“ทำลายให้ข้าเดี๋ยวนี้!!!” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง เขาถึงขั้นเกิดความรู้สึกขึ้นมารางๆ ว่า เขากำแหงมาตลอดคืนวันอันยาวนานจนถึงบัดนี้ คงจะต้องสะดุดลงที่ค่ำคืนนี้เสียแล้ว
การโจมตีอย่างสุดกำลังของบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำนี้ ก็มีอานุภาพไม่ธรรมดา ถึงขั้นมีการคุ้มกายแฝงไว้ด้วย ขณะเดียวกับที่มีดโค้งฟันลงไปอย่างบ้าคลั่งนั้น ประกายมีดอันไร้รูปร่างก็ปกป้องทั่วทั้งร่าง หมายจะพุ่งออกจากโลกจุดดำที่ระเบิดออกนี้
แต่กระบวนท่านี้ของตงป๋อเสวี่ยอิง
เป็นการระเบิดของอากาศที่หดตัวลงจนถึงขีดสุด เป็นแรงระเบิดรอบด้าน ประกายมีดอันไร้รูปร่างของบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำก็ต้านทานเอาไว้มิได้ มีดโค้งในมือเขาก็ยิ่งทำได้เพียงสกัดกั้นเพียงบางทิศเท่านั้น กายหยาบเริ่มระเบิดออกท่ามกลางการระเบิด
“ตู้ม”
“ข้าพุ่งออกมาแล้ว!”
เลือดเนื้อบางส่วนพุ่งออกมาตามมีดโค้งสีแดงโลหิต เลือดเนื้อเหล่านี้บิดเบี้ยวหมายจะรวมตัวกันขึ้นมาเป็นร่างคนอีกครั้ง
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแทงออกไปอีกหอกหนึ่งอย่างเยียบเย็น เป็นกระบวนท่าแบบเดียวกัน ไม่ไว้น้ำใจเลยแม้แต่น้อย! อันที่จริงที่เขาสำแดงกระบวนท่านี้ออกไป ก็เพราะนี่คือกระบวนท่าซึ่งมีอานุภาพมากที่สุดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสำแดงออกมาได้ในขณะนี้แล้ว! ช่วยไม่ได้ เพราะความเร้นลับมากมายมิอาจใช้ได้ เมื่อประสบกับการปะทะของโลกใบนี้ เขาก็ทำได้เพียงสำแดงกระบวนท่าบางส่วนออกมาเท่านั้น
ทั้งที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ ทั้งหนีเอาชีวิตรอด และที่ใช้รับมือการโจมตีแบบหมู่นั้น…
หลังจากผลักดันหลายกระบวนท่าอย่างง่ายๆ แล้ว เขาก็ค้นคว้าฝึกกายคละถิ่นเป็นหลัก! เนื่องจากขอเพียงร่างกายยิ่งแข็งแกร่งขึ้น อานุภาพของกระบวนท่าที่สำแดงออกมาก็ย่อมสามารถยกระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“ปัง”
ภายใต้หอกที่สองของบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำนี้ ก็สลายไปในทันที
แม้เขาจะเป็น ‘จ้าวเทพช่วงกลาง’ หากพูดถึงพลังของกการห้ำหั่นซึ่งหน้าแล้วก็ยังเหนือกว่าเจ้าเก้าเสียอีก! แต่ร่างกายและความสามารถในการรักษาชีวิตของเขากลับด้อยกว่าขุมหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับวิถีหอกอันน่าหวาดหวั่นของตงป๋อเสวี่ยอิง ร่างกายก็ต้องแข็งแกร่ง เขาย่อมน่าอนาถกว่า ‘เจ้าเก้า’ ผู้นั้นมากทีเดียว
“ยังมีคนสุดท้าย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปนอกลาน
สตรีอาภรณ์สีแดงผู้นั้นกลับหนีออกไปแล้ว
“หนีพ้นรึ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันกลายร่างเป็นเส้นสายเล็กละเอียดทะลุผ่านลานของตนออกไปไล่สังหารทันที
……
จนถึงบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังไม่พบผู้ใดที่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาในโลกใบนี้ได้! เขาเองก็มิได้ค้นคว้าต่อ แต่ก็มีข้อดีเช่นกัน ก็คือหากศัตรูคิดจะหนีขึ้นมาน่ะหรือ ก็เป็นเรื่องยากมากทีเดียว
แม้สตรีอาภรณ์สีแดงซึ่งจัดเป็น ‘เจ้าห้า’ ซึ่งอยู่ไกลที่สุดเพราะรับหน้าที่สำแดงหมอกพิษและแมลงพิษจะหนีออกไปนอกลานก่อนใครเมื่อเห็นท่าไม่ดี แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำซึ่งเป็นจ้าวเทพช่วงกลางได้รวดเร็วยิ่งนัก แค่แทงหอกออกไปเพียงสองครั้งเท่านั้น เวลาน้อยนิดเท่านี้ สตรีอาภรณ์สีแดงหนีไปได้ไม่ไกลสักเท่าใดนัก
