ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 672 พวกเจ้าเป็นหินลับกระบี่ของข้า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมือถือกระบี่รุ้งพร่างพราว ทิศทางที่คมกระบี่มุ่งไป ทุกอย่างล้วนมลายสิ้น

คนที่ประเผชิญหน้ากับคมกระบี่ของเขา ตรงหน้าคล้ายกับเกิดภาพมากมายนับไม่ถ้วน

ภูเขาลำธารม้วนพลิก ฟ้าดินแตกสลาย สรรพสัตว์โรยรา สรรพสิ่งสูญสิ้น

โลกเหมือนกับมุ่งไปสู่จุดสิ้นสุด ทุกสิ่งมาถึงปลายทาง เหลือเพียงความตายและความสูญสิ้น

ชายหนุ่มยกกระบี่ในมือขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าฝึกวิชากระบี่วิชาหนึ่ง ปกติฝึกอย่างตั้งใจ แต่ได้แค่วางรากฐานไว้ ต้องฆ่าคนเห็นเลือด ถึงจะฝึกสำเร็จ เหมือนกับเปิดคมสุดท้ายของกระบี่อย่างสมบูรณ์”

“นอกจากนี้ จำเป็นต้องใช้หินลับกระบี่ที่มีระดับมากพอด้วย”

ขณะพูด เขาก็แทงกระบี่ออก

แสงสว่างสีขาวจุดหนึ่งไหลเวียนที่ปลายกระบี่ น่ากลัวและชั่วร้ายถึงขีดสุด

แม้แต่กระบี่รุ้งพร่างพราวอันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นต่ำที่กระตุ้นวิชากระบี่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ ยังส่งเสียงร้องกึกก้อง เหมือนกับไม่อาจแบกรับวิชากระบี่ของผู้เป็นนาย

จอมยุทธ์สำนักแสงสว่างทั้งหมดสีหน้าเปลี่ยนแปลง

เยี่ยนจ้าวเกอถึงกับต้องการฆ่าพวกเขา เพื่อฝึกกระบี่สิ้นสูญของตัวเองให้สมบูรณ์

ผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามนอกจากหนงอวี่ซวนเดือดดาล พุ่งเข้ามาใส่ก่อน

พลังงานอันยิ่งใหญ่แข็งกร้าวฟาดใส่ศีรษะเยี่ยนจ้าวเกอ

ชายหนุ่มเอียงคมกระบี่ ท่ามกลางแสงสว่างไร้สิ้นสุดพลันปรากฏจุดดำจุดหนึ่ง จุดดำนี้กำลังขยายใหญ่ขึ้น

อีกฝ่ายเห็นดังนั้น จิตใจก็สั่นสะท้าน รู้ศึกษว่าแสงสว่างไร้สิ้นสุดที่เกิดจากญาณจริงแท้ของตัวเองกำลังดับลงอย่างต่อเนื่อง

เขารีบเพิ่มพลังของตัวเอง มิคาดเยี่ยนจ้าวเกอกลับใช้ท่าลวง

หลังจากผ่านไปหนึ่งกระบี่ ร่างกายพลันหมุน ไม่รอให้จอมยุทธ์สำนักแสงสว่างที่เหลือล้อมเข้ามา ก็เปลี่ยนตำแหน่งไปแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอโผล่ขึ้นที่ด้านหลังจอมยุทธ์สำนักแสงสว่างระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามคนนั้น จากนั้นก็ใช้ท่ารอยตราพลิกนภาที่แข็งกร้าว

อีกฝ่ายหมุนตัวมาผลักฝ่ามือใส่เยี่ยนจ้าวเกอ แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ฝีเท้าไม่มั่นคง ร่างเซไปด้านหลัง

ที่ด้านหลังของเขาพลันมีแรงดึงดูดมหาศาลส่งมา กลับเป็นประตูของวังฝูงมังกรอ้าออก เหมือนกับสัตว์ประหลาดที่อ้าปากขนาดมหึมา

