ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 146 โต้กลับ (2)

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ตอนที่ยังไม่ได้เข้าวัง อัครเสนาบดีให้ความสำคัญกับลูกสาวคนโตของเขาเป็นอย่างมาก เพราะนางมีหน้าตาที่สะสวย และฉลาดหลักแหลม อัครเสนาบดีได้วางแผนให้นางเข้าวังไว้ตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นในเรื่องของการสอนสั่ง ย่อมพิเศษกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา  

 

 

ไม่ว่าจะเป็นก่อนเข้าวัง หรือหลังเข้าวัง หรือจะโดนทำโทษไปที่วัดแม่ชี อี้เฟยล้วนแล้วแต่คิดถึงพ่อแม่ของนางตลอด เพราะในใจของนาง ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่เคยทอดทิ้งนาง แต่เมื่อครู่นี้ ได้ยินว่าพ่อกับแม่ของนางไม่ยอมออกมาพบตน แล้วจะส่งตนกลับไปที่วัดแม่ชีเลยทันที อี้เฟยจึงรู้สึกเคว้งคว้าง จึงได้รู้ความจริง ว่าจริงๆ แล้วพ่อแม่ของนางไม่ได้เอ็นดูนางเหมือนที่นางคิดไว้ ดังนั้น อารมณ์อยากเอาเรื่องราวของคนเองที่เจอมาก่อนหน้านี้ทั้งหมดเล่าให้พวกเขาฟังนั้นก็หายไป แล้วบอกว่า “ท่านพ่อ ลูกเดินมาจากวัดแม่ชี ทั้งเหนื่อย ทั้งกระหาย ให้ข้าได้กินน้ำกินท่า กินข้าวกินปลาก่อนค่อยพูดได้หรือไม่” 

 

 

ฮูหยินอัครเสนาบดีก็ใจอ่อน เลยร้องขอด้วยเช่นกัน “ท่านพี่ ในเมื่อลูกกลับมาแล้ว ท่านให้ลูกได้พักหายใจหายคอก่อนได้หรือไม่” 

 

 

อย่างไรเสียก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของตน อัครเสนาบดีจึงยอมใจอ่อน  

 

 

สำรับพร้อมเสร็จสรรพ ยกขึ้นมา อี้เฟยกินอย่างมูมมาม  

 

 

ฮูหยินเห็นดังนั้นก็เจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก ขอบตาแดงก่ำ  

 

 

อัครเสนาบดีก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร แต่ก็ยังไม่ลืมเรื่องใหญ่ที่ว่า พอนางกินเสร็จ ก็ถามต่อเลยว่า “เรื่องอันใดกันแน่” 

 

 

พอได้กินอิ่ม อี้เฟยก็มีแรง จึงยิ้มอย่างน่าพิศวงแล้วลุกขึ้น แล้วเปิดชุดหลวมๆ ของนางออกต่อหน้าทั้งสองคน  

 

 

“เจ้า… …” พอได้เห็นท้องที่นูนออกมาของนาง อัครเสนาดีก็ตกใจ ดวงตาเบิกโพรง แล้วลุกขึ้นโดยทันที  

 

 

ส่วนฮูหยินก็โซเซ ทำท่าจะล้มลงไป 

 

 

ลูกสาวของตนโดนฮ่องเต้ลงโทษไปที่วัดแม่ชี ไม่รู้จักบำเพ็ญศีลภาวนา มาวันนี้กลับหิ้วท้องโตๆ กลับมา หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของฮ่องเต้ล่ะก็ จวนอัครเสนาบดีคงได้จบสิ้นแน่  

 

 

อี้เฟยเอาชายเสื้อลง แล้วลูบไปที่ท้องของตน แล้วพูดออกมาด้วยความดีใจที่จะได้เป็นแม่คนว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่เห็นหรือเจ้าคะ ว่าข้าตั้งครรภ์แล้ว” 

 

 

อัครเสนาดีรีบเดินไปหานาง แล้วตบลงไปที่นางอย่างแรง ตบจนอี้เฟยเซไปอีกทาง เลือดกบปาก “นังลูกอกตัญญู เจ้าอยากให้จวนอัครเสนาบดีแห่งนี้หมดสิ้นเพราะเจ้าอย่างนั้นรึ” 

 

 

อี้เฟยเอามือทาบลงที่หน้า หันหลังจ้องกลับไปที่พ่อของตนอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านพ่อ ท่านตบข้า” 

 

 

“ไม่เพียงแต่จะจะตบเจ้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า เจ้าจะได้ไม่เป็นเหตุให้จวนแห่งนี้ต้องเดือดร้อน” 

 

 

อัครเสนาบดีโกรธมาก จนหันไปหยิบกระบี่ที่แขวนอยู่ที่กำแพงลงมา  

 

 

