ตอนที่ 989 บริษัทอันดับหนึ่งในใต้หล้า

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 989 บริษัทอันดับหนึ่งในใต้หล้า

เมื่อเห็นแววตาขอโทษของหยุนซีเหยียน โหยวซีเฟิ่งก็พยักหน้าเล็กน้อยด้วยความเขินอาย

หยุนซีเหยียนและโจ่งฟางหยวนรีบเดินลงไปชั้นล่างพลางเห็นหลี่จินโต้วที่กำลังได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ตรงจุดติดต่ออยู่… หลี่จินโต้วเป็นที่รู้จักดี ทว่าก็มีเพียงมิกี่คนที่เคยพบตัวจริงของเขา

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถ่อมตนเหมือนตอนอยู่ที่จินหลิงมิผิดเพี้ยน ในสายตาของคนที่มิรู้จัก มักจะมองว่าการแต่งตัวของเขาเหมือนหัวหน้าพ่อบ้านชราแห่งตระกูลร่ำรวย

เจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่จุดติดต่อนั้นมิรู้จักหลี่จินโต้วอย่างแน่นอน เขากำลังอธิบายรายละเอียดให้หลี่จินโต้วฟัง

ใบหน้าของหยุนซีเหยียนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินเข้าไปต้อนรับหลี่จินโต้วแล้วเอ่ยอย่างสุภาพว่า “ท่านผู้อาวุโส ที่นี่มิค่อยสะดวกนัก เชิญขึ้นไปสนทนาที่ชั้นบนเถิดขอรับ”

หยุนซีเหยียนและโจ่งฟางหยวนต่างก็รู้จักหลี่จินโต้วเป็นอย่างดี เพราะฝ่าบาททรงตรัสถามเรื่องการค้าขายและเศรษฐกิจอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสามจึงมักจะถูกเรียกตัวไปที่ห้องทรงพระอักษรพร้อม ๆ กัน

ใบหน้าแก่ชราปรากฏรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาและมิได้เอ่ยคัดค้านอันใดออกมา แท้จริงแล้วเรื่องที่เขาต้องมาจัดการนั้นมิทำตัวให้เป็นจุดสนใจจะดีกว่า

“ท่านทั้งสองให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว”

“ท่านผู้อาวุโสหลี่เชิญขอรับ ! ”

“ใต้เท้าทั้งสองเชิญ ! ”

ทั้งสามเดินมาถึงห้องทำงานของหยุนซีเหยียนบนชั้นสอง หลี่จินโต้วเหลือบมองโหยวซีเฟิ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างเพราะเขาก็รู้จักนางเป็นอย่างดี

ในฐานะผู้ว่าการธนาคารเพื่อราษฎรต้าเซี่ย เขาและโหยวเซียนจือเสนาบดีกรมคลังย่อมไปมาหาสู่กันหลายครา

โหยวซีเฟิ่งยืนอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว นางประสานมือทั้งสองวางไว้ในระดับหน้าอกพร้อมกับย่อตัวแสดงความเคารพหลี่จินโต้ว นางยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยทักทายว่า “ท่านปู่หลี่ เมื่อวานท่านพ่อยังเอ่ยถึงท่านอยู่เลยเจ้าค่ะ”

“อ่า…ใต้เท้าโหยวเอ่ยถึงข้ามีอันใดหรือไม่ ? ”

โหยวซีเฟิ่งยิ้มแย้ม มองดูแล้วงดงามมากยิ่งนัก “ท่านพ่อเอ่ยว่า…หมากรุกเมื่อวานนี้เห็นได้ชัดว่าเขาชนะท่านปู่หลี่ไปหนึ่งตาเจ้าค่ะ ! ”

หลี่จินโต้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “อย่าฟังเรื่องเหลวไหลจากเขาเลย ข้าชนะเขาตั้งสามตา ! ”

หยุนซีเหยียนเห็นว่าทุกคนรู้จักและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นจึงมิมีความจำเป็นต้องหลบเลี่ยง

“ท่านผู้อาวุโสหลี่เชิญนั่ง ซีเฟิ่ง…ข้าต้องรบกวนเจ้าช่วยต้มชาให้สักหนึ่งกาเสียแล้ว”

“เจ้าค่ะ…” โหยวซีเฟิ่งจ้องมองไปที่หลี่จินโต้วแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านปู่หลี่…ข้าต้องออกไปหรือไม่เจ้าคะ ? ”

หลี่จินโต้วชี้ไปที่โหยวซีเฟิ่ง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ช่างเป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลมมากยิ่งนัก ซีเหยียนเอ๋ย…เจ้าต้องรักและทะนุถนอมนางให้มากนะ”

เมื่อโหยวซีเฟิ่งได้ยินเช่นนั้นก็เขินอายขึ้นมาทันใด ด้านหยุนซีเหยียนเพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยขอเอ่ยตามตรงกับท่านผู้อาวุโสหลี่ว่าข้าน้อยรักนางด้วยใจจริงขอรับ ! ”

