คนรถรีบหยุดรถม้า กระโดดลงจากรถ แล้วตอบอย่างนอบน้อมว่า “เป็นแม่บ้านของจวนเราขอรับ เพราะทำผิด เลยโดนนายท่านทำโทษ ให้นำออกไปนอกเมือง ให้ไปตายเอาดาบหน้าขอรับ”
ผู้บัญชาการก้ายขมวดคิ้ว “ทำผิดงั้นรึ ขายทิ้งไปก็สิ้นเรื่อง เหตุใดถึงต้องเอาไปโยนทิ้งนอกเมืองด้วย”
เอ่อ… …”
คนรถลังเลอยู่พักหนึ่ง เห็นสายตาที่เฉียบคมของผู้บัญชาการก้ายมองมาที่เขา ก็พูดออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า “แม่บ้านคนนี้แอบคบหาดูใจกับผู้อื่นจนท้องขึ้นมา จริงๆ แล้วนายท่านและฮูหยินอยากให้นางเอาลูกออก หลังจากนั้นค่อยขายออกไป แต่นิสัยของนางเป็นคนใจร้อน เลยอาศัยจังหวะตอนที่ไม่มีใครตั้งตัว กรีดหน้าของตนเอง ตอนนี้น่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก ไม่มีใครกล้ามอง นายท่านถึงได้ให้ข้านำออกไปโยนที่นอกเมืองขอรับ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เปิดออกมาดูหน่อยสิ”
ผู้บัญชาการออกคำสั่ง
คนรถพยักหน้าตอบรับ แล้วเปิดม่านรถออก สิ่งที่เห็นคือหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ถึงแม้พวกของผู้บัญชาการก้ายจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ก็อดที่จะตกสะดุ้งถอยหลังไปไม่ได้
คนรถรีบปิดม่านลง แล้วพูดขอโทษ “ขอโทษขอรับๆ ที่ทำท่านตกใจ เดี๋ยวข้าจะส่งนางออกไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“ไปๆ” ผู้บัญชาการก้ายรีบโบกมือให้รีบออกไป ราวกับว่ารอยแผลเป็นบนหน้าของหญิงสาวคนนั้นจะติดมาที่พวกเขาอย่างใดอย่างนั้น
คนรถตอบรับ แล้วปิดม่านรถลงให้มิดชิด หลังจากนั้นก็เดินไปที่หน้ารถ เตรียมกระโดดขึ้นไป แล้วขี่รถม้ามุ่งหน้าต่อ
เสียงวิจารณ์ของเหล่าทหารดังเข้าไปยันด้านในรถ
“เจ้าว่า อี้เฟยไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด พวกเราตามหามาหลายวันแล้วก็ยังไม่พบ”
“ไม่ว่าจะหลบอยู่ที่ใด ก็ถือว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่เสียดายก็แต่คุณชายเซียวนั่น ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดาย”
“เสียดายอะไรกัน ผู้หญิงในโลกนี้มีถมไป เขาชอบใครไม่ชอบ กลับไปชอบสนมนักโทษอี้เฟย มิเช่นนั้นคงไม่ต้องพบจุดจบเช่นนี้หรอก”
“เห้อ โบราณว่าวีรบุรุษจะก้าวผ่านด่านสาวงามนั้นช่างยากนัก น่าเสียดายจริงๆ”
… …
แล้วม่านรถก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว หญิงสาวคนนั้นรีบถามว่า “พวกเจ้าว่าอย่างไรนะ เซียวหลางเป็นอะไร”
นายทหารที่พูดก็ตกใจเป็นอย่างมาก แล้วรีบโบกมือ “รีบไปๆ ยังกลางวันแสกๆ มาเล่นหลอกคนแบบนี้ได้ไงกัน”
คนรถก็ตกใจเช่นเดียวกัน ฟาดแซ่ลงไป แล้วรถก็เคลื่อนออก
ความใจร้อนของหญิงสาวผู้นั้นทำให้นางกระโดดลงจากรถม้า แล้วถามนายทหารคนนั้นว่า “เจ้าบอกข้ามานะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซียวหลาง”
นายทหารคนนั้นตกใจจกลัวจนถอยไป แล้วเอาอาวุธออกมา “เจ้า เจ้าอย่าเข้ามานะ หากเข้ามาข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นเช่นนี้ ก็เลยล้อมกันเข้ามาดู
