หวงฝู่สือเมิ่งอยู่ในเรือน ส่วนเยียลี่ว์อาเป่าได้แต่ยิ้มกล่อมเด็กที่อยู่ในอ้อมอกอย่างมีความสุข
หวงฝู่สือเมิ่งนอนบนเตียง กินน้ำแกงไก่ จากนั้นก็ยิ้มแล้วถามว่า “ส่งข่าวให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่แล้วหรือยัง”
“ส่งไปนานแล้วล่ะ คิดว่าไม่นานพวกเขาคงได้รับ ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่จะดีใจขนาดไหน” เยียลี่ว์อาเป่ามองไปที่เด็กในอ้อมอก พูดตอบนางโดยไม่หันมองนางเลยสักนิด
“เดี๋ยวรอลูกโตกว่านี้ พวกเรากลับไปเยี่ยมพวกท่านกันเถิด” หวงฝู่สือเมิ่งกินน้ำแกงไก่ ยิ้มแล้วพูด
เยียลี่ว์อาเป่าชะงัก เงยหน้าขึ้น แล้วมองนางด้วยความดีใจ
“แต่ว่า อย่างน้อยก็ต้องให้ครบปีก่อนถึงจะไปได้ ตอนนั้นลูกโตหน่อยหนึ่งแล้ว ระหว่างทางจะได้สะดวกขึ้น”
เยียลี่ว์อาเป่าพยักหน้า ตาเป็นประกาย “เอาที่เจ้าว่าเถิด ตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น”
หวงฝู่สือเมิ่งเริ่มน้ำตาไหล แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษ “แต่งงานกับข้า เจ้าคงลำบากน่าดูเลยสินะ”
เยียลี่ว์อาเป่าเอาเด็กไปวางไว้ในรถเข็น แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดลงไปที่ตาของนางอย่างเบามือ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พูดอะไรเช่นนั้นเล่า ได้แต่งงานกับเจ้า เป็นบุญของข้าต่างหากล่ะ”
“พี่ใหญ่ พี่เขย ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
เสียงของหวงฝู่เย่าเย่ว์ดังมาจากข้างนอก
เยียลี่ว์อาเป่ารีบลุกขึ้น แล้วพูดว่า “เข้ามาสิ”
บ่าวรับใช้เปิดม่านประตูออก หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลังจากทักทายทั้งสองคนเสร็จ ก็เดินเข้าไปที่เตียงของเด็กน้อย ยิ้มแล้วถามว่า “วันนี้ลูกเป็นอย่างไรบ้าง งอแงหรือไม่”
“เขาน่ะ นอกจากกินกับนอน ก็ไม่ได้ร้องไห้งอแงอะไรเลย ข้าที่เป็นแม่เนี่ย แทบไม่ต้องกังวลอะไรเลย”
หวงฝู่สือเมิ่งยิ้มแล้วพูดออกมา หลังจากกินน้ำแกงไก่จนหมด แล้วยื่นชามให้กับเยียลี่ว์อาเป่า
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้แต่มองไปที่เด็กน้อย แล้วอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วลูบลงไปที่หน้านิ่มๆ ของเด็กน้อยอย่างเบามือ แล้วเห็นหน้าเด็กน้อยที่กำลังหลับยิ้มออกมา จึงรู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก จึงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ วันที่หมิงเอ๋อร์คลอดวันนั้น ข้าตกใจแทบแย่ หน้าบู้หน้าบี้ออกมา น่าชังเป็นที่สุด พอมาหลายวันนี้ คลายออก ก็ว่าอยู่ว่าทำไมท่านย่าถึงบอกว่า เด็กเนี่ย หน้าตาเปลี่ยนไปทุกวัน”