โหยวซีเฟิ่งยิ่งเขินอายมากกว่าเดิม ใบหน้าของนางแดงก่ำทว่าหัวใจรู้สึกหวานยิ่งกว่าการได้ทานน้ำผึ้งเสียอีก…นี่คือการแสดงความรู้สึกจากใจจริงและเขายังได้เอ่ยต่อหน้าท่านผู้อาวุโสหลี่อีกด้วย

หากท่านผู้อาวุโสไปเอ่ยเรื่องนี้ตอนอยู่ที่จวนแล้วล่ะก็ ท่านพ่อคงจะเห็นด้วยในทันที

นี่เป็นเรื่องดีที่ได้รับจากฟากฟ้า หรือบางที…นี่อาจจะเป็นลิขิตสวรรค์

“เจ้ามิต้องออกไปหรอก ทว่าหลังจากได้ยินแล้วห้ามนำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายหรือสนทนากับผู้อื่นเป็นอันขาด”

หลี่จินโต้วกำชับอย่างจริงจัง โหยวซีเฟิ่งจึงรีบพยักหน้าทันที ส่วนหยุนซีเหยียนรู้สึกว่าเรื่องที่หลี่จินโต้วต้องจัดการนั้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าที่ตนคิดเอาไว้เสียอีก

“เรื่องเป็นเช่นนี้ หลังจากองค์ไทเฮากลับมายังวังหลวง พระนางจึงอยากลงทุนเล่น ๆ กับองค์จักรพรรดินีและเหล่าพระสนม”

เมื่อหยุนซีเหยียนได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันที เดิมทีเขาเคยได้ยินชื่อเสียงด้านธุรกิจของต่งชูหลานในจินหลิงมาแล้ว ดูเหมือนว่าเหล่าพระสนมในวังหลังคงมีเวลาว่างจึงอยากจะจดทะเบียนบริษัทเล่น ๆ บ้าง

นี่มิใช่เรื่องใหญ่อันใด เรื่องที่ต้องเป็นความลับก็คือนามของพวกนางมิอาจใช้ผิดวิธีได้ก็เท่านั้น

แต่แล้วหยุนซีเหยียนและโจ่งฟางหยวนก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาทันใด

หลี่จินโต้วหยิบกระดาษออกมา คลี่ออกแล้วยื่นให้กับหยุนซีเหยียน “ความหมายของไทเฮาก็คือรายชื่อบริษัททั้งหมดที่อยู่ในนี้ให้จดทะเบียนร่วมกัน ส่วนเงินทุนจดทะเบียน ข้าจะมอบหลักฐานให้แก่กรมการค้าได้ลงบันทึกเอาไว้ตามขั้นตอนปกติทุกประการ เพียงแต่ว่า…”

หลี่จินโต้วหยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อว่า “เพียงแต่ว่านามของประธานกรรมการบริษัท ความหมายของจักรพรรดินีและพระสนมก็คือให้ใช้นามของไทเฮา ทว่ามิอาจเผยแพร่ออกสู่ภายนอกได้”

หยุนซีเหยียนเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด เขามิได้ให้ความสนใจกับคำเอ่ยสุดท้ายของหลี่จินโต้วเพราะเขากำลังอ่านสิ่งที่เขียนไว้ในกระดาษอย่างรอบคอบ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลี่จินโต้วด้วยแววตาแสนโง่เขลา “นี่… นี่มัน…เป็นเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

หลี่จินโต้วลูบเครายาวแล้วยกยิ้มขึ้นมา “นี่จะมิใช่เรื่องจริงได้เยี่ยงไร ? ”

โจ่งฟางหยวนอ่านรายละเอียดเนื้อหาที่อยู่ในกระดาษอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็พึมพำเบา ๆ ว่า

“บริษัทผลิตและจำหน่ายสิ่งทอจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) เงินทุนในการจดทะเบียน 20 ล้านตำลึง”

“บริษัทเภสัชกรรมจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) เงินทุนในการจดทะเบียน 20 ล้านตำลึง…”

“บริษัทเครื่องหอมจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) เงินทุนในการจดทะเบียน 20 ล้านตำลึง”

“…บริษัทขนส่งสินค้าทางเรือจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) เงินทุนในการจดทะเบียน 20 ล้านตำลึง !…”

โจ่งฟางหยวนถอนหายใจออกมา พลางเอ่ยว่า “ไอหยา…เงินทุนในการจดทะเบียนของบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) มีอยู่ราว 200 ล้านลำตึง มิได้มาจากบุรุษท่านนั้นคนเดียวใช่หรือไม่… ? ! ”

หลี่จินโต้วหัวเราะร่าขึ้นมาทันใด เมื่อตอนที่เขาเห็นคราแรก เขาก็ตื่นตระหนกมิต่างอันใดกับโจ่งฟางหยวนเลยสักนิด