ฮูหยินได้สติ ก็รีบไปบังอยู่ตรงหน้านาง “ท่านพี่ ไม่ได้นะเจ้าคะ นางเป็นลูกของเราจะเจ้าคะ” 

 

 

ขณะที่อัครเสนาบดีกำลังโกรธ ก็ผลักนางออก แล้วตะคอกออกมาว่า “ลูกคนนี้เจ้าสอนมาอย่างไร เหตุใดถึงทำเรื่องอัปยศอดสูเช่นนี้ออกมาได้ หากข้าไม่ฆ่านาง จวนแห่งนี้ก็จะจบสิ้นไปกับนาง” 

 

 

อี้เฟยหัวเราะออกมาเสียงดังสนั่น จนสุดท้ายหัวเราะจนมีน้ำตาออกมา  

 

 

ฮูหยินมองไปที่นางด้วยความตกใจ แล้วถามเสียงสั่นว่า “อี้เอ๋อร์ เจ้า…​ …” 

 

 

อี้เฟยหยุดหัวเราะ แล้วเดินเข้ามาหาทั้งสองคนอย่างช้าๆ แล้วพูดด้วยความโกรธแค้นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าการส่งข้าเข้าวังไป ข้าเจออะไรบ้าง ที่พวกท่านได้ยิน ที่พวกท่านเห็นล้วนเป็นเรื่องหลอกทั้งนั้น ฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวข้าข้าเลยแม้แต่น้อย… …” 

 

 

อัครเสนาบดีเบิกตาโพลง ฮูหยินก็ถามด้วยควาไม่เชื่อว่า “เป็นไปได้อย่างไร ฝ่าบาทไปนอนกับเจ้าที่ตำหนักตั้งหลายครั้งมิใช่หรือ” 

 

 

อี้เฟยยิ้มด้วยความโกรธแค้น “ใช่ ถูกต้อง เขามานอนกับข้าที่ตำหนักหลายคืนก็จริง แต่เขานั้นเหมือนท่อนไม้ ต่อให้ข้าใช้ร้อยเล่ห์มารยาอย่างไร ก็ไม่สามารถปลุกเร้าเขาได้เลย ส่วนเรื่องที่บ่าวรับใช้ในตำหนักเห็นนั้น และเรื่องที่พวกท่านได้ยินนั้น ล้วนเป็นเพราะเขาสั่งให้ข้าทำตามที่เขาบอก จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะปิดหูปิดตาคนนอกเท่านั้น” 

 

 

อัครเสนาบดีได้แต่เบิกตาโพลง “นี่ นี่มันเป็นไปไม่ได้” 

 

 

“ไม่เพียงแค่ข้าที่เป็นแบบนี้ ข้าเคยถามซู่เฟย ฝ่าบาทก็ทำเช่นนี้กับนางเช่นกัน ดังนั้น ท่านพ่อ ท่านมา ข้าไม่เคยได้รับการโปรดปรานจากฝ่าบาทเลยเจ้าค่ะ” พูดถึงตรงนี้ ก็ใช้มือลูบลงไปที่ท้องน้อยๆ ของนาง แล้วยิ้มพูดต่อว่า “หากข้าไม่ได้พบกับเซียวหลางล่ะก็ ชีวิตนี้ข้าก็คงไม่รู้ว่าความรักเป็นเช่นไร” 

 

 

อัครเสนาบดีได้สติ ก็ก่นด่าออกมาว่า “หน้าไม่อาย ยังมีหน้ามาพูดเรื่องนี้กับข้าอีกงั้นรึ คุณธรรมความดีที่เจ้าร่ำเรียนมานั้น คืนครูไปหมดแล้วงั้นรึ” 

 

 

มาถึงตรงนี้ อี้เฟยก็ไม่ถอยอีกต่อไปแล้ว หันหลัง เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ พูดด้วยความนิ่งสงบว่า “ท่านพ่อ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านฆ่าข้าให้ตายก็เปล่าประโยชน์ สู้ช่วยข้าคิดหาวิธี กลบเรื่องนี้ให้หายไป ท่านวางใจเถอะ เพียงแค่ผ่านช่วงนี้ไปได้ ข้ากับเซียวหลางจะกลับไปที่บ้านเกิดของเขา แล้วไม่กลับมาเมืองหลวงอีก” 

 

 

“เจ้าๆ” คิดไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ออกมา อัครเสนาบดีโกรธจนพูดไม่ออก 

 

 

ในขณะเดียวกัน จวนของเสนาบดีกรมคลังก็มีเรื่องเช่นเดียวกัน  

 

 

คืนนี้ เจ้าของจวนของทั้งสองจวนไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน  

 

 