เมื่อคิดได้ว่าตอนที่ตนเห็นลูกครั้งแรก ก็ตกใจเช่นกัน หวงฝู่สือเมิ่งก็หัวเราะออกมา “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกนะ ตอนนั้นข้าก็ตกใจเช่นกัน หากไม่รู้ว่ามีคนคอยเฝ้าอยู่ล่ะก็ ข้าคงนึกว่ามีคนมาสลับลูกของข้าไป ไม่เหมือนข้าเลยสักนิดเดียว”
“ท่านแม่บอกว่า เด็กคลอดออกมาเป็นเช่นนั้นทั้งนั้น แล้วยังบอกอีกว่าตอนคลอดเราสองคนน่าชังกว่าหมิงเอ๋อร์อีกนะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดไป ก็จินตนาการไปถึงตอนนั้น แล้วหัวเราะออกมา
ห่มผ้าให้เด็กน้อยเสร็จ ก็หันไปพูดกับเยียลี่ว์อาเป่าว่า “ท่านพี่เขยเจ้าคะ ดูแลท่านพี่อยู่ไฟนั้นเหนื่อยมากนะเจ้าคะ หากท่านไม่ไหว สามารถเรียกข้ามาช่วยเลี้ยงเด็กน้อยได้ตลอดนะเจ้าคะ”
เยียลี่ว์อาเป่ามองหน้าหวงฝู่สือเมิ่ง เมื่อเห็นนางพยักหน้า ก็ยิ้มแล้วพูดทันทีว่า “อย่างนั้นดีเลย ขอบใจน้องเย่ว์เอ๋อร์มาก”
พูดกันได้ไม่เท่าไร หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ออกมา
มองนางเดินออกไป หวงฝู่สือเมิ่งก็ถอนหายใจออกมา “หากตอนนั้นไม่โดนท่าป๋าหั่นหลินบังคับให้เอาเด็กออกล่ะก็ อีกสามเดือนนางก็คงคลอดลูกออกมาเช่นเดียวกัน”
เยียลี่ว์อาเป่านั่งอยู่ข้างๆ นาง แล้วโอบนางเข้ามาซบอกของเขา “เจ้ากำลังอยู่ไฟนะ อย่าคิดเรื่องหนักใจเลย”
หวงฝู่สือเมิ่งซบลงไปที่ตัวของเขา แล้วพูดเบาๆ ว่า “อื้อ”
ผ่านไปสามวัน จวนอ๋องมีแขกพิเศษมาสองคน ก็คือฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮาแห่งรัฐหมิงนั่นเอง
ฮ่องเต้แห่งรัฐหมิงไม่ต้องพูดถึง ด้วยความเป็นกษัตริย์ วางมาดจนเคยชิน ถึงได้เห็นหลานตัวเองก็ได้แต่เอามือไขว้หลัง แล้วยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ฮองเฮาแห่งรัฐหมิงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เอาเด็กน้อยขึ้นมาอุ้ม มองอยู่นาน ยิ่งมองยิ่งดีใจ ยิ่งมองยิ่งชอบ แล้วอุ้มไปหาฮ่องเต้รัฐหมิง “เสด็จพี่ดูสิเพคะ จมูกนี้ ตานี้ เหมือนอาเป่าตอนเด็กๆ เลยเพคะ”
ฮ่องเต้รัฐหมิงได้แต่เออออไปตามนั้น แต่ไม่อาจละสายตาไปจากเด็กน้อยได้เลย
ท่านอ๋องฉีสั่งให้คนไปเก็บกวาดเรือนให้เรียบร้อย เพื่อให้สองคนได้พักที่นี่ เยียลี่ว์อาเป่าได้แอบบอกกับพวกเขาสองคนไว้ว่า เดี๋ยวถ้าเด็กน้อยโตกว่านี้หน่อยจะพาไปหาที่รัฐหมิง
ทั้งสองคนดีใจเป็นที่สุด เลยไม่ได้อยู่นาน หลังจากอยู่ได้สามวัน ก็ออกเดินทางกลับรัฐหมิงไป
ณ เมืองหลวงรัฐอิง
เวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้ว หลังจากที่ท่าป๋าหั่นหลินเผาตำหนักหลวนเฟิ่ง เขาก็ไม่ได้ไปที่ตำหนักนางสนมอื่นๆ อีกเลย จนทำให้นางสนมทั้งหลายต่างนั่งไม่ติด วันๆ ได้แต่คิดหมกมุ่นอยู่กับการที่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้นอนกับฝ่าบาท