“เจ้าบอกข้ามาเร็วเข้า ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซียวหลาง”
หญิงสาวผู้นั้นเหมือนไม่เห็นดาบที่อยู่ตรงหน้า เดินเข้าไป ถามด้วยความร้อนรน
นายทหารคนนั้นกลืนน้ำลายลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เจ้า เจ้าเป็นใคร เจ้าจะรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน”
ในขณะที่หญิงผู้นั้นกำลังใจร้อน ก็เลยหลุดปากพูดออกมาว่า “ข้าก็คืออี้เฟยที่พวกเจ้าตามหา เจ้ารีบบอกข้ามา ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซียวหลาง”
คำพูดของเขา ทำให้คนรอบข้างต่างก็ชะงักไปตามๆ กัน คิดถึงภาพของอี้เฟยในสมัยก่อน แล้วมองไปที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลที่น่าเกลียดของผู้หญิงคนนี้ อย่างไรก็ไม่สามารถเอามาประติดประต่อกันได้เลย
“เจ้าบอกว่าเจ้าคืออี้เฟย มีหลักฐานหรือไม่” เสียงของผู้บัญชาการก้ายเอ่ยขึ้นอย่างดุดันด้านหลังของหญิงสาวผู้นั้น
นางได้ยินดังนั้น ก็หันไปบอกเขา “เจ้าบอกข้ามาเร็วเข้าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซียวหลาง แล้วข้าจะพิสูจน์ว่าข้าเป็นอี้เฟยจริงๆ”
ผู้บัญชาการก้ายหรี่ตามอง แล้วไม่นานก็พูดว่า “ฝ่าบาทมีพระบัญชา วันพรุ่งให้นำตัวคุณชายเซียวมารับโทษห้าม้าแยกร่าง[1]”
อี้เฟยล้มลงกองกับพื้น
“เป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ท่านพ่อบอกข้าว่าส่งจดหมายให้กับเซียวหลางแล้ว ให้เขารอข้าที่นอกเมือง แล้วเหตุใดถึงได้… …”
“เจ้ารีบว่ามาสิ เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเจ้าคืออี้เฟย”
อี้เฟยได้สติ ลุกขึ้นเดินมาที่ตรงหน้าผู้บัญชาการก้าย เงยหน้าขอร้องว่า “ขอร้องล่ะ ให้ข้าได้พบกับเซียวหลางเสียหน่อยเถิด แล้วข้าจะบอกพวกเจ้าทั้งหมด”
“เอาตัวไป!”
ผู้บัญชาการออกคำสั่ง
ทหารเดินออกมา แล้วกุมตัวอี้เฟยเดินเข้าเมืองไป
ผู้คนที่เข้ามามุงดู มองเหล่าทหารเดินจากไป ก็มีเสียงวิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ
คนรถตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ในรถไม่ได้เป็นแค่แม่บ้านที่ทำผิดหรอกหรือ เหตุใดถึงได้กลายเป็นคุณหนูได้ล่ะ
พอคิดได้ดังนั้น ก็ขนลุกซู่ หากเป็นคุณหนูจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้น… … คิดได้ถึงตรงนี้ ก็รีบกลับหัวรถม้า กลับไปที่จวนอัครเสนาบดีโดยทันที
พอมาถึงหน้าประตู ก็หยุด แล้วกระโดดลงจากรถม้า จากนั้นก็วิ่งเข้าไปด้านใน ตะโกนร้องเรียกออกมาจนดังก้องไปทั้งจวน “นายท่านๆ แย่แล้วนายท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ”
พ่อบ้านในจวนได้ยินเสียงร้องเรียกของเขา ก็บอกให้เขาหยุด “ร้องตะโกนโวยวายเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ ข้าบอกให้เจ้าเอาตัวคนไปส่งที่นอกเมืองมิใช่รึ เหตุใดถึงกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า”
คนรถกำลังหอบ แล้วพูดออกมาว่า “พ่อบ้าน แย่แล้ว คุณหนูโดนทหารกุมตัวไปแล้วขอรับ”
ผู้ดูแลถึงกับเซ เรื่องที่อี้เฟยกับจวนมามีแค่นายท่าน ฮูหยินและเขาเท่านั้นที่รู้ ตอนนี้คนรถพูดออกมาอย่างร้อนรนเช่นนี้ แสดงว่าคุณหนูต้องโดนจับได้อย่างแน่นอน