“แกร่งเกินไปแล้ว”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว! เหตุใดวิถีหอกของเขาจึงน่ากลัวถึงเพียงนี้ได้ ร่างกายของเจ้าเก้าประหนึ่งอาวุธเทพ แต่กลับถูกทำลายไปด้วยการแทงหอกสามครั้งอย่างนั้นหรือ” สตรีอาภรณ์สีแดงหวาดหวั่นใจเหลือแสน ร่างกายของเจ้าเก้ายังแข็งแกร่งกว่าจ้าวเทพช่วงกลางจำนวนมากเสียอีก หากนางไปแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะต้านทานไม่ได้แม้แต่หอกเดียว
“ไม่ดีแล้ว”
สตรีอาภรณ์สีแดงค้นพบแล้วว่า
เส้นสายเล็กละเอียดสายหนึ่งด้านหลังทะลุฟ้ามาอย่างรวดเร็วเสียจนน่าตกใจ
“ไล่ตามมาแล้ว!” สตรีอาภรณ์สีแดงตกใจใหญ่ “พี่ใหญ่ ไยท่านจึงยังไม่มาอีก ยังไม่มาอีก!!!”
ตอนที่ตัดสินใจหนีนั้น นางและ ‘พี่สาม’ ก็ได้ขอความช่วยเหลือแล้ว!
แต่พวกพี่ใหญ่เร่งตรงมาจากรัง ก็เกรงว่าต้องใช้เวลาชั่วจอกชาหนึ่ง เวลายาวนานถึงเพียงนี้…ไหนเลยจะมาช่วยพวกเขาได้ทันกาล
“ไว้ชีวิตด้วยๆ จ้าวเทพหิมะเหิน ไว้ชีวิตพวกเราด้วย” สตรีอาภรณ์สีแดงผู้นี้รีบถ่ายเสียงร้องขอชีวิต นางหยุดลงแล้วหันไปมองด้วยท่าทางน่าสงสาร
สตรีผู้งดงามวิงวอนอย่างน่าสงสาร
ตงป๋อเสวี่ยอิงจะทำเช่นนี้ลงหรือ
“ขอชีวิตรึ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือเก็บหอกยาวลงไป ภาพนี้ทำให้สตรีอาภรณ์สีแดงถอนหายใจออกมา “เก็บหอกยาวแล้วหรือ เห็นทีเขาคงจะไม่สังหารข้าแล้ว”
แต่หลังจากนั้นติดๆ มือขวาของเขาก็ยื่นออกมา!
มือขวาปกคลุมเข้ามา อากาศอันไร้รูปร่างโอบล้อมสตรีอาภรณ์สีแดงเอาไว้แล้วกดดันอย่างรวดเร็ว สตรีอาภรณ์สีแดงมองดูอากาศรอบกายถล่มลงไป ตัวนางเองก็หดเล็กลงไปตาม ฝ่ามือข้างนั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงขยายใหญ่ขึ้นในสายตาของนาง สิ่งก่อสร้างรอบด้านก็กลายเป็นสูงตระหง่านหาใดเปรียบ
“ฟิ้ว” มือหนึ่งคว้าลูกกลมห้วงอากาศเอาไว้ ลูกกลมเล็กจิ๋วนี้ใหญ่ราวนิ้วมือหนึ่ง มันวางอยู่กลางฝ่ามือ
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลายร่างเป็นเส้นสายเล็กละเอียดสายหนึ่งแล้วกลับไปอย่างรวดเร็ว “ช้าเกินไปแล้วจริงๆ แรงดึงดูดของโลกใบนี้มากเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นข้า ความเร็วในการเหินทะยานก็ช้าเสียยิ่งกว่าช้า เมืองจวิ้นซานแห่งนี้ไม่นับว่าใหญ่โตสักเท่าใดนัก แต่จะทะลุลงมาก็เกรงว่าคงต้องใช้เวลาครู่หนึ่ง”
ภายในจวนของตน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องพลางคีบลูกกลมห้วงอากาศลูกหนึ่งเอาไว้ในมือ ภายในลูกกลมห้วงอากาศก็คือ ‘สตรีอาภรณ์สีแดง’ ผู้นั้นนั่นเอง ยามนี้สตรีอาภรณ์สีแดงกลับหลับใหลโดยไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดลับเขตลวงโลกเทียมออกมา สตรีอาภรณ์สีแดงผู้นี้จึงไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย และจมจ่อมลงไปทันที ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยจังหวะนี้ก็สามารถพลิกความทรงจำของนางได้อย่างง่ายดาย
“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง”