มาถึงวันที่สอง ประชุมเช้า ทั้งสองคนยืนอยู่ในตำหนักด้วยความหวาดระแวง เพราะกลัวว่าท่าป๋าหั่นหลินจะถามถึงบุตรสาวของตน แต่ท่าป๋าหั่นหลินทำเป็นไม่ได้ยินข่าวอะไรทั้งนั้น แล้วจัดการงานราชการตามปกติ  

 

 

ทั้งสองคนได้ปรึกษากันไว้แล้ว หลังจากที่ประชุมเช้าเสร็จ ก็ส่งสายตาบอกกัน แล้วจงใจเดินช้าๆ ให้อยู่ท้ายสุด เสร็จแล้วมองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใคร แล้วอัครเสนาบดีก็ถามเบาๆ ว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราควรทำเช่นไรดี” 

 

 

อยากจะฆ่าลูกสาวของตน ก็ทำไม่ลง แต่ถ้าไม่ฆ่า ก็จะทำให้จวนต้องเดือดร้อน ทั้งสองคนครุ่นคิดทั้งคืน จนสุดท้ายก็ยังตัดสินใจไม่ได้  

 

 

เรื่องที่ลูกสาวของตนอยู่ในวังหลวงแห่งนี้นั้น ทั้งสองคนได้ยินหมดแล้ว แล้วก็เข้าใจในการกระทำของท่าป๋าหั่นหลินด้วย แต่ถึงอย่างไร พวกเขาคงไม่สามารถเข้าวังไป แล้วไปถามว่าเหตุใดถึงไม่โปรดปรานลูกสาวของตน ตอนนี้ทำได้เพียงแต่อาศัยโอกาสที่ท่าป๋าหั่นหลินยังไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นหนีออกมาจากวัดแม่ชี พวกเขาก็ยังคงมีเวลาที่จะปรึกษาเรื่องนี้อยู่ 

 

 

เสนาบดีกรมคลังโกรธจนไม่ได้นอนเลยทั้งคืน คิดหาวิธีไปมา แต่ก็คิดไม่ออก จนตอนนี้คิดจนปวดสมองไปหมด พอได้ยินคำพูดของอัครเสนาบดีแล้ว ก็เงยหน้าขึ้น นวดไปที่กระหม่อมของตน แล้วส่ายหน้า  

 

 

อัครเสนาบดีรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก แล้วพูดด้วยความคร่ำเครียด “เรื่องนี้ พวกเราต้องคิดหาทางให้ไวที่สุด มิเช่นนั้นได้เดือดร้อนจวนของพวกเราแน่” 

 

 

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังจะมีทางไหนอีก ต่อให้พวกเราฆ่าลูกสาวของพวกเราทิ้งตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว พวกเรา… …” 

 

 

แล้วก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองของอัครเสนาบดี แล้วพูดออกมาว่า “ข้านึกออกแล้ว” 

 

 

เสนาบดีที่กำลังใช้มือนวดหน้าผากอยู่ก็หยุด แล้วรีบร้อนถามว่า “วิธีอันใดรึ” 

 

 

แล้วพวกเขาก็มองซ้ายมองขวาอีกรอบ ให้แน่ใจว่าไม่มีใคร แล้วอัครเสนาบดีก็กระซิบข้างหูของเสนาบดีกรมคลัง เอาวิธีที่ตนคิดได้บอกกับเขาอย่างลับๆ 

 

 

เสนาบดีกรมคลังฟังจบ ก็ขมวดคิ้วตึง แล้วจึงค่อยพยักหน้าเห็นด้วย “วิธีนี้ดีมาก ไม่เพียงแต่จะปกป้องชีวิตของพวกนางได้ แถมยังปกป้องจวนของพวกเราได้อีกด้วย” 

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็รีบแยกย้ายกันกลับจวนไปจัดการเรื่องนี้กันเถอะ” 

 

 

ทั้งสองคนพูดจบ ก็ขอตัวลา แยกย้ายกันกลับจวน  

 

 

และทุกๆ ความเคลื่อนไหวของเขาสองคนนั้น ได้ตกอยู่ในสายตาของขันทีที่คอยสืบอยู่ห่างๆ พอเห็นพวกเขาขึ้นเกี้ยวไปแล้ว ก็หันหลัง รีบวิ่งไปรายงานที่ห้องหนังสือทันที  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินฟังรายงานจบ ก็ออกคำสั่งว่า “ตบรางวัล!”  

