หวงฝู่เย่าเย่ว์ปล่อยมือของหวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่เย่าเย่ว์ออก แล้วเข้าไปซุกที่อ้อมอกของท่านอ๋องฉี น้ำตาไหลรินซึมเข้าไปที่อกของเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นซ้ำไปซ้ำมาว่า “ท่านปู่ ข้ากลับมาแล้ว”
ท่านอ๋องฉีดวงตาแดงก่ำ ยื่นมือออกมา แล้วลูบลงไปที่หลังของนางเบาๆ พูดด้วยเสียงที่ดีใจและสั่นเครือ “เจ้ากลับมาก็ดีแล้วๆ”
“เสด็จพ่อ ร่างกายเย่ว์เอ๋อร์ยังไม่หายดีนัก พวกเราเข้าไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามโน้มน้าว
“เข้าไปกันเถอะ” ท่านอ๋องฉีตอบรับ แม้เขาจะพยายามข่มใจเอาไว้ แต่ทุกคนก็ยังคงได้ยินเสียงสะอื้นของเขาอยู่
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้กับหวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ย บอกทั้งสองคนให้ช่วยกันพยุงหวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าไปด้านในด้วยตาที่แดงก่ำ
อ๋องฉีไม่พูดอะไรอีก เดินเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยม
หวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยก็พยุงหวงฝู่เย่าเย่ว์ตามเข้าไป
พอเข้าที่เข้าทาง ก็ออกคำสั่งกับเถ้าแก่ให้เตรียมอาหารเย็นไว้ให้กับทุกคน หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ห้องของท่านอ๋องฉี แล้วไม่รอช้า เล่าเรื่องที่พวกหมิงเย่ว์เล่าออกมาจนหมด
ท่านอ๋องฉีฟังจบ กลับตอบสนองด้วยท่าทีที่นิ่งผิดปกติ “ไม่ว่าอย่างไร เรื่องที่เขาช่วยครอบครัวของเราก็คือความจริง ผ่านเรื่องนี้ไป ก็ถือว่าพวกเราได้ชดใช้ให้เขาแล้ว นับแต่นี้ต่อไป เขาและจวนอ๋องฉีของเราไร้ซึ่งเยื่อใยต่อกัน หากใครยังกล้าพูดถึงเขาอีก ข้า อ๋องชีคนนี้จะจัดการมันให้สิ้นซาก”
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน แล้วไม่พูดอะไร ทั้งสองคนรู้ดีว่ามันผู้นั้นเป็นใคร พูดตามจริง นับแต่เห็นเย่ว์เอ๋อร์มีสภาพเช่นนั้น ในใจของพวกเขาก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
พักไปหนึ่งคืน วันที่สองก็เริ่มออกเดินทาง จริงๆ ระยะเวลาขี่ม้าแค่สามวัน แต่ต้องดูแลหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วย เลยปาไปหกวัน และในที่สุดก็ถึงเมืองหลวง
หวงฝู่อวี้และเจียงจิ่นมารอที่หน้าประตูเมืองตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว เมื่อเห็นว่าหลายวันมาแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะกลับมา จึงร้อนรนกังวลใจ หากไม่ใช่เพราะเป็นห่วงพระชายาฉีล่ะก็ เขาสองคนคงออกเมืองไปรับแล้ว
วันนี้ ในที่สุดก็ได้เห็นพวกเขาเสียที ทั้งสองเลยออกไปรับ แล้วถามหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงกลับมาช้าขนาดนี้เล่า”
“ร่างกายเย่ว์เอ๋อร์อ่อนแอ เลยเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางมาก พวกเรากลับจวนกันก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรค่อยว่ากัน” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
มองไปมองมากลับไม่พบหวงฝู่เย่าเย่ว์ หวงฝู่อวี้จึงรู้ว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์คงอยู่ในรถม้า ด้วยนิสัยร่าเริงสดใสของนางแล้ว นอกเสียจากจะป่วยจนลุกไม่ไหว จะไม่มีทางอยู่บนรถม้าไม่ลงมาเช่นนี้แน่ หวงฝู่อวี้จึงเป็นห่วง พยักหน้า ออกคำสั่งบอกเฮ่ออีว่า “เจ้ากลับไปรายงานที่จวนว่าพวกเขากลับมาแล้ว ปลอดภัยดี อีกไม่นานก็จะถึงจวน”
เฮ่ออีรับคำสั่ง ขี่ม้าวิ่งเข้าไปในเมืองโดยทันที
ส่วนคนที่เหลือก็ตามรถม้ากลับไปอย่างช้าๆ
เมื่อพระชายาฉีและหวงฝู่สือเมิ่งและอาเป่าได้รับรายงาน ก็รีบออกไปดูที่ประตู
รออยู่ไม่นาน ก็เห็นท่านอ๋องฉีและทุกคนเดินล้อมรถม้าค่อยๆ เข้ามา
พระชายาฉีรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เดินออกมารับอย่างสั่นๆ
เยียลี่ว์อาเป่าพยุงหวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ด้านหลัง
ทุกคนหยุด แล้วลงจากม้า
ม่านรถเปิดออก หมิงเย่ว์และหมิงสยาพยุงหวงฝูเย่าเย่ว์ลงมา
พระชายาฉีน้ำตารื้น ยื่นมือออกไปรับหวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจจะเชื่อสายตาและเจ็บปวดเป็นที่สุด “เย่ว์เอ๋อร์!”
