ตอนที่ 572 รำลึกถึงคนผู้หนึ่ง ผิดต่อคนอีกผู้หนึ่ง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

นาง….คือหลานสาวของเขาจริงๆน่ะหรือ? 

 

 

สำหรับตู๋กูซิงหลันแล้ว หากสามารถใช้วิธีที่ไม่ต้องคำนึงถึงหน้าตามาแก้ปัญหาได้ ถ้าเช่นนั้นก็ช่างหน้าตามันไปเถอะ 

 

 

เพราะอย่างไรพี่รองของตนเองก็ยังอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย ด้วยอุปนิสัยอันชั่วร้ายตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ไม่แน่ว่าจะต้องเคยให้พี่รองกินยาอะไรที่ไม่ควรกินลงไปอย่างแน่นอน 

 

 

อย่างเช่นว่าหากไม่มียาแก้ก็จะเจ็บปวดเหมือนหมื่นธนูทะลวงหัวใจอะไรเทือกนั้น 

 

 

หากไม่ขายชีวิตให้ ข้าก็จะไม่ช่วยชีวิตผู้หญิงของเจ้าหรอก 

 

 

มีวิธีขูดรีดเลือดเนื้อทำนองนี้อยู่ตั้งมากมาย 

 

 

อ้อจริงสิ ปรมาจารย์ปรุงยาตันที่เก่งกาจที่สุดในดินแดนจิ่วโจวถูกพวกนางฆ่าทิ้งไปแล้วนิ….. 

 

 

หากจะหากคนปรุงยาแก้พิษขึ้นมาก็คงจะเป็นไปไม่ได้สักเท่าไหร่ 

 

 

หากว่าวิญญาณทมิฬยังอยู่ละก็ ก็ยังพอจะขอเลือดของมันมาสักหน่อย อย่างน้อยๆก็ยังพอจะทำยาสลายร้อยพิษ หรือไม่ก็ดึงเวลากำเริบออกไปได้ 

 

 

แต่ว่านับตั้งแต่ที่ท่านอาจารย์จากไป มันก็พลอยหายสาปสูญไปด้วย 

 

 

ทั้งๆที่มันเป็นสัตว์อสูรในพันธะของนางแท้ๆ แต่ว่าวันๆกลับเอาแต่เกาะติดกับท่านอาจารย์ตั้งแต่เช้าจรดเย็น 

 

 

ในสมองของตู๋กูซิงหลันสามารถสร้างจินตนาการไปได้กว้างไกลถึงเพียงนี้ ก็เป็นเพราะนางเคยได้อ่านบทละครของโลกปัจจุบันมามากมาย 

 

 

จนทำให้นางเดาเหตุการณ์ได้…..ที่ตู๋กูเจวี๋ยอึกอักอยู่นั้น ยังจะมิใช่เพราะว่ากลืนยาพิษของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเข้าไปอย่างโง่ๆอีกหรือ? 

 

 

เงื่อนไขข้อแรกของการเข้าร่วมตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ก็คือต้องกินยาพิษ 

 

 

และยาแก้พิษนั้น มีแต่ท่านเจ้าตำหนักเท่านั้นที่มี 

 

 

ต้องกินยาแก้เดือนละครั้ง หากไม่มียาแก้ ก็จะเลือดออกเจ็ดทวาร กระดูกทั่วร่างแตกสลาย ทนทรมานอยู่สี่สิบเก้าวันจนต้องตายไปในที่สุด 

 

 

เรื่องนี้ เขาย่อมไม่ได้บอกน้องเล็กออกไป 

 

 

ใครจะไปคิดว่าความคิดของนางจะรวดเร็วเหมือนเหินบิน กระโดดข้ามไปรับอีกฝ่ายเป็นท่านตาเช่นนี้ 

 

 

เดิมทีตู๋กูซิงหลันก็เพียงแต่คาดเดาอย่างมั่วซั่วเท่านั้น แต่พอเห็นฟ่านอิงเงียบงันไปเนิ่นนาน 

 

 

ในใจก็คิดว่านางถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่เข้าแล้ว 

 

 

ท่านยายคงจะไม่ได้ไปมี….ความสัมพันธ์ที่บอกอะไรไม่ได้ อธิบายไม่ออกกับฟ่านอิงก่อนที่จะแต่งงานกันกระมัง? 