 

 

ขันทีฮูจึงพาขันทีผู้นั้นออกไป  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินวางเล่มรายงานที่อยู่ในมือลง นั่งพิงลงไปที่เก้าอี้ เงยหน้ามองไปที่เพดาน แล้วคิดหนักอยู่พักหนึ่ง ไม่นาน ก็ออกคำสั่งด้วยเสียงดุดันว่า “ประกาศราชโองการของข้าออกไป ออกคำสั่งให้ทหารไปล้อมรอบจวนของอัครเสนาบดีและเสนาบดีกรมคลังเอาไว้ แล้วหาตัวอี้เฟยและซู่เฟยให้พบ” 

 

 

ขันทีฮูได้ยินดังนั้น ตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อย แล้วตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 

 

 

เวลาผ่านไปแค่สองก้านธูปเท่านั้น พอได้ยินว่ามีทหารมาล้อมรอบจวนอัครเสนาบดี อัครเสนาบดีก็ปาดเหงื่อที่หน้าผากของตน เสร็จแล้วโล่งใจ ดีที่ตนคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้ทัน มิเช่นนั้นคนในจวนคงได้ตายกันหมดแน่  

 

 

หลังจากผู้บัญชาการไก้ทหารออกคำสั่งให้ล้อมรอบจวนอัครเสนาบดีแล้วนั้น ก็นำคนบุกเข้าไปด้านในทันที แล้วทำมือคำนับให้กับเสนาบดีที่ได้รับรายงานแล้ววิ่งมาว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาตรวจหาอี้เฟย ขออัครเสนาบดีท่านโปรดให้ความร่วมมือด้วย” 

 

 

อัครเสนาบดีทำเป็นชะงักไป แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ขอสอบถามผู้บัญชาการไก้หน่อย ลูกสาวของข้าไม่ได้อยู่ที่วัดแม่ชีงั้นรึ เหตุใดพวกท่านถึงได้มาตรวจที่จวนของข้า หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นรึ” 

 

 

ผู้บัญชาการไก้ก่นด่าตาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นี่ไปรอบหนึ่งในใจ เสร็จแล้วยิ้มตอบกลับไปว่า “เมื่อวานนี้อี้เฟยหนีออกมาจากวัดแม่ชี ฝ่าบาทสงสัยว่านางจะหนีมาที่จวนอัครเสนาบดี เลยสั่งให้ข้ามาตรวจขอรับ” 

 

 

แล้วสีหน้าของอัครเสนาบดีก็ขาวเผือด ร่างกายโซเซไปมาเล็กน้อย “เจ้าว่าอย่างไรนะ ลูกอกตัญญูนั่นบังอาจขัดคำสั่งฝ่าบาทแล้วหนีไปแล้วงั้นรึ” 

 

 

ผู้บัญชาการไก้พยักหน้า “ขอรับ” 

 

 

แล้วอัครเสนาบดีก็ค่อยๆ ดึงสติ แล้วหลีกทางให้ “เชิญ ผู้บัญชาการไก้” 

 

 

หลังจากนั้นก็ออกคำสั่ง “ไปบอกพ่อบ้าน ว่าให้บ่าวในเรือนทุกคนให้ความร่วมมือกับผู้บัญชาการไก้ ห้ามทำการโดยพลการเด็ดขาด” 

 

 

พ่อบ้านรับคำสั่งแล้วออกไป 

 

 

ผู้บัญชาการไก้โบกมือ แล้วทหารก็แยกย้ายกันออกไป ตรวจสอบทุกซอกทุกมุมของเรือน แต่ก็หาอี้เฟยไม่เจอ เสร็จแล้วจึงวิ่งมารายงาน  

 

 

แล้วผู้บัญชาการไก้ก็นำคนออกไป 

 

 

อัครเสนาบดีโล่งใจ เดินกลับไปที่เรือนหลักอย่างหมดแรง แล้วนั่งอยู่ด้านในด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  

 

 

ส่วนฮูหยินร้องไห้จนตาแดงก่ำ สะอึกสะอื้นพูดออกมาว่า “ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงใจร้ายใจดำเช่นนี้ นั่นคือลูกสาวของพวกเรา เหตุใดท่านถึงลงมือได้ลงคอ” 

 

 

“ยัยโง่ หากข้าไม่ทำเช่นนี้ วันนี้จวนอัครเสนาบดีของพวกเราคงไม่มีอีกต่อไปแล้ว” 

 

 

ฮูหยินไม่ได้โง่ แต่พอคิดถึงสภาพที่น่าอนาถของลูกสาวตนนั้น ก็ยังคงกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  

 

 

จวนของเสนาบดีกรมคลังก็เจอชะตากรรมเช่นเดียวกัน โดนทหารมาล้อมแล้วเข้าตรวจค้น  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินได้รับรายงาน แต่ก็ไม่ได้สนใจ โบกมือให้ผู้บัญชาการออกไป แล้วยิ้มออกมาอย่างน่าพิศวง 

 

 

หลายวันผ่านไป ก็มีรถม้าคนหนึ่งออกจากจวนอัครเสนาบดี รถคันนั้นปกปิดมิดชิด มุ่งหน้าไปยังนอกเมือง 

 

 

ออกเดินทางไปไม่เท่าไหร่ ก็มีผู้บัญชาการทหารมาดักไว้ “คนบนรถคือใคร แล้วจะไปที่ใด”