GGS:บทที่ 1152 สถานถูกเปิดเผย

 

“ข่าวใหญ่…ข่าวหย่ายยยย….”

ณ โรงเรียกมัธยมที่หนึ่งเมืองจงหยุน ณ ห้องเรียนแห่งหนึ่ง ในตอนนี้นักเรียกกำลังสงเสียงเอะอะกันอย่างตื่นเต้น เป็นเพราะว่าเด็กๆเหล่านี้ได้เห็นวิดีโอหนึ่งในอินเตอร์เน็ต ทำให้ทุกคนนั้นไม่อาจดูกันเฉยๆได้

“พระเจ้าเถอะ กระบี่บิน”

“พี่ของหยาน้อยจะน่ากลัวไปถึงไหนเนี่ย”

“ไอ้แปดคนนั่นแค่ดูจากไกลๆก็รู้เลยว่าตัวอันตรายชัดๆ”

 

ถังเสี่ยวหยูจ้องมองด้วยสายตาที่เบิกกว้าง เธอนั้นทั้งหวั่นไหวและตื่นเต้น ที่เธอหวั่นไหวนั้นเป็นเพราะว่ากลัวว่าซูจิ้งต้องได้รับอันตราย แต่ที่เธอตื่นเต้นนั้นเป็นเพราะได้เห็นกระบี่บินของซูจิ้ง

ฉากที่เห็นทำให้เธอพลันนึกถึงชายปริศนาที่เคยช่วยเธอไว้มาก่อน เธอเองก็เคยนึกว่าเป็นซูจิ้งเหมือนกันแต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ แต่นี่แทบจะกลายเป็นหลักฐานยืนยันได้ในทันที

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หวังเสี่ยวเคยให้ใบประกาศเกียรติคุณกับซูจิ้งอยู่เหมือนกันและนั่นทำให้เธอรู้ดีว่าซูจิ้งต้องไปทำอะไรที่สำคัญมาแน่ๆ แต่รายละเอียดเหล่านั้นไม่ได้รับการเปิดเผยทำให้เธอนั้นไม่แน่ใจ

 

ถึงเสี่ยวหยูรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเพื่อโทรหาถังยี่พี่ชายของตนในทันที เธอถามออกไปด้วยความตื่นเต้นว่า “พี่ พี่เห็นข่าวของพี่จิ้งแล้ว…”

“เห็นแล้ว ฉันว่าเขาต้องเป็นจอมยุทธมีดบินที่เคยช่วยพวกเราไว้อย่างแน่นอน คนแบบนี้ฉันคิดว่าคงมีเพียงหนึ่งไม่มีสองหรอก จะมีใครสักกี่คนที่สามารถบังคับอาวุธได้แบบนี้” ถึงยี่เองก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

เหตุที่ตื่นเต้นนั้นเป็นเพราะ หนึ่ง เขารู้ตัวคนที่ช่วยชีวิตเขาสักที อีกหนึ่งก็คือฉากการไล่ล่าของซูจิ้งนี้ช่างน่าตื่นตะลึงราวกับกำลังดูหนังเลยทีเดียว

 

“…..” หวังซือหยาอึ้งกิมกี่ในทันทีที่เห็นข่าวนี้

“พี่จิ้งเป็นใครกันแน่เนี่ย” หยินหนิงหนิง เชิงชิเหยา โจวเสวี่ย และคนอื่นๆต่างก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขานั้นคือเทพเซียนในร่างมนุษย์ แต่คำพูดเหล่านั้นไม่ครั้งไหนที่จะเหมาะสมไปกว่าฉากนี้เลยสักนิด

 

ณ กลุ่มทุนห้วงเวลา หวังจ้าว เฉิงหนาน เว่ยเสี่ยวหยวนและคนอื่นๆเองต่างก็นิ่งกันไปนานโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

หวังจ้าวเองรู้สึกถึงภัยอันตรายในครั้งนี้จนอดเป็นห่วงไม่ได้และรู้ดีว่าตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้จึงรีบโทรไปยังปักกิ่งในทันที

 

