ณ เมืองหลวงของรัฐอิง
หวงฝู่เย่าเย่ว์จากไปได้เดือนกว่าแล้ว ภายในตำหนักก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ ท่าป๋าหั่นหลินเองก็ทำตัวปกติ ไปประชุมเช้า ตรวจฎีกาอย่างที่เคยเป็น ดูเหมือนจะไม่เป็นไร แต่มีเพียงเขาเองเท่านั้นที่รู้ดีว่าตั้งแต่หวงฝู่เย่าเย่ว์จากไป ใจของเขาเหมือนขาดอะไรบางอย่าง จนทำให้เขากระวนกระวายใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ
แล้วมีอยู่วันหนึ่ง เขาทนความคิดถึงที่วนเวียนอยู่ในใจไม่ไหว จึงเดินมาที่หน้าตำหนักหลวนเฟิ่งอย่างช้าๆ
ในตำหนักหลวนเฟิ่งเงียบสงัด ไม่มีเสียงหัวเราะที่สดใสเหมือนแต่ก่อน
ท่าป๋าหั่นหลินยื่นมือออกมาเปิดออก เดินเข้าไปอย่างช้าๆ ความรกความสกปรกตรงหน้าทำให้เขาโกรธเกรี้ยวขึ้นมา “ฮูเต๋อ มันเกิดอะไรขึ้น คนในตำหนักหลวนเฟิ่งหายไปไหนกันหมด”
หัวหน้าขันทีฮูตอบกลับไปว่า “ขอรายงานฝ่าบาท บ่าวรับใช้ในตำหนักอี้เฟยและซู่เฟยไม่พอ เมื่อไม่กี่วันก่อนเห็นว่าบ่าวที่ตำหนักหลวนเฟิ่งว่าง เลยเอาไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ตั้งแต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ไปแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินไปที่ตำหนักของอี้เฟยและซู่เฟยสองรอบ ทั้งสองคนเลยคิดว่าฝ่าบาทโปรดปรานตนแล้ว เลยกำเริบขึ้นมา
“ไร้สาระ!” ท่าป๋าหั่นหลินก่นด่าออกมาเสียงดัง “บ่าวในตำหนักหลวนเฟิ่งเอาไว้รับใช้ฮองเฮาโดยเฉพาะ แล้วจะเอาไปที่อื่นได้อย่างไร เจ้าไปเรียกคนกลับมาเดี๋ยวนี้ ทำความสะอาดตำหนักหลวนเฟิ่งให้เรียบร้อย มิเช่นนั้น จะได้รับโทษสูงสุด”
หัวหน้าขันทีฮูขนลุกซู่ รีบวิ่งไปที่ทั้งสองตำหนัก เพราะเกรงว่าช้าไปกว่านี้ จะโดนลงโทษเอาได้
ท่าป๋าหั่นหลินโบกมือ ให้คนด้านหลังหยุด แล้วตัวเขาเองเดินเข้าไปด้านใน ด้านในที่ไม่ได้ทำความสะอาดมาหลายวัน จึงเต็มไปด้วยฝุ่น ขนาดมีลมเบาๆ พัดผ่าน ฝุ่นที่จับตัวอยู่บนชิงช้าก็ปลิวลอยออกมาเป็นชั้นๆ
เดินเข้าไปที่ชิงช้า ถกชายชุดขึ้น ใช้มือเช็ดฝุ่นบนชิงช้าเบาๆ แล้วโค้งตัวนั่งลงไป มีเสียงของหวงฝู่เย่าเย่ว์วนเวียนอยู่ในหู
ใช้เท้าถีบพื้นเล็กน้อย ชิงช้าเคลื่อนเบาๆ แล้วก็ถีบอีก ชิงช้าเคลื่อนแรงขึ้น จนกระทั่งร่างกายของเขาก็สั่นไหวไปด้วย แต่ไม่ได้เล่นแรงเหมือนหวงฝู่เย่าเย่ว์
เล่นได้ไม่กี่รอบ ก็หยุด แล้วท่าป๋าหั่นหลินก็พึมพำพูดออกมาว่า “เจ้าพูดถูกต้องแล้ว ชิงช้านี้ ข้าแกว่งมันไม่ได้จริงๆ”
เสร็จแล้วก็นั่งลงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยืนขึ้น เดินออกไปด้านนอก
ในห้องยังคงเหมือนตอนที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แค่แต่ก่อน มีนาง เลยทำให้สิ่งของในห้องนี้มีชีวิตขึ้นมา ตอนนี้ไม่มีนางอยู่แล้ว สิ่งของที่อยู่ตรงนี้ก็เหมือนไร้ชีวิต วางทื่ออยู่ตรงนั้น เห็นแล้วขัดลูกตายิ่งนัก
จึงเข้าไปหยิบหยกที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ชอบที่สุดขึ้นมา แล้วใช้ชายเสื้อเช็ดมันให้สะอาด หลังจากนั้นก็หยิบอีกอันหนึ่งขึ้นมา… …
จากนั้นภายนอกก็มีเสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้น แล้วก็มีเสียงหอบของหัวหน้าขันทีฮูดังขึ้นว่า “ฝ่าบาท บ่าวเรียกคนกลับมาครบหมดแล้ว ไม่ตกหล่นสักคนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินหยุดการกระทำ แล้วเอาของวางไว้ที่เดิม
“เข้ามา!”