“ภายในโลกเทพแห่งนี้ ผู้ที่มีสถานะสูงส่งที่สุดก็คือสามตระกูลราชันย์อย่างนั้นหรือ” จวบจนวันนี้ จึงนับได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้ที่เขาได้พูดคุยกับทหารคุ้มกันบนเรือใหญ่เหล่านั้น ก็แค่ได้รับข้อมูลยิบย่อยเท่านั้น
ยามนี้เมื่อพลิกความทรงจำดู กลับเข้าใจแจ่มแจ้งทั้งหมด
โลกเทพ…
ตามตำนาน ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพเทวะคละถิ่นสามท่าน
บรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามท่านได้ทิ้งสายเลือดโดยตรงเอาไว้ ซึ่งก็คือสามตระกูลราชันย์! สามตระกูลราชันย์เองแข็งแกร่งหาใดเปรียบ เบื้องหลังยังมีท่านบรรพชนผู้ลึกล้ำเกินหยั่งอย่างบรรพเทวะคละถิ่นอยู่ด้วย! แน่นอนว่าขุมอำนาจแต่ละฝ่ายทั่วทั้งโลกเทพล้วนแต่คร้ามเกรงสามตระกูลราชันย์เป็นอันมากด้วยกันทั้งสิ้น
นอกจากนี้แล้ว
โลกเทพกว้างใหญ่ไพศาล มีขุมอำนาจมากมาย แก่งแย่งชิงดีกัน
สามตระกูลราชันย์เหนือกว่าใคร พวกเขาชายตามองขุมอำนาจต่างๆ ต่อสู้แย่งชิงกัน!
‘ตระกูลจวิ้นซานอวี้เฟิง’ ก็คือหนึ่งในขุมอำนาจจำนวนมากทั่วทั้งโลกเทพ ในโลกเทพ ชาวบ้านดั้งเดิมของโลกเทพอยู่ในตำแหน่งปกครองอย่างเด็ดขาด เมื่อเทียบกันแล้วผู้เหินทะยานก็น้อยกว่ามากทีเดียว ขุมอำนาจก็เบาบางกว่ามาก มีหลายแห่งที่เข้าร่วมกับขุมอำนาจท้องถิ่น
“บรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามท่านรังสรรค์โลกใบนี้ขึ้นมาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงใจสั่น “สามารถสร้างโลกเช่นนี้ขึ้นมาได้ จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอย่างไร้ข้อกังขา และคงจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย!”
นอกจากนี้
ทั้งสามท่านนี้ยังมีชีวิตอยู่ด้วย! เบื้องหลังของสามตระกูลราชันย์แต่ละตระกูลล้วนแต่มีบรรพเทวะคละถิ่นอยู่คนหนึ่ง
“หยวนให้ข้าและคนอื่นๆ มาที่นี่เพื่อขัดเกลาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอ้าปากค้าง
“ช่างเถิด สามตระกูลราชันย์มีสถานะเหนือธรรมดา เกรงว่าโดยทั่วไปแล้วข้าคงจะแตะต้องไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ‘บรรพเทวะคละถิ่น’ ที่แทบจะเป็นตำนานเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบโจมตี สถานะของบรรพเทวะคละถิ่นพิเศษยิ่งนัก ชาวโลกเทพทั้งหลายล้วนมีสายเลือดของบรรพเทวะคละถิ่น เห็นได้ชัดว่าเมื่อผ่านคืนวันอันยาวนาน หากไล่ย้อนต้นกำเนิดของชาวโลกเทพไม่ว่าคนใด ก็สามารถสืบย้อนไปถึงบรรพเทวะคละถิ่นได้
มีเพียงผู้เหินทะยานเท่านั้นที่ไม่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นอยู่ในกาย!
“ผู้ที่ลอบโจมตีข้าในครั้งนี้ก็คือขุมอำนาจภายในเมืองจวิ้นซานที่มีชื่อว่า ‘ภูเขาค้างคาว’ อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ภูเขาค้างคาวมีพื้นฐานลึกล้ำอย่างยิ่งในเมืองจวิ้นซาน
จ้าวภูเขาค้างคาวเป็นยอดฝีมือระดับจ้าวเทพขั้นสุดยอด และเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของ ‘สกุลจวิ้นซานอวี้เฟิง’! เพราะถึงอย่างไรเจ้าเมืองจวิ้นซาน…ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน! ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายล้วนสยบให้กับสกุลจวิ้นซานอวี้เฟิงทั้งสิ้น
……
ยามราตรี
ภายในเรือนหลังหนึ่ง มีเงาร่างห้าสายยืนอยู่บนหอ แต่ละคนทอดสายตามองไปยังจวนซึ่งตั้งอยู่ทางทิศหนึ่ง…จวนของตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง!