หลังจากได้ยินและเห็นข่าวเดียวกันนี้ หวังซวนจี้ หวังจุ่น และหวังเจิ้งที่กลับไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้วต่างก็นิ่งอึ้งไปนาน ทุกคนต่างรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นไม่ใช่คนธรรมดาแบบพวกเขาแต่ในครั้งนี้สมควรกับความตกตะลึงอย่างแท้จริง ทุกคนในที่นี้รู้สึกได้เลยว่ามุมมองของพวกเขาที่มีต่อโลกใบนี้ถึงคราวต้องาสั่นคลอนแล้ว

 

“คุณพระ นี่….ไม่ใช่หมายความว่าพี่จิ้งเป็นเทพเซียนหรอกเหรอ” ฉินซูหลานในตอนนี้แสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ในทันทีที่เห็นข่าว

“ฉันรู้มาตั้งนานแล้วว่าพี่จิ้งนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ความรู้สึกของฉันถูกต้องแล้วสินะ” หลิวฉิงเองที่เห็นข่าวนี้ก็รู้สึกได้ในทันทีว่าการได้พบและคบหาซูจิ้งนั้นเป็นพรประเสริฐในชีวิตย่างแท้จริง

 

ในตอนนี้ บรรยากาศในหมู่บ้านตระกูลซูนั้นต่างก็เริ่มรู้สึกหนึกอึ้ง ทุกคนต่างก็มารวมกันที่หอบรรพชนอย่างไม่ได้นัดหมายเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหตุผลก็เพราะซูจิ้งที่ตอนนี้เปรียบได้ดั่งผู้นำสูงสุดของตระกูลของพวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง

“เซิ้นฮง นายติดต่อเซินเย่วได้รึเปล่า” หัวหน้าถามออกมาอย่างเป็นกังวล

“ติดต่อไม่ได้เลย” ซูเซินฮองตอบออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีแบบสุดๆ ในวิดีโอนี้ทุกคนนั้นได้เห็นเพียงซูจิ้งเท่านั้น พวกเขาไม่เห็นซูเซินเย่ว เย่ฉิง ซูหยา และฉือชิงที่ตามไปเชียร์ซูจิ้งเลยสักคน

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย” จ้าวเมิงเซียงได้กระทืบเท้าไปมาเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นในใจ ซูเหลี่ยง ซูเสี่ยวหลิน ซูฮู และคนอื่นๆที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้สนับสนุนซูจิ้งต่างก็รู้สึกไม่ต่างกันและพวกเขาก็ไม่สามารถด่วนตัดสินใจทำอะไรได้เลยสักอย่างเดียว

 

“อย่าพึ่งด่วนสรุปกันนะ ต่อให้เราติดต่อชิงชิงไมได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกของเราจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายน่า” พ่อของฉือชิงพยายามปลอบฉือกวงหลูและภรรยาของตน ที่กำลังเป็นกังวลจนร้องไห้ออกมา

 

ถึงแม้ลูกเขยของเขาจัดการเรื่องราวต่างๆมาได้อย่างมากมาย ถึงแม้เขานั้นจะรู้สึกได้ว่าครั้งนี้เป็นซูจิ้งที่ทำให้ลูกสาวของเขาต้องตกอยู่ในอันตราย แต่เขาก็ยังต้องควบคุมไม่เรื่องราวทางฝั่งนี้เลยเถิดไป

น้องชายของฉือชิงหรือฉือหยุนที่ไม่ค่อยแสดงท่าทีอะไรออกมามากนักกับพี่สาวของตน แต่เมื่อรู้สึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคอเหมือนกัน

 

“อย่างเพิ่งกังวลไปเลย ฉันเชื่อว่าซูจิ้งต้องปกป้องพวกเขาไว้ได้” ซูเซินฮองพยายามปลอบประโลม แต่เขาก็รู้ว่านี่ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ นั่นก็เพราะฉากที่เกิดขึ้นนี้คือฉากแห่งความโกลาหลที่คนแปดคนไล่กัดผู้คนไปทั่วก็ตาม

 

นอกจากนั้น จูเจียนฮัว เป็งหมิง เสี่ยวรุย หลินฮ่าว ชิเล่ย และคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับซูจิ้งต่างตกอยู่ในอาการตกตะลึงและเป็นห่วงไม่ได้เมื่อได้เห็นข่าวนี้