ทันใดนั้นหยุนซีเหยียนก็มองไปที่หลี่จินโต้ว ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยออกมาว่า “เงิน 200 ล้านตำลึงคือลงทุนเล่นเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

หยุนซีเหยียนมิคาดคิดว่าหลี่จินโต้วจะพยักหน้าอย่างจริงจัง ทั้งยังเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังอีกว่า “เรื่องนี้แค่ลงทุนเล่น ๆ เท่านั้น”

“ข้าน้อยต้องทำเยี่ยงไรขอรับ ? ”

“ไร้ซึ่งวิธีการ ส่วนเรื่องนามของประธานกรรมการคือเรื่องจริง ดังนั้นอุตสาหกรรมทั้งหมดภายใต้บริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ให้จดทะเบียนในนามของสวี่จินเฟิ่ง”

หยุนซีเหยียนเข้าใจความหมายทันที “ข้าน้อยจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้ขอรับ”

“หากเรื่องนี้จัดการเสร็จสิ้นแล้ว เจ้านำไปมอบให้ที่วังหลวงเองเถิด อีกประการหนึ่งคือเจ้าจะได้ไปเข้าเฝ้าไทเฮาด้วย”

นี่คือความดีความชอบที่หลี่จินโต้วมอบให้หยุนซีเหยียน !

จากนั้นหยุนซีเหยียนก็ลุกขึ้นยืน ทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสหลี่ขอรับ ! ”

หลี่จินโต้วเองก็ลุกขึ้นยืนเพื่อรับความเคารพเช่นกัน “หลี่ฉาย บุตรชายของข้าเอ่ยว่า เจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง… ข้า ใต้เท้าจัวและหนานกงอี้หยู่ก็แก่ชรามากแล้ว ในอนาคตต้องพึ่งพาเยาวชนเยี่ยงพวกเจ้าทำงานให้แก่ฝ่าบาท อ้อ ! ฝ่าบาททรงตรัสว่านอกจากพระนามของไทเฮาที่มิสามารถเปิดเผยได้แล้ว จงจำเอาไว้ว่าต้องทำให้เสมอภาคและเท่าเทียมกับบริษัทอื่น ๆ ห้ามเอื้อผลประโยชน์ต่อบริษัทเหล่านี้เป็นกรณีพิเศษเด็ดขาด ! ”

เมื่อหยุนซีเหยียนได้ยินดังนั้นก็ตื่นตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเขาวางแผนจะแยกฝ่ายดำเนินการบริษัทเหล่านี้จริง ๆ อย่างน้อยจะได้ลงรายการบัญชีเพื่อให้บริษัทเหล่านั้นชำระภาษีน้อยลง

เมื่อได้ยินคำเอ่ยของหลี่จินโต้ว จึงเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองมีใจลำเอียง

นี่เป็นธุรกิจของราชวงศ์ ทว่าฝ่าบาทมิอาจปล่อยให้ธุรกิจของราชวงศ์อยู่ในระดับที่มีอำนาจแข่งขันในตลาดมากกว่าผู้อื่นได้ สิ่งที่ฝ่าบาทต้องการคือการแข่งขันทางการตลาดอย่างยุติธรรม

“ข้าน้อยรู้สึกละอายใจมากยิ่งนักและขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เตือนสติขอรับ”

“ฮ่า ๆ ๆ พวกนางเพียงแค่ลงทุนเล่น ๆ ดังนั้นหากเงิน 200 ล้านขาดทุนหรือหายไปก็มิเป็นอันใดหรอก”

“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ”

จากนั้นหลี่จินโต้วก็เดินออกไปจากกรมการค้า โหยวซีเฟิ่งจึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “คำเอ่ยของท่านปู่หลี่หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ? ”

“นี่คือความกตัญญูของฝ่าบาทที่อยากทำให้ไทเฮามีความสุข ทว่าฝ่าบาททรงมีคำสั่งที่ประกาศออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นทุกบริษัทจะต้องแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมในตลาดเดียวกัน ล้วนแต่…ลงทุนเล่น ๆ กันเท่านั้น”

โจ่งฟางหยวนส่ายศีรษะพลางคิดในใจว่าฝ่าบาททรงใช้เงิน 200 ล้านตำลึงเพื่อทำให้ไทเฮามีความสุข เกรงว่าในใต้หล้านี้คงมีเพียงนักประพันธ์ชื่อดังเฉกเช่นฝ่าบาทเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้

“เจ้าคิดว่าจะขาดทุนจริงหรือ ? ” หยุนซีเหยียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

“คือ…เยี่ยงไรก็ตามนี่คือการทำธุรกิจและเป็นเรื่องปกติที่จะขาดทุนเสียบ้าง”

“แต่ข้ามิคิดเช่นนั้น บริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ต้องทำเงินได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น…เกรงว่าจะกลายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งในใต้หล้า ! ”