โดยเฉพาะอี้เฟยและซู่เฟย
หนังสือหย่าร้างนั้นใครๆ ก็รู้ พวกนางก็เช่นกัน หลังจากที่ได้ยินข่าววันนั้น ก็ดีใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับไปสามวันสามคืน ตำแหน่งฮองเฮาว่างแล้ว พวกนางก็คงมีโอกาส ดังนั้นเลยแอบยัดเงินให้กับขันทีฮูไปมาก เพื่อหวังให้เขาพูดถึงพวกนางต่อหน้าฝ่าบาทเสียหน่อย
ส่วนขันทีฮูถึงรับเงินมามาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลยเกี่ยวกับสองคนนั้นทั้งสิ้น ติดตามฝ่าบาทมาหลายปี ย่อมรู้ใจเขาเป็นอย่างดี เขาเห็นว่า ในใจของฝ่าบาทนั้นมีแต่ฮองเฮาเพียงผู้เดียว แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทั้งสองคนจะลงเอยเช่นไร แต่ใจของฝ่าบาทอย่างไรเสียก็ยังคงมีนางอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาพูดถึงอี้เฟยและซู่เฟยต่อหน้าฝ่าบาท อย่างนั้นไม่เรียกรนหาที่ตายหรอกหรือ
รอไปสองเดือนแล้ว ก็ยังไม่มีข่าวคราวของฝ่าบาทเลย ทั้งสองคนเลยทนไม่ไหว จึงปรึกษากัน แล้วเปลี่ยนแผน กลายเป็นไปปรนนิบัติไทเฮาแทน ขอแค่ไทเฮามีความสุข แค่คำเดียวเท่านั้น ก็สามารถทำให้ฮ่องเต้ไปที่ตำหนักของพวกนางได้เลย
แต่น่าเสียดาย ทั้งสองคนคิดผิด เพราะตั้งแต่ฟังจากปากของท่าป๋าหั่นหลินที่เล่าว่า พวกอัครเสนาบดีสามคนนั้นมาบังคับลูกชายของตนให้บีบหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาเด็กออกนั้น ไทเฮาก็ไม่ชอบขี้หน้านางสองคนอีกเลย ครั้งแรก ฝืนใจพบพวกนาง ครั้งที่สองเลยกลายเป็นไม่ให้เข้าพบไปเลย แล้วยังบอกให้กูกูผู้ดูแลบอกพวกนางสองคนอีกด้วยว่า ตนนั้นแก่แล้ว ไม่มีเวลาไปต้อนรับพวกนางตลอด หลังจากนี้ไม่ต้องมาเยี่ยมทุกวันแล้ว
ทางนี้ก็ไม่ได้ ทั้งสองคนก็ยังไม่ยอมแพ้ คิดหาวิธีได้อีกวิธีหนึ่ง สั่งให้คนไปที่สวนดอกไม้ แล้วทำชิงช้าให้เหมือนกับที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง เสร็จแล้วก็ส่งของให้กับขันทีฮูมากมาย บอกให้เขารายงานพวกนางเวลาที่ฮ่องเต้จะเสด็จไปที่สวนดอกไม้นั่นเอง
คำขอนี้ไม่ยาก ขันทีฮูรับของเหล่านั้นมา แล้วตอบรับอย่างสบายใจ
หลายวันผ่านไป ท้องฟ้าแจ่มใส หลังจากที่ท่าป๋าหั่นหลินตรวจรายงานเสร็จ ก็ลุกขึ้น
ขันทีฮูก็เข้ามา เสนอว่า “ฝ่าบาท วันนี้อากาศดี ท่านไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้หน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินเห็นด้วยกับเขา เลยนั่งเกี้ยวพระที่นั่ง มุ่งหน้าไปที่สวนดอกไม้
ขันทีฮูตามไป แล้วทำสัญญาณมือ บอกให้ขันทีสองคนรีบวิ่งไปรายงานที่ตำหนักอี้เฟยและตำหนักซู่เฟย
ทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ก็แต่งเนื้อแต่งตัว แล้วรีบนั่งเกี้ยวมานั่งที่ชิงช้าในสวนดอกไม้นั้น แล้วให้บ่าวแกว่งชิงช้าให้นางเบาๆ แล้วพูดไปด้วยอย่างมีความสุข
ท่าป๋าหั่นหลินเดินเข้าไปในสวน ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกนาง จึงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ใครกันอยู่ในสวนดอกไม้กัน”
ขันทีฮูทำเป็นไม่รู้ “บ่าวจะสั่งให้คนไปดูเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
แล้วก็มีขันทีวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็วิ่งกลับมารายงาน “ขอรายงานฝ่าบาท อี้เฟยกับซู่เฟยนั่งชิงช้าเล่นกันอยู่ทางนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่าชิงช้าสองคำนี้ ท่าป๋าหั่นหลินก็ใจสั่น แล้วก้าวท้าวมุ่งไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว
อี้เฟยและซู่เฟยทำเป็นไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา จึงเล่นกันอย่างสนุกสนาน
ท่าป๋าหั่นหลินหยุดอยู่ตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ แล้วโบกมือบอกให้คนข้างหลังห้ามทำเสียงดัง แล้วมองออกไป เห็นเป็นชิงช้าสองอันที่เหมือนกัน บนชิงช้ามีคนสองคนแต่งตัวสะสวย รอยยิ้มดั่งดอกไม้บาน ท่าทางไร้เดียงสา
มองพวกนางไป ก็นึกภาพตอนที่ตนได้เจอหวงฝู่เย่าเย่ว์เล่นชิงช้าครั้งแรก ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ตำหนักด้วยซ้ำ นางแต่งตัวปกติ แต่งหน้าไม่มาก แต่งามเด่นเป็นสง่า น่าดึงดูดเสียเหลือเกิน
คิดไป ก็คิดถึง เลยทำให้สองคนนั้นและชิงช้าที่คุ้นเคยช่างขัดลูกตาเขายิ่งนัก ทนไม่ไหว เลยเดินเข้าไป
สองคนนั้นที่อยู่บนชิงช้าทำเป็นไม่รู้ตัว ได้แต่หัวเราะเล่นสนุกจนดังก้องไปทั่วสวนดอกไม้
เริ่มเกินไปหน่อยแล้ว ขันทีฮูจึงกระแอมออกมา เพื่อเตือนพวกนาง
ทำเป็นไม่รู้ว่าในสวนดอกไม้นี้มีคนอื่นอยู่ด้วย หลังจากที่ทำเป็นตกใจมองมา พอเห็นชัดแล้วว่าเป็นท่าป๋าหั่นหลิน ก็รีบลงมาจากชิงช้าอย่างร้อนรน คุกเข่าลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ “หม่อมฉันไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาสวนดอกไม้ด้วย หม่อมฉันส่งเสียงดังรบกวนฝ่าบาท ขอฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินหยุดอยู่ตรงหน้าพวกนางสองคน
สองคนนั้นสั่นเล็กน้อย ไม่กล้าเงยหน้ามอง
ไม่นาน ท่าป๋าหั่นหลินก็เดินอ้อมพวกนางออกไปที่ชิงช้า มองจ้องอยู่นาน แล้วนั่งลงไป
แล้วพูดถามอย่างนิ่งๆ ว่า “ในสวนดอกไม้นี้มีชิงช้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เหตุใดข้าจึงไม่รู้”