 

ต่อให้ไม่รู้จักยังซะก็ต้องตกตะลึง โดยเฉพาะกับคนที่เคยอิจฉา ริษยา และขัดแย้งกับซูจิ้งทั้งมากและน้อย แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมานั้นก็คืออาการเหงื่อไหลเย็นยะเยียบฉโลมกาย

 

นั่นก็เพราะที่ผ่านมานั้นทุกคนต่างก็คิดว่าที่ซูจิ้งมีทุกวันนี้มาได้นั้นเป็นเพียงเพราะเขามีเงินมากมายล้นฟ้าเท่านั้น

 

เมื่อได้มาพบว่าคนที่ตนคอยหาเรื่องและเคยหาเรื่องมาในอดีตกลับมีความทรงพลังที่ไม่ธรรมดาเหนือคนทั่วไป

 

ทั้งๆที่หากเขาจะจัดการเรื่องราวต่างๆที่คนพวกนี้ก่อมาไม่ได้ต่างจากการฆ่ามดปลวกเลยแม้แต่น้อย

การกระทำของพวกเขาที่ผ่านมานั้นเปรียบได้ดั่งคอยสะกิดยมฑูตให้มาฆ่าตัวเองแท้ๆ จึงไม่แปลกที่คนพวกนี้จะตกอยู่ในอาการดังกล่าว

 

“เฮ้อออออ….. เป็นเรื่องใหญ่จริงๆสินะ” ณ กรมตำรวจ หวังเสี่ยวที่เห็นข่าวของซูจิ้งทำได้เพียงถอดถอนหายใจออกมา

 

ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้พยายามปิดบังสถานะของซูจิ้งมาโดยตลอด มาถึงตอนนี้เขาคงทำอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อดูจากสถานการณ์แล้วและเมื่อได้เห็นว่าซูจิ้งนั้นยอมเปิดเผยตัวตนที่หลบซ่อนมานานแบบนี้ เขารู้ในทันทีว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ นี่เขาพบเจอเหตุการณ์อะไรจนต้องเปิดเผยตัวตนออกมากันเนี่ย

“ในระดับของพี่จิ้งบรรลุมาถึงขั้นนี้แล้วเหรอเนี่ย” เฉาเล่ยพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

“อย่าได้ดีใจไป อาจิ้งดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างแท้จริงไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เปิดเผยตัวออกมาอย่างแน่นอน ไอ้แปดตัวนั่นดูยังไงก็ไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่” จ้าวหมิงพูดออกมาด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น

พวกเขานั้นเคยเห็นความวิเศษของซูจิ้งในตอนนี้จัดการกองโจรเกล็ดงูมาแล้วจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะรับรู้ในตัวตนนี้ของซูจิ้ง

 

แต่เมื่อเห็นฉากนี้พวกเขานั้นก็อยากจะตกตะลึงและประหลาดใจเหมือนกัน แต่เมื่อรับรู้ถึงสถานการณ์แล้ว พวกเขานั้นต่างก็กังวลและอยากไปช่วยเสียมากกว่า แต่เมื่อคิดดูอีกทีพวกเขาก็เกรงว่าจะช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน พวกเขาคงทำอะไรไม่ได้เหมือนคนที่ตกตายแบบในวิดีโออย่างแน่นอน

 

ก่อนหน้านี้ได้มีวิดีโอสั้นๆปล่อยออกมา มันเป็นฉากที่หน่วยรักษาความปลอดภัยกำลังจะเข้าไปจัดการแปดคนนี้แต่ต้องตกตายไปในทันที คนเหล่านั้นสมควรจะเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่ต่างจากตนแต่ก็ต้องตกตายอย่างรวดเร็วแบบนั้น หากพวกเขาต้องเจอกับคนทั้งแปดคงทำไม่ได้แม้แต่ขยับตัวหนี

 

“คุณหวัง เกิดเรื่องขึ้นในงานแข่งโอลิมปิกค่ะ” ในสำนักงานแห่งหนึ่ง ผู้ช่วยสาวได้วิ่งเขามาหาหวังหยานด้วยท่าทีที่ร้อนลน

