อี้เฟยและซู่เฟยหันไปทางเขา หลังจากที่ฟังเขาพูดจบ ก็ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร จึงแอบมองหน้ากัน แล้วอี้เฟยถึงได้ตอบกลับมาอย่างสั่นๆ ว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันสั่งให้คนทำขึ้นมา เพื่อให้นางสนมทั้งหลายในฝ่ายในแห่งนี้ได้มีที่พักผ่อนหย่อนใจเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินพยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม “ความคิดของเจ้านั้นไม่เลวเลย บรรยากาศของที่นี่ดีจริงๆ นั่นแหละ”
เมื่อได้ยินว่าเขาชม ทั้งสองคนก็โล่งใจ
แล้วท่าป๋าหั่นหลินก็พูดขึ้นอีกว่า “วันนี้อากาศดี ข้าก็อยากเล่นชิงช้าด้วยเช่นกัน พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด มาแกว่งชิงช้าให้ข้าที”
ทั้งสองคนก็ดีใจ ยืนขึ้น เดินไปที่ด้านหลังของเขา แล้วแกว่งชิงช้าให้เขาเบาๆ
ท่าป๋าหั่นหลินหนักเกินไป แต่ทั้งสองคนก็ไม่กล้าออกแรงมาก ชิงช้าเลยแกว่งเบาๆ ออกมาแค่นิดเดียว หลังจากนั้นก็หยุด
แล้วท่าป๋าหั่นหลินก็พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า “ทำไมกัน สนมทั้งสองของข้าไม่อยากแกว่งให้ข้างั้นรึ”
ทั้งสองคนตกใจจนคุกเข่าฟุบลงไป “ฝ่าบาทไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว”
“ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ได้บอกว่าจะเอาชีวิตของพวกเจ้า แบบนี้แล้วกัน วันนี้ข้าจะสัญญากับพวกเจ้า ว่าใครออกแรงได้มาก แกว่งข้าได้สูงกว่า คืนนี้ข้าจะไปหาคนนั้นที่ตำหนัก”
ทั้งสองคนดีใจมาก รีบลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มออกแรงแกว่งชิงช้า
ชิงช้าแกว่งไกว ยิ่งแกว่งยิ่งสูง รอยยิ้มของท่าป๋าหั่นหลินก็ยิ่งสดใส ทั้งสองเห็นเช่นนั้น ก็แอบดีใจ จึงออกแรงมากกว่าเดิม
หัวหน้าขันทีฮูโล่งอก นานแล้ว ที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของฮ่องเต้ โชคดีที่ได้สนมสองคนนี้คิดหาทางนี้ขึ้นมา ฮ่องเต้ถึงได้ลืม… …
เพิ่งคิดได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียง ปุก ดังขึ้น ยังไม่ทันรู้สึกตัว เชือกที่ชิงช้าก็ขาด ท่าป๋าหั่นหลินลอยจากชิงช้ากำลังจะตกลงกับพื้น
“ปกป้องฝ่าบาท!” หัวหน้าขันทีฮูตกใจจนสติแตก จนตะโกนออกมาห้วนๆ แบบนั้น ตะโกนจบ ตนก็พุ่งเข้าไป
บ่าวรับใช้ที่เหลือทั้งหมดก็มุ่งหน้าเข้าไปตรงที่ท่าป๋าหั่นหลินตกลง หากเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทต่อหน้าพวกเขาล่ะก็ หัวคงได้หลุดออกจาบ่าแน่ๆ
ทุกคนรีบกรูกันวิ่งเข้าไป ส่วนตรงชิงช้านั้นเงียบสงัดลงทันที
อี้เฟยและซู่เฟยเห็นดังนั้นก็งงเป็นไก่ตาแตก ยืนอยู่ด้านหลังชิงช้า ไม่ขยับ
ท่าป๋าหั่นหลินมีวิทยายุทธล้ำเลิศ อุบัติเหตุแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร ที่ปล่อยให้ตนเองตกลงพื้นเหมือนเชือกว่าวที่ขาดออกจากกันอย่างใดอย่างนั้น
