมตีให้แตกได้เลย นอกจากนี้ฟองอากาศยังหดเล็กลงและยุบตัวไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย!
ทันใดนั้น บริเวณที่ปลายหอกแทงออกไป…ฟองอากาศโอบล้อมงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มเอาไว้ แล้วยุบตัวกลายเป็นหลุมดำอย่างรวดเร็ว งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับดิ้นไม่หลุด
แม้ ‘พี่สาม’ และ ‘เจ้าห้า’ ที่อยู่ข้างๆ จะตกใจมากเช่นกัน แต่กลับช่วยเหลือเอาไว้ไม่ทัน นอกจากนี้พวกเขายังมั่นใจในตัว ‘เจ้าเก้า’ เป็นอันมาก ร่างกายของเจ้าเก้าประหนึ่งอาวุธเทพ มิได้ทำลายได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
“ปัง”
หอกยาวในมือตงป๋อเสวี่ยอิงแทงลงบนจุดดำจุดหนึ่ง จุดดำนี้ก็คือฟองอากาศที่ยุบตัวจนถึงขั้นสุด
จุดดำระเบิดออก!
เผยให้เห็นงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มที่ตัวขาดเป็นสามท่อนอยู่ด้านใน นัยน์ตาทั้งคู่ของงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ยามนี้มันบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก มันถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรนว่า “พี่สาม พี่ห้า ช่วยข้าด้วย”
“ปัง” “ปัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น หอกยาวในมือแทงออกไปอีกสองครั้งต่อเนื่องกันอย่างสบายๆ
เขาแทงออกไปด้วยความรวดเร็วเพียงใดกัน
ทุกครั้งที่แทงแต่ละหอกออกไป ก็มีฟองอากาศปรากฏขึ้นมาและโอบล้อมงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มเอาไว้ก่อนจะยุบตัวกลายเป็นจุดดำ! หอกยาวแทงลงบนจุดดำ จุดดำก็ระเบิดออก
รวมทั้งหมดสามครั้ง
ครั้งที่หนึ่ง งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้ขาดเป็นสามท่อน ยังดิ้นรนขอความช่วยเหลือ
ครั้งที่สอง งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มกลับแหลกสลายเป็นผุยผง เหลือร่างกายเพียงบางส่วน มันสิ้นหวังเสียแล้ว
ครั้งที่สาม ทั้งร่างสลายไปโดยไม่เหลือแม้แต่ซาก
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งนัก!
ถึงระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว โดยเฉพาะการโจมตีด้วยหอกยาว รวดเร็วเสียยิ่งกว่ารวดเร็ว ยอดฝีมืออีกสองคนที่อยู่ด้านข้าง คนหนึ่งยังคงควบคุมหมอกพิษและแมลงพิษก็ไม่สามารถทำลายน้ำวนห้วงอากาศได้ดังเดิม ส่วน ‘พี่สาม’ ที่ถือมีดโค้งสีแดงโลหิตไว้ในมือ แม้จะลงมือด้วยความร้อนรน แต่ก็ยังคงช้าไปก้าวหนึ่งอยู่ดี
“นี่คือผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงต้นหรือ ทั้งยังบาดเจ็บสาหัสด้วยน่ะหรือ”
“สมควรตายนัก”
พี่สามและสตรีอาภรณ์สีแดงผู้นั้นต่างก็หวาดหวั่นและร้อนใจยิ่งนัก
ข้อมูลที่ได้รับมาผิดพลาดอย่างมหันต์
เมื่อสตรีอาภรณ์สีแดงลงมือ ก็ยังคงสามารถสังหาร ‘เจ้าเก้า’ ซึ่งมีร่างกายแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาได้ทันทีที่พบหน้า พลังระดับนี้ เกรงว่าจ้าวเทพช่วงกลางคงจะทำมิได้ ต้องเป็นผู้แกร่งกล้าระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดกระมัง!
จ้าวเทพระดับยอด…และจ้าวเทพช่วงต้นที่บาดเจ็บสาหัส พลังแตกต่างกันมิใช่แค่สิบเท่าเท่านั้น!
“ข้อมูลไม่ถูกต้อง พลังของศัตรูเหนือกว่าที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้ไปไกลโข! แยกย้าย แยกย้าย” แม้บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำผู้นั้นจะเคืองแค้น แต่ก็ยังคงถ่ายเสียงพูด ขณะเดียวกันก็หมายจะหนีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“คิดจะมาฆ่าข้าก็มา คิดจะไปก็ไป ไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนี้ได้!” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงยังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น เงาร่างพลันขยับเขยื้อนขึ้นมาทันใด
ฟิ้ว
การขยับครั้งนี้ ราวกับเส้นสายเล็กละเอียดวาดข้ามขอบฟ้า
ในฐานะยอดฝีมือวิถีอากาศขั้นสุดยอด แม้พลังในการฝึกกายของตงป๋อเสวี่ยอิงจะฟื้นฟูถึง ‘จ้าวเทพช่วงกลาง’ ซึ่งเทียบเท่ากับระดับอ๋องช่วงกลางในหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว แต่บัดนี้เขาผลักดันและเข้าถึงความเร้นลับของอากาศบางส่วนของโลกนี้แล้ว ทำให้กระบวนท่าของเขาเก่งกาจกว่ายอดฝีมือที่อาศัย ‘ความสามารถตามสายโลหิตของบรรพเทวะคละถิ่น’ เหล่านี้มากมายยิ่งนัก
“เขารวดเร็วเกินไปแล้ว!” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำหมายจะหนีไปข้างนอก
เขาหนี ตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตาม
แต่ความเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมากกว่าเขากว่าสองเท่า! ทำเอาบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำสีหน้าเปลี่ยนแปรไป
“ฟึ่บ”
แทงออกไปหอกหนึ่งเช่นเดียวกัน! บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำสัมผัสได้ว่าอากาศรอบกายตนเริ่มถล่มทลายลงทันที ราวกับฟองอากาศใหญ่เริ่มยุบตัวลงด้วยความเร็วสูงยิ่งนัก จนมันมิอาจขอชีวิตได้ทัน! ทั้งฟองอากาศยุบลงกลายเป็น ‘จุดดำ’ เสียแล้วบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำรู้สึกเพียงว่าตนเองกำลังหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว หดเล็กลงจนเหมือนกับมดตัวจ้อยอย่างไรอย่างนั้น ขณะเดียวกับที่ยุบตัวลง บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำก็รู้สึกว่าอากาศรอบกายเหนียวหนึบขึ้นมาก เขารู้สึกว่าตนจวนจะถูกบีบจนแบนแล้ว!
ส่วนที่โลกภายนอก ปลายหอกยาวใหญ่โตหาใดเปรียบกำลังแทงลงบนโลกจุดดำซึ่งเขาถูกกักขังอยู่นี้ โลกจุดดำที่ยุบตัวถึงขีดสุดเองก็หมายจะระเบิดออก การแทงจากโลกภายนอกในครั้งนี้…
พลังภายในและภายนอก!
ตู้ม!!!
พูดแล้วเหมือนจะเชื่องช้า แต่อันที่จริงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่แทงหอกออกไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น กระบวนท่านี้รวดเร็วเพียงใด สิ่งที่บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำสามารถทำได้ ก็คือกวัดแกว่งมีดโค้งสีแดงโลหิตในมือออกไปอย่างสุดกำลัง!
…………………………………………