หัวหน้าขันทีฮูนำบ่าวรับใช้ขึ้นมา
ท่าป๋าหั่นหลินขมวดคิ้ว แล้วออกคำสั่ง “ให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งก้านธูป ทำความสะอาดตำหนักนี้ให้สะอาด”
ทุกคนก็ลนลาน หาผ้าขี้ริ้วมาเช็ด ชุบน้ำเสร็จ บีบหมาดๆ แล้วเช็ดให้สะอาด
หัวหน้าขันทีฮูเสนอขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ฝุ่นในห้องนี้เยอะมากเหลือเกิน ท่านไปหลบที่ด้านนอกก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินเดินออกไป เงยหน้าขึ้น มองไปทิศทางของรัฐอู่ด้วยสีหน้าท่าทางเศร้าโศก
หนึ่งก้านธูปผ่านไป ภายในก็สะอาดเป็นปลิดทิ้ง
ท่าป๋าหั่นหลินหันเดินเข้าไปด้านใน
ไม่ต้องรอให้เขาออกคำสั่ง หัวหน้าขันทีฮูก็พาบ่าวออกไปทำความสะอาดเรือน
ทั้งในและนอก กลับมาเป็นเหมือนเดิม ท่าป๋าหั่นหลินนั่งอยู่ด้านในอยู่พักหนึ่ง ลุกขึ้น แล้วออกคำสั่งกับขันทีไป่ว่า “เฝ้าดูตำหนักหลวนเฟิ่งให้ดี หากวันหลังเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าจะเป็นเช่นไร”
หัวหน้าขันทีไป่เหงื่อไหล คุกเข่าลงกับพื้น
แล้วท่าป๋าหั่นหลินก็เดินออกไป
ขันทีไป่โล่งอก ยืนขึ้น พูดด้วยเสียงเล็กแหลมว่า “ได้ยินที่ฮ่องเต้รับสั่งแล้วใช่หรือไม่ ไม่ว่าฮองเฮาจะอยู่หรือไม่อยู่ พวกเราก็ห้ามอู้เด็ดขาด”
บ่าวรับใช้ตอบรับ
พอออกมาจากตำหนักหลวนเฟิ่ง ท่าป๋าหั่นหลินเดินไปตามทางเล็กๆ ในวังไปเรื่อยๆ ส่วนบ่าวรับใช้ที่คอยยกเกี้ยวพระที่นั่งก็ตามมาอยู่ด้านหลัง
เดินไปได้ไม่เท่าไร ก็เห็นนางกำนัลพยุงหลิวอวี้เอ๋อร์เดินผ่านมา เมื่อเห็นท่าป๋าหั่นหลิน ก็ดีใจออกหน้าออกตา เดินไปหาเขา ทำความเคารพแล้วพูดว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท”
ท่าป๋าหั่นหลินไม่พูดอะไร ได้แต่มองนางด้วยสายตาเฉยชา
สีหน้าดีใจของหลิวอวี้เอ๋อร์หายไป เงยหน้ามองท่าป๋าหั่นหลินด้วยความสงสัย
ท่าป๋าหั่นหลินเองก็มองนางกลับไปเช่นกัน
หลิวอวี้เอ๋อร์ก้มหน้าแดงๆ ของนางลง
ท่าป๋าหั่นหลินเก็บสายตาเข้ามาแล้วพูดว่า “ลุกขึ้นเถิด!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
หลิวอี้เอ๋อร์ลุกขึ้น
อาจเป็นเพราะทำความเคารพนานเกินไป ขาแข้งอ่อนแรง เลยยืนได้ไม่ทันไร ก็ล้มลงไปในทางที่ท่าป๋าหั่นหลินยืนอยู่
ท่าป๋าหั่นหลินก็รับนางตามสัญชาตญาณ
หลิวอวี้เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมามองเขา ดวงตาที่กลมโตเหมือนหงส์ของนางสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ยากเกินจะบรรยาย ปากแดงๆ ที่ขยับเล็กน้อย เหมือนกำลังเชื้อเชิญอย่างใดอย่างนั้น
ยังอยู่ในท่าทางที่รับนางอยู่ ท่าป๋าหั่นหลินก็ยิ้มมุมปาก แล้วพูดว่า “เจ้ากำลังยั่วยวนข้าอยู่อย่างนั้นรึ”
“ฝ่าบาท!”
