ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 19 ออกจากการปลีกวิเวก

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

“จ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้มิอาจยั่วยุได้โดยง่าย แต่กลับไม่สามารถอภัยให้เถี่ยเฉิงหลิ่วที่ปล่อยข่าวเท็จได้ง่ายๆ” จ้าวภูเขาค้างคาวสายตาเยียบเย็นแล้วเอ่ยด้วยเสียงหยาบกระด้าง “เจ้าแปด เจ้าไปสักรอบหนึ่ง จับตัวเถี่ยเฉิงหลิ่วมาเสีย”

“ขอรับ พี่ใหญ่ จะปล่อยเจ้าเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นี้ไปมิได้เด็ดขาด บอกว่าจ้าวเทพช่วงต้นยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไรกัน!” ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงผู้หนึ่งขบกรามพูด เรื่องนี้พอพูดขึ้นมาแล้วเขาก็ยังมีส่วนรับผิดชอบ ‘ภูเขาค้างคาว’ กลุ่มอิทธิพลนี้ดำเนินการอยู่ที่เมืองจวิ้นซานมาเป็นระยะเวลายาวนาน  เรื่องการสังหารปล้นชิงก็ทำมาไม่น้อย คราวนี้เถี่ยเฉิงหลิ่วมาพบและดื่มสุรากับเขาแล้วเอ่ยถึงผู้เหินทะยาน ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ผู้นี้ขึ้นมา แล้วยังพูดอย่างเป็นตุเป็นตะว่า “จ้าวเทพหิมะเหินผู้นั้นเตร็ดเตร่อยู่ในดินแดนรกร้างเป็นเวลานาน ได้ยินว่าเดิมทีเขามีพลังยุทธ์ระดับจ้าวเทพช่วงกลาง และกำลังได้สมบัติมาครอบครองไม่น้อยในดินแดนรกร้าง แต่ตอนนี้บาดเจ็บสาหัสพลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล ไม่เพียงแต่ตกต่ำไปถึงระดับจ้าวเทพช่วงต้นเท่านั้น แต่ในร่างกายยังมีอาการบาดเจ็บสาหัสที่มิอาจขจัดออกไปได้อีกด้วย หึๆ ถ้าหากข้ามีพลังยุทธ์เพียงพอก็จะต้องกำจัดเขาแล้วชิงสมบัติมาทำกำไรงามๆ สักครั้งอย่างแน่นอน”

ดังนั้นเจ้าแปดผู้นี้ก็ดวงตาเป็นประกายในทันใดแล้วรายงานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

อันที่จริงระดับสูงของภูเขาค้างคาวก็ล่วงรู้ว่าเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นั้นคิดจะหลอกใช้ภูเขาค้างคาวกำจัด ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ผู้นั้น ด้วยเหตุผลที่พวกเขาต่างก็รู้กันดี

ทว่าข่าวคราวเกี่ยวกับ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ นั้น พวกเขาผ่านการตัดสินใจมาแล้วว่าเป็นเรื่องจริง!

หลังจากที่พวกเขาตรวจสอบแล้ว…ก็ได้รู้ว่าพ่อบ้านอวิ๋นเคยใช้ ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ตรวจสอบมาก่อนแล้ว พวกเขาต่างก็มีความเชื่อมั่นในดวงตาทิพย์แสงมรกตกันเป็นอย่างยิ่ง! ถึงขนาดที่เพื่อผลสำเร็จในการเคลื่อนไหว คราวนี้ไม่เพียงแต่ ‘เจ้าห้าและเจ้าเก้า’ เท่านั้นที่เคลื่อนไหว แม้กระทั่งผู้ที่เป็นจ้าวเทพช่วงกลางอย่าง ‘เจ้าสาม’ ก็ยังถูกส่งตัวไปด้วย! ก็ควรจะมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง จะคิดเสียที่ไหนกันว่า ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่พลังยุทธ์ยังดูเหมือนเกินกว่าที่จะจินตนาการได้อีกด้วย

แม้กระทั่ง ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ที่พลังยุทธ์จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองจวิ้นซานก็ยังต้องตกตะลึงตาค้าง