“พี่ใหญ่ พวกเราจะมัวแต่ดูอยู่อย่างนี้โดยไม่เข้าไปหรือ” อีกสี่คนล้วนร้อนใจเหลือประมาณ
“สมควรตาย”
ผู้ที่เป็นหัวหน้าก็คือชายชราหน้าตาอัปลักษณ์ซึ่งมีศีรษะรูปสามเหลี่ยม เขาก็คือ ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองจวิ้นซาน หากพูดถึงพลังแล้ว ก็สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองจวิ้นซานได้!
จ้าวภูเขาค้างคาวจ้องมองจวนที่อยู่ไกลออกไปเขม็งพลางพูดเสียงแหบแห้งว่า “เจ้าสาม เจ้าห้า เจ้าเก้า พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันมิใช่แค่ล้มเหลวเท่านั้น แต่ยังหนีไม่รอดสักคน ภายในสองชั่วลมหายใจ พวกเขาก็แทบจะสลายไปจนสิ้น แม้ข้าจะสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งสามคนได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำลายพวกเขาได้ในสองชั่วลมหายใจ
อีกสี่คนเงียบงันไป
ใช่แล้ว
ขณะที่หนีเอาชีวิตรอดนั้น ต่างคนต่างแยกย้ายกันหนีไป! หากไล่ตามไปทางทิศหนึ่ง อีกสองคนที่เหลือก็สามารถหนีไปได้ไกลโขแล้ว
จะสังหารทั้งสามคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้ยังทำได้ภายในสองชั่วลมหายใจ คิดๆ ดูแล้วก็ออกจะน่ากลัวอยู่บ้าง
“ดวงตาทิพย์แสงมรกตของพ่อบ้านอวิ๋นไม่เคยมองพลาดเลย” จ้าวภูเขาค้างคาวพูดเสียงต่ำ “ข้าก็รู้ว่าพ่อบ้านอวิ๋นเคยสำรวจผู้เหินทะยานคนนี้มาก่อน และมั่นใจว่ามีพลังเพียงระดับจ้าวเทพช่วงต้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องคอยข่มอาการบาดเจ็บสาหัสของร่างกายเอาไว้ด้วย ข้าจึงได้สั่งให้พวกเขาทั้งสามคนลงมือ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้…พ่อบ้านอวิ๋นจะมองพลาดไปเสียแล้ว”
“พี่ใหญ่ ทำอย่างไรดี”
“พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปกันดี” พวกเขาแต่ละคนพากันมองไปทางจ้าวภูเขาค้างคาว
จ้าวภูเขาค้างคาวพูดเสียงเย็นชาว่า “กลับไปกันก่อนเถอะ”
“ขอรับ”
ทั้งสี่คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งพากันรับคำสั่ง แม้เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วจะไม่ยอมจำนนอยู่บ้าง แต่ส่วนลึกในใจกลับพากันถอนหายใจออกมา
พวกเขาพากันมารวมตัวอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของจ้าวภูเขาค้างคาว ก็เพราะอำนาจของเขาเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องความรู้สึกระหว่างกันลึกล้ำเท่าไหร่น่ะหรือ เป็นแค่เรื่องน่าขันทั้งเพ!
“จ้าวเทพสิ้นใจไปตั้งสามคน เกรงว่าอีกไม่นานท่านเจ้าเมืองก็คงจะทราบข่าวกระมัง ครั้งนี้เสียหน้าครั้งใหญ่จริงๆ ทว่าจ้าวเทพหิมะเหิน ผู้นี้รับมือไม่ได้ง่ายๆ เลย ควรต้องใคร่ครวญให้ดีเสียก่อนว่าควรจะรับมืออย่างไรดี” สายตาของจ้าวภูเขาค้างคาวเย็นชา ตอนนั้นท่านเจ้าเมืองจวิ้นซาน ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ใช้อำนาจบังคับปกครองเมืองจวิ้นซาน จึงกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดของทั้งเมืองจวิ้นซาน จ้าวเทพสิ้นใจไปตั้งสามคน ไหนเลยจะปิดบังท่านเจ้าเมืองได้
………………………………….