กำลังจะตกลงพื้นอยู่แล้ว หัวหน้าขันทีฮูที่วิ่งเข้าไป ก็ก้มลงนอนกับพื้น
แล้วก็กรูกับเข้ามาเรื่อยๆ ขันทีมากมายก็เลียนแบบเขาเช่นกัน นอนลงไปตรงที่ท่าป๋าหั่นหลินจะตกลง จนกลายเป็นแผ่น
ท่าป๋าหั่นหลินตกลงมาใส่ตัวพวกเขาพอดี
แม้จะโดนกระแทก เจ็บจนแทบจะร้องออกมา แต่ทุกคนก็ดีใจ ที่ฝ่าบาทไม่ได้รับบาดเจ็บ ชีวิตน้อยๆ ของพวกเขาก็ถือว่ารักษาไว้ได้แล้ว
ส่วนนางกำนัลและขันทีที่เหลือก็เข้ามา พยุงท่าป๋าหั่นหลิน เหล่าขันทีที่นอนอยู่กับพื้นก็กัดฟันลุกขึ้นมา โดยเฉพาะหัวหน้าขันทีฮู ตัวของท่าป๋าหั่นหลินตกลงที่ตัวของเขา จนเครื่องในของเขาแทบจะทะลักออกมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เขาก็กัดฟันลุกขึ้น ทำตัวไม่เป็นอะไร เดินไปถาม “ฝ่าบาท บาดเจ็บหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินมองไปที่เขา แล้วเก็บสายตาเข้ามา แล้วมองไปที่อี้เฟยและซู่เฟย
ทั้งสองขาแข้งอ่อนแรงลงทันที คุกเข่าลงกับพื้น พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ฝ่า ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินก็พูดขึ้นด้วยความเฉยชาว่า “อี้เฟย ซู่เฟย เจ้าสองคนคิดจะทำร้ายข้า เห็นว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่เคยทำความผิดอะไร ข้าจะลดโทษประหาร แต่ก็ยังต้องรับโทษ นับแต่นี้ต่อไปจะส่งพวกเจ้าไปที่วัดแม่ชี โกนผม ห้ามสึกออกมา”
คำพูดของเขา ทำให้อี้เฟย กับซู่เฟยไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นลมล้มตึงไป
ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้ใส่ใจ หันหลัง เดินออกจากสวนดอกไม้ด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง
มองไปที่สองคนที่สลบไป หัวหน้าขันทีฮูก็เหงื่อไหลออกมาด้วยความหวาดกลัว พวกเขาคิดผิด ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ฮ่องเต้ไม่เคยลืมฮองเฮาลงได้เลย เรื่องวันนี้ ก็เพียงแค่หาโอกาสจัดการพวกนางก็เท่านั้น
ไม่นานเรื่องที่อี้เฟยและซู่เฟยถูกส่งไปที่วัดโกนหัวบวชชี ห้ามสึกออกมาโลกภายนอกได้อีก ก็แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง จนกระทั่งถึงหูของอัครเสนาบดีและเหล่าเสนาบดี
ทั้งสองคนก็โกรธเป็นอย่างมาก ปาข้าวของแตกยับเหมือนคนบ้า
ส่วนภรรยาของทั้งสองคนเมื่อได้ยินข่าว ก็ร้องออกมาเสียงดัง “ลูกสาวของข้า!” แล้วเป็นลมสลบไป
และในขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของทั้งสองจวนก็ไปถึงหูของท่าป๋าหั่นหลินแล้วเช่นกัน เขายิ้มมุมปากออกมาด้วยความพิศวง พวกเจ้าใช้ราชโองการสั่งเสียของฮ่องเต้องค์ก่อนมาบีบบังคับข้าไม่ใช่รึ อย่างนั้นข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็น ว่าการจุดจบของบีบบังคับข้าคืออะไร จัดการทีละคนๆ ไป ข้าไม่รีบ