……

ภายในเรือนพักอันสามัญธรรมดาแห่งหนึ่ง

‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’ ผู้มีร่างกายสูงใหญ่นั่งดื่มสุราอยู่ที่นั่นตามลำพังด้วยสายตาเยียบเย็น

นับตั้งแต่หลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้นแล้วเขาก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นและบ้าคลั่ง! ความนิยมก็ย่อมลดน้อยถอยลงไปเป็นธรรมดา

“ผู้เหินทะยาน ผู้เหินทะยานล้วนสมควรตาย สมควรตายกันทั้งสิ้น” เถี่ยเฉิงหลิ่วเอ่ยเสียงต่ำ “อาศัยอะไรกัน อาศัยอะไรกันผู้เหินทะยานจึงสมควรจะถูกมองด้วยสายตาที่แตกต่างไป หึๆ ด้วยวิธีการจัดการเรื่องราวของภูเขาค้างคาว เกรงว่าไม่กี่วันนี้ก็คงมีบทสรุปแล้วกระมัง”

เถี่ยเฉิงหลิ่วดื่มสุราอยู่ที่นั่นแล้วดูคล้ายว่าจะระลึกสิ่งใดขึ้นมาได้

สายตาก็ทวีความบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น

ทันใดนั้น…

“ปัง”

ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งก็ตกลงมาภายในลานบ้านในทันใด แล้วแปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วง เถี่ยเฉิงหลิ่วที่นั่งดื่มสุราอยู่เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาแล้วสีหน้าก็ไม่น่าดู  หัวใจอดที่จะขมวดแน่นคราหนึ่งมิได้ เมื่อได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เอ่ยว่า “น้องเซวี่ย”

“เพราะคนหน้าโง่อย่างเจ้า พวกพี่สามจึงเคราะห์ร้ายกันหมด” ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด แต่เขากลับลืมไปเสียแล้วว่าเหตุผลที่พวกเขาลงมือนั้นก็เพราะเห็นแก่ทรัพย์สินที่ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ได้มาตอนบุกฝ่าดินแดนรกร้างตามลำพัง และเห็นว่าขณะนี้จ้าวเทพหิมะเหินพลังยุทธ์อ่อนแอลง! ถึงอย่างไรสามารถบุกฝ่าดินแดนรกร้างได้เป็นระยะเวลายาวนาน มูลค่าของสิ่งที่ได้รับมาก็ย่อมสูงเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว

ดินแดนรกร้าง ถึงแม้ว่าจะอันตราย แต่ซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้นก็สูงค่ามากพอแล้ว

“อะไรนะ” เถี่ยเฉิงหลิ่วสีหน้าแปรเปลี่ยน

“ตามข้ามาเถิด ไปพบพี่ใหญ่ของข้า” ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงเดินก้าวยาวๆ ตรงเข้ามา

“พรึ่บ!”

เถี่ยเฉิงหลิ่วหลบหนีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย พบจ้าวภูเขาค้างคาวอย่างนั้นหรือ เขาก็สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้แล้ว

ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงยิ้มเย็นอย่างอำมหิต เขาโบกมือขวาคราหนึ่ง ฝ่ามือก็ระเบิดลำแสงสีม่วงจำนวนมากออกมา ลำแสงสีม่วงบิดเบือนได้ตามใจปรารถนาแล้วพุ่งเข้าใส่เถี่ยเฉิงหลิ่วที่กำลังหลบหนีอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มพันธนาการเถี่ยเฉิงหลิ่วเอาไว้อย่างแน่นหนา

ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคน คนหนึ่งจะเป็นแม่ทัพเทพช่วงสุดยอด อีกคนหนึ่งเป็นจ้าวเทพช่วงต้น

ก็ดูเหมือนว่าจะต่างกันอยู่เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น

แต่ว่า…

แม่ทัพเทพ จ้าวเทพ และจักรพรรดิเทพ ทุกครั้งที่ก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่ ความแตกต่างของพลังยุทธ์ก็จะเห็นได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประชากรโลกเทพของพวกเขา บำเพ็ญสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่น ก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่ ก็จะทำให้เขามีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเกิดขึ้นได้