อีกฝ่ายผลักฝ่ามือหมายกระแทกวังฝูงมังกรให้ถอยไป แต่เยี่ยนจ้าวเกอแทงมาอีกหนึ่งกระบี่ ทำให้เขาได้แต่ป้องกันการโจมตีของชายหนุ่ม

ครั้งนี้เยี่ยนจ้าวเกอกลับนำเตากลืนดินออกมา ขวางการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ

อีกฝ่ามือหนึ่งตามมาติดๆ กระแทกอีกฝ่ายให้ถอยหลัง สุดท้ายก็พุ่งเข้าไปในวังฝูงมังกร!

วังฝูงมังกรไม่อาจสะกดยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ได้แต่ฝืนขังเอาไว้แค่ไม่กี่ลมหายใจ

แต่สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอ เช่นนี้ถือว่าเพียงพอแล้ว เขาเข่นฆ่าเข้าไปในกองทัพจอมยุทธ์สำนักแสงสว่างที่เหลือ เหมือนพยัคฆ์กระโจนเข้าไปกลางฝูงแกะ

หกลมหายใจผ่านไป หนงอวี่ซวนส่งเสียงคำรามต่ำ

ตราประทับตะวันที่โจมตีได้เพียงครั้งเดียว เมื่อสภาวะโจมตีค่อยๆ หมดไป ก็ลอยกลับไปอยู่ด้านข้างเยี่ยนจ้าวเกอ

ปราณดาบแสงทิมฬอันน่ากลัวพลันถูกแก้ไข หนงอวี่ซวนนำกลับเข้ามาในร่างตัวเองทันที!

ในม่านตาที่มีลักษณะเหมือนอาทิตย์ยะเยือกของเฟิงอวิ๋นเซิง นาทีที่ลมหายใจที่เจ็ดมาถึง ในที่สุดก็เกิดการสั่นไหวหลายส่วน ลุกไหม้อย่างไม่เคยมีมาก่อน!

นางชักคมดาบ ทำร้ายตัวเอง เหลือรอยดาบรอยหนึ่งไว้บนแขน

เลือดไหลผ่านคมดาบของดาบเทพอาทิตย์ยะเยือก ปราณสีดำหลายสายซึมออกมาจากด้านใน เกี่ยวกระหวัดกับแสงสว่างสีฟ้า

เฟิงอวิ๋นเซิงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้านบน ถึงกับเข้าไปในกลิ่นอายมารเพลิงสีดำซัดสาดนั้น!

อาทิตย์สีฟ้าตอนนี้เหมือนกับดับแสงลง แต่ว่าเพลิงมารแสงทมิฬอันยิ่งใหญ่เริ่มสั่นไหวไม่หยุด

หนงอวี่ซวนสีหน้าเปลี่ยนเปลง สัมผัสได้ว่าเฟิงอวิ๋นเซิงถึงกับชิงปราณดาบแสงทมิฬของเขาไป

ความเป็นไปได้นี้เขาเคยคิดถึงมาก่อน แต่ตอนแรกเขาไม่ได้เอามาใส่ใจ ทว่าตอนนี้กลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ปราณดาบแสงทมิฬของตนถึงกลับสั่นสะเทือนรอบหนึ่ง

ไม่เพียงแต่ปราณดาบแสงทมิฬที่กักเก็บไว้ด้านใน ยังหลอมเปลี่ยนไม่หมดเหล่านั้นเท่านั้นที่เกิดการเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ

แม้แต่พลังของพระราหูที่ถูกเขาหลอมเปลี่ยนก็เกิดอากรกระสับกระส่ายเช่นกัน เหมือนกับพร้อมจะทรยศตลอดเวลา

‘ไม่เพียงแต่ดาบเล่มนั้นเท่านั้น ตัวนางก็มีปัญหาเช่นกัน!’ หนงอวี่ซวนเข้าใจในชั่วพริบตา