ตอนที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้เห็นพระชายาฉี ก็รีบเดินเข้าไปหาในขณะที่สองคนนั้นพยุงอยู่ ก็พุ่งตัวเข้าไปที่อ้อมอกของนาง แล้วร้องเรียกออกมาด้วยเสียงสะอื้น “ท่านย่า!”
“เย่ว์เอ๋อร์ ย่าเป็นห่วงแทบแย่!” พระชายาฉีลูบหลังของนางเบาๆ สองที แล้วกอดนางแน่น น้ำตาไหลรินลงที่ตัวของนางเป็นสายทาง
ทุกคนยืนนิ่ง ดวงตาแดงก่ำ
หวงฝู่สือเมิ่งก็ร้องไห้ เดินออกมา กอดหวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วปลอบใจนาง “ถึงบ้านแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้วๆ”
พอได้เห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์ หวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่นก็ตกใจเป็นอย่างมาก ไม่เจอกันแค่ไม่กี่เดือน เย่ว์เอ๋อร์กลับไปเปลี่ยนไปขนาดนี้
ส่วนท่านอ๋องฉีหันหลังเดินเข้าจวนไปโดยทันที
ทุกคนได้สติ ก็ก้าวออกมาพูดคุยกัน
พระชายาฉีปล่อยหวงฝู่เย่าเย่ว์ออก แล้วพยุงนางเข้าจวนไปด้วยตัวเอง มาที่เรือนที่นางเคยอยู่
แค่ระยะทางใกล้ๆ แค่นี้ หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังต้องพักตั้งหลายรอบกว่าจะเดินมาถึง เมื่อมาถึงห้องของนาง ไม่เพียงแต่หอบเหนื่อยอยู่พักใหญ่ อีกทั้งตัวยังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออีกด้วย
ทุกคนเห็นแล้วก็เจ็บปวดไปทั้งหัวใจ
พอเห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์นอนลงได้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดกับทุกคนว่า “ร่างกายของเย่ว์เอ๋อร์ยังอ่อนแออยู่มาก จะต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อพักฟื้น หากทุกคนไม่มีอะไร ก็ไม่ต้องมารบกวนนางหรอก”
ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่นางพูด จึงตอบรับ แล้วออกไป เหลือก็แต่เพียงพระชายาฉี หวงฝู่สือเมิ่ง เมิ่งเชี่ยนโยว และเจียงจิ่นที่อยู่ในห้อง
สั่งให้หมิงเย่ว์ไปต้มยามา ช่วยป้อนนาง แล้วให้นางหลับไป เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับทุกคนว่า “ข้าได้เติมยานอนหลับลงไป ให้นางหลับพักผ่อนเสียหน่อย พวกเราออกกันเถอะ”
ทุกคนลุกขึ้น มีแต่เพียงพระชายาฉีที่ไม่อยากตามไป
เจียงจิ่นจึงโน้มน้าวว่า “เสด็จแม่เจ้าคะ ไม่รู้ว่าเย่ว์เอ๋อร์จะหลับถึงเมื่อไหร่ ท่านเองก็ไปพักผ่อนก่อนเถิด พอนางฟื้น ท่านค่อยมาหานางนะเจ้าคะ”
พระชายาฉีปาดน้ำตา “เย่ว์เอ๋อร์เป็นเช่นนี้ ข้าจะพักผ่อนลงได้อย่างไร”
“เย่ว์เอ๋อร์ไม่ได้เป็นอะไรมากเจ้าค่ะ พักอีกไม่กี่วันก็หาย เสด็จแม่อย่างกังวลมากไปเลยเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโน้มน้าว
เมิ่งเชี่ยนโยวมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ นางพูดเช่นนี้ ก็แสดงว่าเย่ว์เอ๋อร์คงไม่เป็นอะไรมากจริงๆ
พระชายาฉีจึงวางใจลงได้ แล้วลุกขึ้น
ทุกคนช่วยกันพยุงนางกลับไปที่เรือน
หลังจากนั่งลงเสร็จ พระชายาฉีก็ถามถึงเรื่องราวขึ้นมาเช่นกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวว่านางจะเป็นห่วง ไม่กล้าบอกความจริงกับนาง จึงโกหกไปว่า “พวกเราไปไม่ถึงชายแดนเจ้าค่ะ แต่เจอกับหลินจ้งที่มาส่งเย่ว์เอ๋อร์ระหว่างทาง ตอนนั้นเย่ว์เอ๋อร์ก็อ่อนแอมากแล้ว พวกเราเลยไม่ได้ถามอะไรมาก รอให้ผ่านระยะนี้ไปก่อน ให้เย่ว์เอ๋อร์ดีขึ้นก่อน พวกเราค่อยถามนางเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีพยักหน้าด้วยความเชื่อใจ “ถ้าอย่างนั้นก็รอนางหายก่อนค่อยว่ากันเถิด”