******

ตระกูลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน ตระกูลอวี้เฟิงมีอาณาเขตหลายหมื่นลี้ ด้วยสภาพแวดล้อมพิเศษของโลกเทพ อาณาเขตของตระกูลแห่งหนึ่งสามารถใหญ่โตถึงเพียงนี้ได้ ก็สามารถเห็นถึงอิทธิพลได้แล้ว

ขุมอำนาจน้อยใหญ่ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซาน ถึงแม้ว่าจะมีสงครามภายในอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลอวี้เฟิงแล้วกลับยอมสวามิภักดิ์อย่างว่าง่าย! อย่างเช่น ‘ปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญ’ อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงและจ้าวภูเขาค้างคาว หรืออย่างบรรดาพลทหารกองทัพเช่นเถี่ยเฉิงหลิ่ว ล้วนมิอาจนับได้ว่าเป็นแกนหลักของตระกูลอวี้เฟิง สานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงและข้ารับใช้เก่าแก่จำนวนหนึ่งที่จงรักภักดีอย่างพ่อบ้านอวิ๋นจึงจะเป็นผู้ที่ตระกูลอวี้เฟิงเชื่อใจ

“โครม…”

ณ ตระกูลอวี้เฟิง ที่ยอดเขาสูงสิบลี้เศษแห่งหนึ่ง ประตูศิลาเปิดออกเสียงดังโครมคราม

เงาร่างสองสายยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูศิลา

คนหนึ่งคือ ‘อวี้เฟิงเหลย’ นายน้อยแห่งตระกูลอวี้เฟิง สถานะของเขาภายในตระกูลเป็นรองเพียงแค่บิดาของเขาเท่านั้น ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือพ่อบ้านอวิ๋นนั่นเอง สถานะของพ่อบ้านอวิ๋นภายในตระกูลอวี้เฟิงนั้นถึงแม้ว่าจะสูงส่งเช่นเดียวกัน แต่แม้กระทั่งในบรรดาพ่อบ้านมากมายเขาก็จัดเป็นเพียงแค่ลำดับสามเท่านั้น สามารถมีสิทธิ์มาต้อนรับ ‘เจ้าของบ้าน’ อยู่ที่นี่พร้อมกับนายน้อยได้ กลับเป็นเพราะเหตุผลอื่นต่างหาก

ประตูศิลาผลักเปิดออก ผู้ที่เดินออกไปจากข้างในก็คือชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาคนหนึ่ง เขาก้าวเดินเข้ามาก็ทำให้อวี้เฟิงเหลยและพ่อบ้านอวิ๋นต่างพากันโค้งกายลงทำความเคารพโดยไม่รู้ตัว

“ท่านพ่อ” อวี้เฟิงเหลยค้อมกายพูด

“นายท่าน” พ่อบ้านอวิ๋นก็ค้อมกายเอ่ยขึ้นเช่นกัน

บุคคลตรงหน้าผู้นี้ก็คือผู้ปกครองของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซาน! ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่สูงส่งที่สุดอย่างไร้ข้อโต้แย้ง!

อวี้เฟิงจวิ้นซานพยักหน้าเบาๆ แล้วหันหน้ามองไปทางพ่อบ้านอวิ๋น “คราวนี้เจ้ามุ่งหน้าไปยัง ‘เมืองรุ่งอรุณ’ ผลลัพธ์เป็นเช่นไรบ้างเล่า”

พ่อบ้านอวิ๋นเอ่ยด้วยความเคารพนบนอบว่า “เจ้านายขอรับ ของกำนัลล้วนถูกส่งกลับมาจนหมดสิ้น เจ้าสำนักรุ่งอรุณมิปรารถนาจะรับคุณหนูสามเป็นศิษย์ขอรับ”

อวี้เฟิงจวิ้นซานได้ฟังแล้วม่านตาก็หดลงเล็กน้อย กล้ามเนื้อตรงมุมตาก็บิดเกร็ง เขาเอ่ยเสียงต่ำเบาว่า “เจ้าสำนักรุ่งอรุณนั้นด้วยพลังยุทธ์ของเขาแล้วก็มิใช่เรื่องอย่างสำหรับเขาเลย แต่เขากลับปฏิเสธเสียนี่”