อัครเสนาบดีและเสนาบดีกรมคลังเป็นเหมือนหมาป่าเจ้าเล่ห์ พอได้ระบายไปรอบหนึ่งแล้ว ก็สงบลงแล้ว ก็ค่อยๆ คิดถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมด แล้วทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไปประชุมเช้าปกติ ทำหน้าที่ของตนเองปกติ
ท่าป๋าหั่นหลินก็ไม่ได้จงใจหาเรื่องพวกเขา ทำเป็นปกติเช่นเดียวกัน
แต่ว่า หลายเดือนผ่านไป ก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จนทำให้ความสงบสุขนั้นหายไป
ห้าเดือนผ่านไป ผู้คนในเมืองหลวงต่างก็ลืมเรื่องราวที่นางสนมทั้งสองคนนั้นถูกส่งไปที่วัดแม่ชี ภายใต้การอนุญาตอย่างเนียนๆ ของอัครเสนาบดีและเสนาบดีกรมคลังนั้น ฮูหยินของทั้งสองชอบแสร้งทำเป็นไปบริจาคธูปที่วัดแม่ชีอยู่บ่อยๆ เพื่อหาโอกาสไปหาลูกสาวของตนเองบ่อยๆ
อี้เฟยและซู่เฟยเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลขุนนางชั้นสูง แต่เล็กจนโตไม่เคยลำบาก แล้วจะรับได้กับชีวิตแม่ชีแบบนี้ได้อย่างไร อีกทั้งสองคนยังเป็นนางสนมที่ถูกลงโทษมาอีก เลยโดนคนข้างในกลั่นแกล้ง หลายเดือนผ่านไป พวกนางก็ผอม เปลี่ยนไปมากเสียจนจำไม่ได้เลยทีเดียว
ทั้งสองคนเห็นเช่นนั้น ก็เจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่มา ก็บริจาคเงินค่าธูปเทียนไปไม่น้อย เพื่อจะให้ลูกสาวของตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นเสียหน่อย
ในเมื่อรับเงินบริจาคจากเขามามาก ผู้ดูแลของวัดจึงออกคำสั่งว่า ห้ามให้ใครกลั่นแกล้งพวกนาง มิเช่นนั้นเจอดีแน่
เพราะแบบนี้ ชีวิตของพวกนางจึงดีขึ้นมาหน่อย รู้สึกว่าไม่ต้องระแวงอะไรมากมาย จึงสบายลงมาก อยู่ไปอยู่มา จึงคิดแผนการร้ายขึ้นมา
คืนหนึ่งหลังจากผ่านไปห้าเดือน ตอนที่ประตูเมืองกำลังจะปิด หญิงทั้งสองก็จูงมือกันมาอย่างทุลักทุเล วิ่งเข้ามา แล้วตะโกนไปว่าอย่าเพิ่งปิดประตู
นายทหารที่เฝ้าประตูอยู่ เห็นทั้งสองคนน่าสงสาร เลยแง้มประตูเอาไว้ พอพวกนางเข้ามา ค่อยปิดประตูลง
ทั้งสองคนรีบพูดขอบคุณ
นายทหารเฝ้าประตูรีบโบกมือ “ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว พวกเจ้าสองคนรีบกลับบ้านเถอะ”
หลังจากทั้งสองคนพูดขอบคุณเสร็จ ก็ช่วยกันเดินพยุงกันเข้าไปที่ในเมือง ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เพิ่งจะเดินมาถึงทางแยกทางตะวันออกของเมือง หลังจากที่บอกลากันแล้ว คนหนึ่งก็แยกไปทางเหนือ อีกคนก็แยกไปทางใต้
หนึ่งก้านธูปผ่านไป ประตูของจวนอัครเสนาบดีก็มีเสียงดัง ตึ่งตึ่ง
นายประตูก็ตกใจ เดินไปด่าไป
ยังเปิดไม่ทันหมด ก็มีขาข้างหนึ่งก้าวเข้ามาอย่างรีบร้อน
“นี่ เจ้า… …” นายประตูกำลังจะเอ่ยปากด่า
ผู้มาก็ตะคอกใส่ว่า “ถอยไป! ไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่รู้หรือว่าข้าคือผู้ใด”
“คุณ คุณหนูหรือขอรับ”
“หุบปาก! หากยังกล้าพูดอีก ข้าจะให้ท่านพ่อขายเจ้าออกไป”
นายประตูรีบเอามือขึ้นมาปิด แล้วพยักหน้าอย่างลนลาน
“ข้าจะหลบอยู่ตรงป้อมประตู เจ้าไปบอกท่านแม่ บอกว่าข้ากลับมาแล้ว แล้วจำเอาไว้ ว่านอกจากเจ้าแล้ว ห้ามให้ใครรู้ว่าข้ากลับมาอีก”