หลังจากสะดุดก้อนหินก้อนเดิมสองรอบ หนงอวี่ซวนกลับต้องละทิ้งความคับข้องไปก่อน ใช้พลังทั้งหมดทำให้ปราณดาบแสงทมิฬของตัวเองเสถียร

เฟิงอวิ๋นเซิงตรงหน้านี้ใช้เคล็ดวิชาบางอย่างเพื่อรับพลังที่แข็งแกร่งชั่วคราวอย่างเห็นได้ชัด

เขาไม่เชื่อว่าเฟิงอวิ๋นเซิงจะทนได้นาน ยิ่งเวลาผ่านไปนาน ร่างกายของนางจะต้องพังทลายลงก่อน

ขอแค่ไม่มีการสนับสนุนจากพลังแห่งอาทิตย์ยะเยือก แต่ว่าเฟิงอวิ่นเซิงที่เพิ่งเลื่อนเป็นมหาปรมาจารย์ ไม่อาจช่วงชิงปราณดาบแสงทมิฬกับเขาที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้

ลมหายใจที่แปด

เมื่อเห็นสภาวะของเยี่ยนจ้าวเกอเหี้ยมหาญเทียมฟ้า เห็นหนงอวี่ซวนกลับถูกสตรีที่ไม่เคยพบนางหนึ่งขัดขวาง สายตาของฉางซงก็อดเคร่งขรึมกว่าเดิมหลายส่วนไม่ได้

เขาคิดจะอ้อมผ่านร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก แต่จนปัญญาที่ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกเร็วเกินไป

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ขั้นรวมรูประยะท้าย แค่ความเร็วเพียงอย่างเดียวก็ไม่ด้อยกว่าเฉิงซงที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้นแล้ว ถึงขั้นที่เหนือกว่าหลายส่วนด้วยซ้ำ

กระบองไม้ไผ่สีเขียวทำให้เฉิงซงกริ่งเกรง ทว่าขณะที่เคลื่อนไหวไปมา กลับไม่โดนใส่ตัวเขา จึงไม่อาจสร้างความลำบากให้แก่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้

เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เฉิงซงต้องแยกสมาธิหลายส่วน ใช้พลังทั้งหมดไม่ได้

จนกระทั่งร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกใช้หอกมังกรมัจฉาและเกราะเหมันต์ทระนงขัดขวาง จึงไม่อาจไปหาเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอในนาทีนี้ กระบี่เดียวมีอานุภาพเทียมฟ้า

กระบี่รุ้งพร่างราวที่เป็นอาวุธอันโดดเด่นท่ามกลางอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างอยู่แล้ว ในตอนนี้ประกายกระบี่หายไปหมดสิ้น

มีเพียงแต่ประกายสีขาวที่น่ากลัวและชั่วร้ายเท่านั้นที่เปล่งแสงระยิบระยับ

คมกระบี่พาดผ่าน ดาบยาวเล่มหนึ่งที่เป็นอาวุธศักดิสิทธิ์ชั้นต่ำของจอมยุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง คมดาบถึงกับถูกเยี่ยนจ้าวเกอแทงกระบี่ทะลุ!

บนคมดาบปรากฏรูขนาดเล็กรูหนึ่ง ดูเหมือนมีขนาดเล็กเพียงเส้นขน แต่ว่าแสงสว่างของมันพลันสลัวลง ปราณวิญญาณสลายอย่างรวดเร็ว!

เหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่มีความตั้งใจของตัวเองถูกทำร้าย ชีวิตจึงออกห่างไปอย่างรวดเร็ว

ลมหายใจที่เก้า

ในกลิ่นอายมารเพลิงทมิฬซัดสาด เฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ด้านใน เลือดจากบาดแผลบนแขนไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมารแสงทมิฬที่อยู่รอบๆ เลือดเหล่านี้พลันถูกเผาเป็นจุล

ปราณดาบแสงทมิฬที่น่าสะพรึงในตอนแรก ยามนี้พลันเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งลงมาก จากนั้นก็ถูกดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกในมือเฟิงอวิ่นเซิงดูดซับไม่หยุดหย่อน

สภาวะของดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกและเฟิงอวิ่นเซิงยิ่งมายิ่งโชติช่วง แต่ว่าสีหน้าของเฟิงอวิ๋งเซิงกลับยิ่งมายิ่งซีดขาว

หลังจากเสียเลือด นางก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ อาศัยความน่าอัศจรรย์ของดาบแห่งอาทิตย์ยะเยือกสนับสนุนโดยสิ้นเชิง

เพียงแต่ปราณดาบแสงทมิฬถูกดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกดูดเก็บไว้ จิตดาบของดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกยิ่งแข็งแกร่งเท่าไร ความเร็วในดารดูดซับปราณดาบแสงทมิฬก็ยิ่งเร็วเท่านั้น

มาถึงตอนท้าย ดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกแทบจะกลืนกินปราณดาบแสงทมิฬอย่างอย่างคลุ้มคลั่งด้วยตัวเอง

ด้านนอกควันดำซัดสาด เยี่ยนจ้าวเกอ ‘สังหาร’ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายในกระบี่เดียว เจตจำนงน่าพรั่นพรึงกว่าเดิม

รูปญาณวรยุทธ์เหนือศีรษะของเขา ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นยิ่งมายิ่งเลอะเลือน แทบจะหายไป

เจตจำนงทำลายล้างที่อยู่ด้านในแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตัวกระบี่พร่าเลือนมากขึ้น

เหมือนกับทุกสิ่งดับสลาย เดินไปสู่จุดจบ พากันกลับคืนสู่อนัตตา

หนงอวี่ซวนกัดฟันอดทน ทำให้ปราณดาบแสงทมิฬของตัวเองเสถียร

เขาหมายจะโจมตีเยี่ยนจ้าวเกอโดยไม่สนเฟิงอวิ๋นเซิงกับปราณดาบแสงทมิฬ แต่ร่างกายกลับแข็งค้างอยู่กับที่ ไม่ยอมฟังคำสั่ง

เฉิงซงเริ่มโจมตีแนวป้องกันของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกอย่างบ้าคลั่ง

ผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามในวังฝูงมังกร กำลังจะพุ่งออกมาจากในวังฝูงมังกรได้แล้ว

ยอดฝีมือสำนักแสงสว่างที่เหลือต่างเบียดเข้ามา คิดจะสังหารเยี่ยนจ้าวเกอด้วยจำนวนที่มากกว่า

คนทุกคนต่างช่วงชิงเวลาที่มีค่าที่สุดอย่าคลุ้มคลั่ง

ลมหายใจที่เก้าผ่านไป ลมหายใจที่สิบมาถึง!

เยี่ยนจ้าวเกอหมุนตัว ไม่สู้กับยอดฝีมือสำนักแสงสว่างที่เหลืออีก เป้าหมายยังคงเป็นผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่งที่ถูกตนทำลายอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว!

ประกายกระบี่พุ่งผ่าน ละอองโลหิตสาดกระเซ็น!

แต่ว่าเลือดเพิ่งจะลอยขึ้นมา ก็กลายหายไปเหมือนควัน คล้ายกับไม่เคยอยู่ในโลกมาก่อน

แม้จะเป็นเลือดที่กระเด็น ภายใต้การครอบคลุมของเจตจำนง กลับอันตรธานไปด้วย!

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าส่งเสียงกู่ร้อง รูปญาณวรยุทธ์ในลักษณะกระบี่เหนือศีรษะ มีลักษณะโปร่งแสง เหมือนกับหายไป

แสงสว่างอันเจิดจรัสพุ่งขึ้นท้องฟ้าโดยมีเยี่ยนจ้าวเกอเป็นศูนย์กลาง