เขาเข้าใจดี

เจ้าสำนักรุ่งอรุณไม่อยากข้องเกี่ยวกับน้ำขุ่นนี้

“ท่านพ่อ ต่อให้อาศัยเมืองจวิ้นซานของพวกเราเอง ข้าก็ไม่เชื่อว่าจะเทียบกับ ‘สมาคมจิตมาร’ นั่นมิได้หรอกนะขอรับ” สายฟ้าปรากฏในดวงตาของอวี้เฟิงเหลย อากาศรอบๆ ดวงตาก็ส่งเสียงเปรี้ยงๆๆ มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ

“พลังยุทธ์ของโจรเฒ่าจิตมารก้าวหน้าเป็นอย่างมาก สามารถถูก ‘เผ่าจิตฟ้า’ กำหนดให้เป็นลำดับที่เก้าร้อยแปดสิบเจ็ดใน ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ ได้ ถึงแม้ว่าจะอยู่รั้งท้าย แต่อย่างน้อยก็สามารถเข้าไปอยู่ในบัญชีรายนามได้” อวี้เฟิงจวิ้นซานส่ายหน้าพูดขึ้น “ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะไม่อยากเชื่อ แต่เรื่องจริงก็คือพลังยุทธ์ของโจรเฒ่าจิตมารเหนือชั้นกว่าพวกเราอยู่มากนัก อีกทั้งยังครองความได้เปรียบด้านภูมิประเทศของเมืองจวิ้นซานอีกด้วย เกรงว่าคงเอาชนะโจรเฒ่าจิตมารมิได้หรอกขอรับ”

บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพบันทึกรายนามจักรพรรดิเทพที่น่าหวั่นเกรงหนึ่งพันท่านทั่วทั้งโลกเทพเอาไว้

ด้วยความกว้างใหญ่ของโลกเทพก็มีขุมอำนาจเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ที่สามารถจัดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกได้นั้น… แต่ละคนก็ต้องเป็นเจ้าในด้านใดด้านหนึ่ง

“เผ่าจิตฟ้าก็คือหนึ่งในสามเผ่าราชันย์ การประเมินของพวกเขาก็ย่อมไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอนอยู่แล้ว” อวี้เฟิงจวิ้นซานแววตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ตอนนั้นข้าก่อความบาดหมางกับโจรเฒ่าจิตมารเอาไว้ ด้วยอุปนิสัยของโจรเฒ่าจิตมารก็ย่อมไม่มีทางปล่อยไปอย่างแน่นอน ตอนนี้พลังยุทธ์ของเขาก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก เพียงแค่ยังมิได้เตรียมตัวอย่างเต็มที่เท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะเสียสละที่เมืองจวิ้นซานของเรามากเกินไปนักอยู่แล้ว และตอนที่พวกเขาลงมือก็คือตอนที่เตรียมตัวอย่างเต็มที่แล้ว!”

“ท่านพ่อ อาศัยความได้เปรียบด้านภูมิประเทศของเมืองจวิ้นซาน พวกเขาก็คงมิอาจจัดการกับตระกูลอวี้เฟิงของเราได้อย่างง่ายๆ หรอกขอรับ” อวี้เฟิงเหลยก็หายใจถี่กระชั้นอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าได้วิตกกังวลไปเลย”

อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยปาก “พ่อบ้านอวิ๋น เจ้าออกไปกับจิ่นเอ๋อร์รอบหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังเมืองไม้บูรพา! คุณชายเก้าแห่งเมืองไม้บูรพามายังเมืองจวิ้นซานของพวกเราในตอนนั้นก็เคยมีใจให้กับชิงอินอยู่บ้าง ไปคราวนี้… ดูว่าจะสามารถสานต่อเรื่องมงคลของชิงอินกับคุณชายเก้าเมืองไม้บูรพา ได้หรือไม่ เพียงแค่เมืองไม้บูรพาเกี่ยวข้องด้วย เจ้าเมืองไม้บูรพามีสถานะอันทรงเกียรติ ให้เขาไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้ก็ย่อมง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง”

“คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาหรือ” อวี้เฟิงเหลยเผยสีหน้ากระวนกระวายออกมา “ท่านพ่อ หรือว่าต้องการจะให้น้องหญิงแต่งงานให้เขาจริงๆ หรือขอรับ…”

แต่งออกไปก็เป็นเนื้อเข้าปากเสืออย่างแท้จริง

ต่อให้น้องสาวจะน่าอนาถยิ่งกว่านี้ พวกเขาเมืองจวิ้นซานก็ยังไม่กล้าท้าทายเมืองไม้บูรพาอยู่ดี

“คุณชายเก้าชื่อเสียงไม่ใคร่จะดีนัก แต่ในขณะนี้ผู้ที่สามารถช่วยเหลือเมืองจวิ้นซานของเราได้ก็มีเพียงแค่เขาเท่านั้น” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยเสียงเย็น “เพื่อทั้งตระกูลอวี้เฟิง ชิงอินต้องเข้าใจเป็นแน่”

อวี้เฟิงเหลยเงียบงันไปเสียแล้ว

ใช่แล้ว

‘โจรเฒ่าจิตมาร’ มีชื่ออยู่ในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ แล้วในขณะนี้ผู้ใดจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้เล่า อวี้เฟิงจวิ้นซานคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับเดียวกันกับอวี้เฟิงจวิ้นซาน แม้กระทั่งผู้ที่พลังยุทธ์สูงกว่าอีกขั้นหนึ่งก็ยังไม่อยากจะเป็นอริกับโจรเฒ่าจิตมารเลย ผู้ที่สามารถต่อกรได้อย่างค่อนข้างสบายจริงๆ ก็มีเพียงแค่ ‘เจ้าสำนักรุ่งอรุณ’ เท่านั้น น่าเสียดายที่เจ้าสำนักรุ่งอรุณไม่อยากช่วยเหลือ

สำหรับเจ้าเมืองไม้บูรพาน่ะหรือ

สถานะสูงกว่าก็จริง แต่น่าเสียดายที่อวี้เฟิงจวิ้นซานไม่มีสิทธิ์ติดต่อกับบุคคลระดับนี้ได้ มีเพียงแค่คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาผู้นั้นเท่านั้นที่เคยผ่านทางมายังเมืองจวิ้นซานยามที่ท่องเที่ยว

“เรื่องนี้ก็จัดการเช่นนี้ก็แล้วกัน” อวี้เฟิงจวิ้นซานเข้าใจ ตอนนี้มีเพียงแค่ทางฝ่ายพวกเขานี้เท่านั้นที่ร้อนรน ไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของทางด้านเมืองไม้บูรพานั้นเลย! ตอนนี้ก็ได้แต่ผูกสัมพันธ์กับคุณชายเก้าเท่านั้นจึงจะนับได้ว่าไม่เลว ส่ง ‘อวี้เฟิงจิ่น’ บุตรชายคนรองของตนไปเจรจา พูดเกริ่นเอาไว้ก่อนแล้ว ถ้าหากมีความเป็นไปได้ เกรงว่าอวี้เฟิงจวิ้นซานยังต้องไปคารวะเจ้าเมืองไม้บูรพาผู้นั้นด้วยตนเองด้วย!

“ใช่แล้ว ช่วงเวลาที่ข้าปลีกวิเวกนี้ในเมืองเป็นอย่างไรบ้างเล่า” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยปากพูด

อวี้เฟิงเหลยพูดว่า “ในเมืองก็ยังนับได้ว่าสงบเรียบร้อยดี แต่มีผู้เหินทะยานท่านหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ มาถึงยังเมืองจวิ้นซานของพวกเรา เป็นน้องหญิงสามช่วยเขากลับมา ข้าให้เขารับหน้าที่เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิงเราชั่วคราวก่อน เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ภูเขาค้างคาวมีจ้าวเทพสามท่านหมายจะลอบสังหารจ้าวเทพหิมะเหินท่านนี้ แต่ในที่สุดกลับตกอยู่ในกำมือเขาแทน”

…………………………………..