“หืม เรื่องใหญ่อะไรล่ะนั่น ก็แค่ซูจิ้งได้เหรียญทองอีกเหรียญรึเปล่า” หวังหยันนั้นเมื่อได้ยินก็ได้ละสายตาจากเอกสารพร้อมทั้งนวดขมับของตน

ก่อนหน้านี้ที่เธอกลับมาสนใจอีกครั้งนั้นเป็นเพราะว่าเธอต้องการจะรู้จริงๆว่าซูจิ้งจะไปได้ถึงไหนกันแน่ แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆเธอกลับต้องพบเจอเรื่องที่ต้องประหลาดใจซ้ำๆจนเริ่มชาชินแล้ว

นี่ทำให้เธอคิดว่าจะเลิกสนใจเรื่องของซูจิ้งอีก จึงมาจบลงที่การมานั่งอ่านเอกสารบนโต๊ะทำงานแบบนี้

“ไม่ใช่ค่ะ เป็นเรื่องที่จะเรียกว่ามหัศจรรย์ก็ได้ ลองดูสิคะ” ผู้ช่วยได้ยื่นแท็บเล็ตให้หวังหยันดูอย่างรวดเร็ว

หวังหยานเองในตอนแรกเธอเพียงหรี่ตามองเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นฉากที่ปรากฎก็ทำให้ดวงตาของเธอเบิกโตในทันที

 

มันเป็นฉากที่ซูจิ้งนั้นเหยียบกระบี่ออกมาจากช่องบนหลังคา ก่อนที่เขาจะยืนอยู่บนหลังคาแล้วบังคับกระบี่ให้ถาโถมโจมตีร่างแปดร่าง ถึงแม้กระบี่ดูเหมือนจะโจมตีพลาดแต่กระบี่เหล่านั้นก็ไม่ได้ล่วงหล่นสู่พื้นแต่อย่างใด กระบี่ยังคงถาโถมทิ่มแทงศัตรูราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาต

 

ฉากนี้ทำให้เธอนึกย้อนไปถึงคนบางคนที่ยังคงประทับใจเธอไม่เสื่อมคลาย คนๆนั้นก็คือจอมยุทธมีดบินที่เคยช่วยเธอเอาไว้จากเหตุการณ์ลักพาตัว

เธอนั้นใช้เวลาตามหาชายคนนี้เพื่อจะต้องการขอบคุณเป็นการส่วนตัวแต่สุดท้ายก็หาไม่พบว่าเป็นใคร ดูเหมือนว่าชายคนนั้นไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนจริงๆเธอจึงทำได้เพียงปล่อยเรื่องนี้ไป เธอไม่เคยนึกเลยจริงๆว่าคนที่ยังประทับฝังใจเธอเสมอมาจะกลับกลายเป็นซูจิ้ง แฟนเก่าของเธอคนนี้

 

“เป็น…เป็นเขาเหรอ” หวังหยานนั้นเกิดอาการหัวใจเต้นแรงจนหมดเรี่ยวแรงและทรุดตัวไปบนของประดับในห้อง เมื่อเธอนึกย้อนความถึงเรื่องราวต่างๆที่เธอไม่เคยพบคำตอบแล้วแทนที่ด้วยตัวซูจิ้งทำให้สิ่งที่ข้างคาใจเธอนั้นกระจ่างชัดในทันที

 

ด้วยการที่เขานั้นเป็นคนรักที่ถูกเธอถอดทิ้งไปทำให้เขานั้นไม่อยากเปิดเผยตัวตนแต่ทำเพียงช่วยเหลือเธอไว้อย่างลับๆ นี่ทำให้เธอเกิดคำถามใหม่ขึ้นมาในใจ

 

นั่นก็เพราะในตอนที่เกิดเรื่อง แม้ซูจิ้งจะเลิกกับเธอไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้คบกับฉือชิง แล้ว…..ทำไมเขาถึงไม่ยอมเผยตัวตนล่ะ นี่เขารังเกียจเธอขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเขาจะไปช่วยเธอทำไมกัน

หรือเพราะเรื่องในวันนั้นทำให้เขาไม่อยากจะคบกับเธอแล้วจริงๆ