 

 

อยู่ๆนางก็รู้สึกว่าบนศีรษะของท่านตามีผืนหญ้าสีเขียวปกคลุม จนเปล่งประกายขึ้นมาเสียอย่างงั้น 

 

 

แม้ว่าในใจจะส่งเสียงเชี่ยยยดังลั่น แต่สีหน้าภายนอกยังคงเป็นความตื่นเต้นยินดีราวกับว่า ‘ข้าตามหาท่านมานานหลายปี ในที่สุดก็ได้เจอท่านแล้ว’ 

 

 

น้ำตาสองสายไหลพรากลงมาเป็นทางยาว 

 

 

“ท่านตา ที่หลานสาวเดินทางไกลมาจากดินแดนโน้นจนมาถึงจิ่วโจว…… ยังมิใช่เพื่อจะตามหาท่านหรอกหรือเจ้าคะ?” 

 

 

“ตลอดทางต้องตรากตรำลำบาก เพียงแค่เหล่าพยัคฆ์เสือร้ายนับร้อยๆ…. ปลายักษ์สัตว์ประหลาดในท้องทะเลลึกต่างก็เกือบจะจับข้ากลืนลงไปแล้ว….” 

 

 

“ตอนนี้ในที่สุดก็เสาะหาท่านตาจนเจอแล้ว ผู้เป็นหลาน…..รู้สึกยินดีจนใกล้จะสลบเป็นลมไปอยู่แล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

คำพูดนี้ยิ่งเกินจริงไปใหญ่แล้ว แต่เมื่อประกอบการการแสดงที่เสมือนจริงจนไร้ข้อตำหนิของตู๋กูซิงหลัน ต่อให้เป็นคนแปลกหน้าที่ผ่านทางมาพบกัน เกรงว่ายังคงต้องถูกฉากตามหาญาติจนตรากตรำนี้ทำเอาหวั่นไหวไปเช่นกัน 

 

 

“ท่านตา ……ทำไมท่านถึงไม่พูดไม่จา หรือว่าท่านไม่ชอบข้าผู้เป็นหลาน?” 

 

 

ขณะที่นางพูดคำพูดเหล่านี้ ท่านเจ้าสำนักก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนางอีกหลายครั้ง ศิษย์น้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น 

 

 

คนที่ไม่ชอบนาง สมองคงมีปัญหาเป็นแน่ 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเชื่อในความคิดของตนเองอย่างยิ่ง เพราะยิ่งเขาได้มองดูศิษย์น้อยก็ยิ่งรู้สึกสบายตา ในใต้หล้านี้เกรงว่าคงไม่อาจหาผู้ใดที่ดูแล้วสบายตาไปกว่าศิษย์น้อยได้อีกแล้ว 

 

 

หลังได้ยินเสียงเรียกท่านตาเจ้าคะ ท่านตาเจ้าขาหลายครั้งหลายหนเข้า ต่อให้เป็นคนที่มั่นคงเช่นฟ่านอิงสมองก็ต้องมึนตึ้บไปแล้ว 

 

 

ยามที่เจ้าตุ๊กตาหญิงตัวน้อยเรียกหาท่านตา ทั้งอ่อนหวานและน่าเอ็นดู ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความจริงใจจนคนยากที่จะปฏิเสธได้ 

 

 

ที่จริงแล้วไม่ว่าความจริงแล้วนางจะเป็นหลานสาวแท้ๆของเขาหรือไม่….และถึงแม้ว่าจะมิใช่หลานสาวแท้ๆ…..แต่แค่หลานสาวของอาเย่วเรียกหาเขาเป็นท่านตาอยู่ทุกคำเช่นนี้ ก็ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาแล้ว 

 

 

เพราะรักถึงขีดสุด รักอย่างลึกซึ้ง….. 