หลิวอวี้เอ๋อร์เขินจนหน้าแดง จนอดไม่ได้จนร้องเรียกออกมา
ท่าป๋าหั่นหลินก็ยังคงยิ้มมุมปากอยู่อย่างนั้น แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะสนองความปรารถนาของเจ้าเอง”
หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ดีใจ ร้องเรียกออกมาว่า “ฝ่าบาท” แล้วยื่นมือออกมา อยากจะคล้องคอของเขา
แล้วท่าป๋าหั่นหลินก็ปล่อยนาง ออกคำสั่งว่า “นำหลิวเจี๋ยอวี๋ไปไว้ที่ตำหนักเย็น แล้วห้ามออกจากตำหนักตลอดชีวิต!”
หลิวอวี้เอ๋อร์ชะงักไป มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ลืมแม้กระทั่งจะแสดงท่าทีเช่นไร
บ่าวรับใช้ก็ออกมา ลากนางไปที่ตำหนักเย็น
หลิวอวี้เอ๋อร์ถึงรู้สึกตัว แล้วพยายามดิ้น ร้องออกมาว่า “ฝ่าบาทๆ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ฝ่าบาทปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินทำหูทวนลม หันหลังเดินต่อไป มีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกาย จนทำให้หัวหน้าขันทีฮูที่เดินตามอยู่ด้านหลังขนลุกซู่ เดินออกห่างจากเขามาอย่างไม่รู้ตัว
พริบตาเดียว ก็ผ่านไปอีกเดือนหนึ่งแล้ว ร่างหายของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานออกไป พูดนู่นนั่นนี่ตลอดวัน แต่พอเห็นท้องของหวงฝู่สือเมิ่งที่กำลังโตขึนเรื่อยๆ ในสายตาก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจอย่างเห็นได้ชัด
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเช่นนั้น ก็ไม่รู้จะโน้มน้าวเช่นไร ทำได้แต่ให้นางกินดีอยู่ดีเท่านั้น
หวงฝู่สือเมิ่งเองก็สังเกตได้ถึงความผิดปกตินี้ แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี
หวงฝู่อี้เซวียนเองหลายวันนี้ ไปวังน้อยลง หวงฝู่ซวิ่นก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ ภายในใจก็ลนลานอย่างบอกไม่ถูก เอาเรื่องทั้งหมดนี้โทษท่าป๋าหั่นหลิน คิดแต่ว่าสักวันหนึ่งจะจัดการเขาให้สิ้นซาก
แล้วก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือนกว่า ร่างกายของหวงฝู่เย่าเย่ว์กลับมาปกติแล้ว เสียงหัวเราะของนางเริ่มดังก้องไปทั่วจวนอ๋องฉีอีกครั้ง
พระชาฉีเห็นเช่นนั้น ก็โล่งอก เย่ว์เอ๋อร์กลับมาเป็นเหมือนเดิมเช่นนี้ ดีจริงๆ
แต่ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก เย่ว์เอ๋อร์เป็นฮองเฮาของท่าป๋าหั่นหลิน ต้องจัดการเช่นไร ถึงจะดีต่อตัวของเย่ว์เอ๋อร์
เมื่อเห็นทุกคนขมวดคิ้วไม่คลายเช่นนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็คาดเดาออกว่าพวกเขากำลังเครียดเรื่องอะไร วันนี้ เลยเดินเข้าไปในเรือนเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ท่านพ่อ ท่านไปเรียกท่านปู่มาเถอะเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องจะบอกกับพวกท่าน”
ทั้งสองคนมองไปที่นาง
แล้วหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เสริมว่า “เป็นเรื่องระหว่างข้ากับท่าป๋าหั่นหลินเจ้าค่ะ”
“ไปห้องหนังสือของข้าเถอะ พวกเจ้าสองแม่ลูกไปกันก่อน เดี๋ยวข้าจะไปเรียกเสด็จพ่อ”
ทั้งสองคนพยักหน้า แล้วเดินไปที่ห้องหนังสือ
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาที่เรือนหลัก เห็นพระชายาฉีก็อยู่ด้วย เลยบอกว่า “เสด็จพ่อขอรับ ลูกมีเรื่องในราชสำนักมาขอให้ท่านช่วยชี้แนะหน่อยขอรับ พวกเราไปห้องหนังสือหน่อยได้หรือไม่”
พูดจบ ก็แอบส่งสายตาให้กับท่านอ๋องฉี
ท่านอ๋องฉีเข้าใจ ยืนขึ้น แล้วเดินออกไป
แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็พูดกับพระชายาฉีว่า “เสด็จแม่ขอรับ วันนี้โยวเอ๋อร์พาเย่ว์เอ๋อร์ไปซื้อของใช้จำเป็น ไม่อยู่ในเรือน ท่านอย่าเพิ่งไปหานางนะขอรับ”
เพราะนับตั้งแต่กลับมา เย่ว์เอ๋อร์ไม่เคยได้ออกไปที่ใดเลย พระชายาฉียังเป็นห่วงอยู่ตลอด ตอนนี้ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ก็ดีใจเป็นที่สุด จึงพยักหน้า “รู้แล้วล่ะ”
ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนมาที่ห้องหนังสือ แล้วนั่งลง
หวงฝู่เย่าเย่ว์เอ่ยปาก “ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าต้องการหย่ากับท่าป๋าหั่นหลินเจ้าค่ะ”