เรื่องที่หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับมาที่จวนอ๋อง ไม่นานก็แพร่ไปทั่วเมืองหลวง หวงฝู่ซวิ่นให้ฮองเฮามาเยี่ยมด้วยตนเอง แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ให้เข้าพบ โดยอ้างว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังอ่อนแอ
หวงฝู่ซวิ่นได้ยินดังนั้น ก็คิ้วขมวดแน่น โบกมือ บอกให้ฮองเฮาออกไป ส่วนเขาเองนั้นอยู่ในตำหนักทั้งคืน
ขุนนางทั้งหลายต่างก็ใช้ให้คนของตนมาสังเกตจวนอ๋อง เมื่อรู้ว่าฮองเฮายังไม่ได้เข้าพบ พวกเขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะมาเยี่ยมไปเลย
สองสามีภรรยาเหวินซื่อและสองสามีภรรยาเปาอีฝานก็มาเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้เข้าพบเช่นกัน
นางเมิ่งซื่อได้ยินข่าว เมิ่งเสียน เมิ่งฉี และเมิ่งเจี๋ยทั้งครอบครัวก็พากันมา วินาทีที่ได้เห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์นั้น นางเมิ่งซื่อแทบอยากจะฆ่าท่าป๋าหั่นหลินนั่น เลยอดที่จะพูดตำหนิเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ “ตอนแรกแม่ก็ไม่ได้เห็นด้วยที่ให้นางแต่งออกไปไกลขนาดนั้น แต่เป็นเพราะพวกเจ้าที่ยินยอม ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ เย่ว์เอ๋อร์เป็นเช่นนี้ จะต้องรักษาอีกเท่าไหร่ถึงจะเหมือนเดิม”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าโต้กลับ ได้แต่ยืนให้นางเมิ่งซื่อพูดตำหนิ
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มแล้วบอกกับนางเมิ่งซื่อว่า “ท่านยาย ตอนนั้นเป็นเพราะเย่ว์เอ๋อร์เองที่ดื้ออยากแต่งออกไป ไม่เกี่ยวกับท่านแม่เลย แล้วอีกอย่าง เย่ว์เอ๋อร์ร่างกายแข็งแรงจะตาย อีกไม่นายก็หายดีเจ้าค่ะ”
นางเมิ่งซื่อเข้าไปลูบหัวของนางด้วยความเจ็บปวดใจ “ตั้งแต่วันนี้ ยายจะอยู่ที่จวนอ๋อง ทำอาหารให้เจ้ากินทุกวันเลย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มพยักหน้า
แต่พวกเมิ่งเสียนนี่สิ มีทีท่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก ส่งสายตาให้หวงฝู่อี้เซวียน เป็นการบอกว่าให้ไปคุยกันด้านนอก
แล้วพวกเขาก็ออกมาที่ห้องรับแขก
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ปิดบังอะไร เล่าเรื่องทุกอย่างออกมาตามจริง
เมิ่งชิงโกรธจนทุบโต๊ะลงอย่างแรง “ข้าว่าแล้วว่าตอนนั้นที่พวกเราไปส่งเย่ว์เอ๋อร์ ข้ารู้สึกได้ว่าเย่ว์เอ๋อร์แปลกไป แท้จริงแล้วเจ้าท่าป๋าหั่นหลินนั่นก็เจตนาไม่ดีมาตั้งแต่แรกนี่เอง”
เมิ่งเจี๋ยก็โกรธเช่นเดียวกัน
ส่วนเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีนิ่ง แล้วพูดออกมาว่า “เมื่อเย่ว์เอ๋อร์กลับมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปอีกแล้วล่ะ ส่วนท่าป๋าหั่นหลินนั่น เดี๋ยวเราก็ได้จัดการมันไม่ช้าก็เร็วนี้แน่”
ฉู่เหวินเจี๋ยและภรรยาเมื่อได้ยินข่าว ก็รีบมาด้วยเช่นกัน หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ฉู่เหวินเจี๋ยทุบโต๊ะแทบแตก “รังแกกันได้โหดร้ายเช่นนี้ รอข้ารายงานฝ่าบาทก่อนเถิด ข้าจะนำทัพไปล้างผลาญมันให้สิ้นซาก”
เฝิงจิ้งซูพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ ตอนนี้ท่านรีบเข้าวังไปเถิดเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พวกเราอย่าบุ่มบ่ามลงมือไป รัฐอิงเป็นรัฐภายใต้การปกครองของเรา เป็นส่วนหนึ่งของรัฐอู่ หากนำทัพไปโจมตีเมืองหลวงเพราะเรื่องนี้ แล้วบีบท่าป๋าหั่นหลินให้ลงจากตำแหน่งล่ะก็ เกรงว่าต่อจากนี้คงไม่มีรัฐใดจะยอมเป็นรัฐภายใต้ปกครองของเราอีกแน่ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้นามของเย่ว์เอ๋อร์ก็ยังเป็นฮองเฮาของท่าป๋าหั่นหลิน พวกเราจะทำแบบนั้นไม่ได้”
ทุกคนก็สงบลงอย่างคร่ำเครียด