 

 

ดั่งคำที่ว่ารักบ้านเผื่อแผ่นกกา จะอย่างไรเขาก็ไม่อาจลงมือกับทายาทรุ่นหลังของนางได้ลง 

 

 

ร่างของฟ่านอิงลอยค้างอยู่กลางอากาศ หลังจากที่ตู๋กูซิงหลันเรียกหาเขาเป็นท่านตาอยู่ทุกถ้อยคำ เขาจึงได้เก็บลูกแก้วโลกาวินาศใบนั้นกลับไป 

 

 

ทันทีที่ลูกแก้วใบนั้นหายลับไปจากสายตา หมอกสีดำบนร่างของเขาก็ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นมา ปิดบังร่างกายของเขาเอาไว้จนหมดสิ้น 

 

 

จนไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่น่าหวาดกลัวนั้นได้ 

 

 

เขาค่อยๆเหาะเข้ามาอย่างช้าๆ ร่างที่มีแต่หมอกสีดำไปทั้งตัว หยุดยืนอยู่ที่ข้างกายนาง 

 

 

นี่เป็นสาวน้อยที่งดงามอย่างยิ่ง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นคล้ายสามารถสื่อสารแทนคำพูดได้เลย ความจริงใจที่นางแสดงออกมาทำให้ผู้อื่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า มิว่านางพูดอะไรออกไปล้วนแต่สมควรเชื่อถือ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้เกรงกลัวเขา ขณะที่เขาเข้ามาใกล้ นางก็เป็นฝ่ายขยับเข้าไปหาก้าวหนึ่งเช่นกัน 

 

 

“ท่านตา ท่านเชื่อข้าแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?” 

 

 

ว่าแล้ว นางก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “ข้าจำได้ว่า ตอนเด็กๆ ท่านยายมักจะมองดูต้นไฮ่ถางที่ปลูกเอาไว้เต็มสวนพลางถอนหายใจอยู่เสมอ นางบอกว่านางคิดถึงคนผู้หนึ่ง รำลึกถึงคนผู้หนึ่ง รู้สึกผิดต่อคนผู้หนึ่ง” 

 

 

ดอกไฮ่ถาง คือดอกไม้ที่เจียงเย่วชื่นชอบที่สุด 

 

 

เกาะลอยฟ้าแห่งนี้เป็นของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน บนเกาะมีแต่ดอกไฮ่ถางอยู่เต็มไปหมด แค่มองดูก็รู้แล้วว่า เจ้าของเกาะจะต้องชื่นชอบดอกไห่ถางมากมายถึงเพียงไร 

 

 

นี่ย่อมเป็นเพราะรักเจียงเย่ว….เขาถึงได้ชอบดอกไห่ถาง 

 

 

ที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ดอกไม้ไม่อาจผลิบาน ดังนั้นบนเกาะลอยฟ้าในเมืองว่านฮวาเฉิงเขาถึงได้ปลูกไห่ถางเอาไว้จนเต็มไปหมด เห็นสิ่งของย่อมคิดถึงผู้คน 

 

 

คนที่จากไปอย่างไม่อาจหวนกลับคืนมาอีกแล้ว….. 

 

 

ความรำลึกถึงของเขาล้วนหยุดอยู่ที่ช่วงเวลาก่อนหน้าการเข่นฆ่าครั้งนั้น 

 

 

น้ำเสียงที่ตู๋กูซิงหลันถ่ายทอดออกมา ราวกับเป็นเจียงเย่วพูดออกมาด้วยตนเอง 

 

 

ชั่ววินาทีนั้น ฟ่านอิงถึงกับเชื่อว่าเป็นจริงแล้ว 

 

 

พอเขายื่นมือข้างหนึ่งออกมา ท่านเจ้าสำนักก็ตื่นตัวเตรียมพร้อม เขาหรี่ดวงตาหงส์คู่นั้นลง หากว่าฟ่านอิงกล้าลงมือทำร้ายศิษย์น้อย เขาก็พร้อมที่จะทำลายคนผู้นี้ทิ้งไปได้ตลอดเวลา 

 

 

ฟ่านอิงมิได้สนใจเขา เพียงจับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้น 

 

 

ยามที่มือข้างนั้นยื่นออกมา ก็พลันชะงักค้างอยู่ในอากาศ กี่ปีมาแล้วที่เขาไม่เคยสัมผัสผู้อื่น? 