นายประตูพยักหน้า หันหลัง แล้ววิ่งไปที่เรือนหลัก
ส่วนอี้เฟยไปหลบอยู่ที่ป้อมประตู
อัครเสนาบดีและฮูหยินเพิ่งจะกินข้าวเสร็จแล้วกลับเรือนมา เมื่อได้ยินรายงาน ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง
“ท่านพี่ เอ่อ… …”
เป็นฮูหยินอัครเสนาบดีมาหลายปี เรื่องใหญ่เรื่องเล็กนั้นก็พอจะรู้เรื่อง ลูกสาวตนโดนลงโทษให้ไปอยู่ที่วัดแม่ชี นางไปเยี่ยมเยียน ยังเจ็บปวดใจที่ลูกสาวตนเองลำบากอยู่เลย แต่การที่ลูกสาวขัดโองการ หนีกลับมาที่บ้าน นั่นถือเป็นโทษใหญ่หลวง นางยังมีลูกชายอีกสองคนและลูกสาวอีกหนึ่งคน จึงไม่อาจให้ลูกสาวคนนี้คนเดียวมาทำลายครอบครัวที่เหลือได้
อัครเสนาบดีเดินออกมาด้านนอกวนไปวนมา แล้วตัดสินใจว่า “หารถม้ามาคันหนึ่ง ส่งนางกลับวัดแม่ชีไปเดี๋ยวนี้ แล้วถือเสียว่าเรื่องวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็แล้วกัน”
ฮูหยินอัครเสนาบดีพยักหน้า
อัครเสนาบดีตะโกนเรียกพ่อบ้านมา แล้วสั่งให้เขาทำตามที่ตนบอก
พ่อบ้านรับคำสั่ง เมื่อพบกับอี้เฟย จึงบอกถึงการตัดสินใจของท่านอัครเสนบดีและฮูหยินให้นางฟัง
หลังจากอี้เฟยฟังจบ ก็รู้สึกเคว้งคว้าง นางไม่เคยคิดเลย วาตนกลับมาถึงบ้านแล้ว ขนาดพ่อแม่ของตนยังไม่มาพบนางเลย แถมออกคำสั่งให้นำตัวนางกลับวัดแม่ชีไป ที่มันไม่ใช่ที่อยู่ของนาง
นางจึงหัวเราะออกมา แล้วพูดกับพ่อบ้านว่า “เจ้าไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า ข้ามีเรื่องใหญ่จะบอกพวกเขา หากพวกเขาไม่มาพบข้า วันนี้ที่ข้าออกจากจวนนี้ไปแล้ว ให้พวกเขารอการประหารล้างตระกูลได้เลย”
พ่อบ้านฟังจบ ก็ตกใจเป็นอย่างมาก ไม่รอช้า รีบวิ่งไปที่เรือนหลัก
อัครเสนาบดีและฮูหยินฟังจบ ก็มองหน้ากัน ในหัวมีลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย อยากจะสั่งให้พ่อบ้านนำตัวอี้เฟยเข้ามา แต่พออ้าปากจะออกคำสั่ง ก็คิดอะไรได้บางอย่าง จึงโบกมือ สั่งผู้ดูแลว่า “กันบ่าวรับใช้ในจวนออกให้หมด แล้วนำตัวคุณหนูเข้ามา”
พ่อบ้านตอบรับ แล้วบอกให้บ่าวรับใช้ออกไปให้หมด แล้วพาตัวอี้เฟยเข้ามาที่เรือนหลัก
อัครเสนาบดีนั่งที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
ฮูหยินอัครเสนาบดีมองร่างที่ผอมซูบของลูกสาวตน ก็ใจอ่อน แล้วเข้าไป “ลูกสาวข้า กินข้าวหรือยังลูก ให้แม่ไปทำให้เจ้ากินดีหรือไม่”
หนีออกจากวัดแม่ชีมา ก็ตรงดิ่งกลับมาที่จวนเลย ทั้งเหนื่อยทั้งกระหาย อี้เฟยพยักหน้า แล้วหายใจหอบๆ พูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกหิวมากเลยเจ้าค่ะ”
แล้วฮูหยินก็ออกคำสั่ง เสร็จแล้วก็ไปเทน้ำมาให้อี้เฟยหนึ่งแก้ว
อี้เฟยรับไป เงยหน้ากระดกขึ้นจนหมด
ฮูหยินเห็นเช่นนั้น ก็เจ็บปวดใจเสียเหลือเกิน ลูกสาวที่ตนประคบประหงมมาเองกับมือ เหตุใดถึงได้กลายเป็นคนเถื่อนเช่นนี้
แล้วอัครเสนาบดีก็เปิดปาก พูดด้วยเสียงไม่พอใจว่า “พูดมาเถอะ เรื่องใหญ่อันใด”