 

 

จำไม่ได้เสียแล้ว…… 

 

 

เขาคือความมืดมิดที่แสนจะชั่วร้าย เป็นสิ่งอัปมงคลอย่างที่สุด 

 

 

เขาไม่ต้องการสัมผัสผู้ใด และก็ไม่ต้องการให้ใครมาสัมผัส แต่ว่าสาวน้อยตรงหน้าผู้นี้….. 

 

 

มือของเขายังไม่ทันได้ดึงกลับไป ก็พลันถูกตู๋กูซิงหลันดึงรั้งเอาไว้ 

 

 

อย่างเหนีนวแน่น 

 

 

แม้นว่าจะมีถุงมือสีดำกั้นอยู่แต่ก็ยังรู้สึกถึงอุณหภูมิจากฝ่ามือของนางได้ 

 

 

ช่างอบอุ่น 

 

 

“ท่านตา ข้ารู้ว่าท่านมีข้อสงสัยมากมาย เรื่องที่ผ่านมา ข้าจะค่อยๆเล่า ค่อยๆอธิบายให้ท่านฟัง ก่อนหน้านี้ข้าเพียงได้ฟังมาว่าท่านอาจจะยังคงอยู่ในโลกนี้…. แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจริง ตอนนี้ข้ารู้สึกตื้นตันอย่างยิ่ง” 

 

 

ใช่แล้ว ตื้นตันจนมือสั่นไปหมด 

 

 

แม่จ๋า….ใกล้จะเป็นน้ำแข็งแล้ว 

 

 

ท่านเจ้าสำนักแม้จะตัวเย็นเฉียบอยู่เสมอ แต่ก็ยังไม่ถึงกับเย็นเข้าไปข้างในจนถึงกระดูก 

 

 

แต่ว่าฟ่านอิงนั้นไม่เหมือนกันชั่วร้ายเกินไป ทั่วทั้งร่างมีแต่ไอแห่งความตาย เพียงแค่สัมผัสโดนเบาๆ กลิ่นอายเหล่านั้นก็ทำให้เส้นขนทุกเส้นของนางลุกชันได้แล้ว 

 

 

ทำให้ผู้อื่นเหน็บหนาวจนสั่นสะท้าน 

 

 

ก่อนหน้านี้ ตอนที่ท่านเจ้าสำนักจับนางผลักเข้าไปในกระถางติ่งยักษ์ ก็ยัดลูกแก้ววิญญาณเพลิงเข้าไปในอกเสื้อของนางเรียบร้อยแล้ว 

 

 

หากมิได้ความอบอุ่นจากลูกแก้ววิญญาณเพลิงคุ้มครอง ตู๋กูซิงหลันก็คงจะตัวแข็งทื่อเป็นแท่งน้ำแข็งไปนานแล้ว 

 

 

“เจ้าตุ๊กตาน้อย….” 

 

 

ผ่านไปอีกพักใหญ่ ฟ่านอิงถึงได้เอ่ยเรียกนาง 

 

 

เจ้าตุ๊กตาน้อย แต่เดิมในแคว้นกู่เย่ว นิยมเรียกแม่นางน้อยเช่นนี้ 

 

 

ทั้งยังมีความพอใจอยู่ในน้ำเสียง 

 

 

“เอ๋!” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆกัน “ท่านตาสามารถเรียกข้าว่าหลันหลันก็ได้นะเจ้าคะ” 

 

 

ที่จริงแล้ว จากส่วนลึกของจิตใจตู๋กูซิงหลันรู้สึกสงสารคนผู้นี้จริงๆ…… 

 

 

ที่ต้าโจว ถึงแม้ว่าเขาจะส่งตัวหมากไปก่อกวนอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าก็มิได้กระทำเรื่องเลวร้ายใดต่อไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ 

 

 

บรรพชนตระกูลจีติดค้างเขามากเกินไป สิ่งที่ติดค้างจะอย่างไรสมควรคืนให้ 

 

 

…………………………….