คิดได้เช่นนั้น ก็เสียวสันหลังวาบ แล้ววิ่งไปที่เรือนหลักทันที
อัครเสนาบดีได้ยินดังนั้น ก็นั่งลงกับเก้าอี้ “จบแล้วๆ จบสิ้นจริงๆ แล้ว”
พูดจบ นายประตูก็พุ่งเข้ามา แล้วบอกว่า “นายท่าน แย่แล้วขอรับ มีทหารมาอีกแล้วขอรับ”
อัครเสนาบดีได้แต่หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม คนในจวนของอัครเสนาบดีล้วนโดนกุมตัวออกมาหมดไม่เหลือ แล้วเอาไปขังคุก
ในขณะเดียวกัน ทหารอีกทางก็ล้อมรอบจวนเสนาบดีกรมคลังเอาไว้ แล้วตรวจเจอผู้หญิงที่มีรอยแผลเป็นเต็มหน้าอีกคนหนึ่ง
แล้วคนในเมืองหลวงก็ลือเรื่องนี้กันไปทั่วในชั่วพริบตา
สามวันผ่านไป ก็มีคำสั่ง ให้คนหกร้อยกว่าคนของทั้งสองจวนไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ห้ามกลับเข้าเมืองหลวงอีก
เสนาบดีกรมทหารเห็นเพื่อนขุนนางของตนที่เคยยิ่งใหญ่ มาวันนี้กลับมีสภาพน่าอนาถ เหมือนกับมดที่กำลังโดนทหารใช่แซ่ไล่ตี ก็รู้สึกเศร้าโศก คืนนั้นดื่มเหล้าเมามายอยู่ที่จวนทั้งคืน วันที่สองก็ป่วยหนัก สิบกว่าวันผ่านไป ก็ป่วยหนักมากกว่าเดิม ขนาดหัวหน้าโรงหมอหลวงยังไม่สามารถรักษาได้ ไร้ซึ่งหนทาง จึงเขียนรายงาน แล้วสั่งให้คนแบกตนเข้าวังไป แล้วขอให้ท่าป๋าหั่นหลินอนุญาตให้ตนเกษียรกลับบ้านเกิดไป
ไม่เจอกันแค่สิบวัน เสนาบดีกรมทหารกลับซูบผอมเสียจนไม่เหลือเคล้าเดิม ท่าทางก็ดูเหนื่อยล้า อย่างกับจะหมดลมหายใจไปเมื่อใดเมื่อนั้นอย่างนั้น
ท่าป๋าหั่นหลินมองจ้องเขาด้วยสายตานุ่มลึกอยู่นาน หลังจากนั้นก็อนุญาต
สามวันผ่านไป เสนาบดีกรมทหารขายจวนของเขา แล้วจัดการบ่าวรับใช้ในเรือนทั้งหมด เหลือไว้แค่ผู้ดูแลประจำตัวไม่กี่สิบคนเท่านั้น หลังจากนั้นก็ขึ้นรถม้า ออกจากเมืองหลวงไปอย่างเงียบๆ ห้าวันผ่านไป ทางที่เสนาบดีกรมทหารไปนั้นได้พบเจอกับโจร ทรัพย์สมบัติทั้งหลายจึงโดนขโมยไปทั้งหมด ขนาดลูกเขาสามคน หลานห้าคน แล้วหลานสาวอีกสองคนก็โดนฆ่าตายทั้งหมด เหลือไว้เพียงแค่เสนาบดีกรมทหารและฮูหยินเท่านั้น
เห็นลูกหลานของตนเองโดนฆ่าไปกับตา เสนาบดีกรมทหารก็ทนรับความเจ็บปวดนี้ไม่ไหว กระอักเลือดออกมา แล้วสิ้นลมหายใจไป
ฮูหยินเสนาบดีกรมทหารเองก็รับไม่ไหวเป็นลมสลบไป ฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าเหลือเพียงตัวคนเดียว บ่าวรับใช้ข้างกายไม่กี่คนก็หนีไปกันหมด ยังดีที่ทหารตามมา แล้วถามถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น จากนั้นก็เข้าไปรายงานราชสำนัก
ท่าป๋าหั่นหลินออกราชโองการด้วยตนเอง ระลึกถึงคุณงามความดีที่สั่งสมมาของเสนาบดีกรมทหาร ตบรางวัลให้กับฮูหยินเสนาบดีกรมทหารเล็กน้อย แล้วให้นางกลับบ้านเกิดขึ้นนางไปใช้ชีวิตบั้นปลาย
ถึงตอนนี้ สามคนก่อนหน้าที่เคยมาบีบบังคับท่าป๋าหั่นหลินก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ทุกคนต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กันอย่างคึกคัก มีเพียงผู้ดูแลฮูเท่านั้นที่เหงื่อไหลเต็มหลังเต็มหน้าผาก
ยังมีอีกคนหนึ่งก็ลนลานไม่แพ้กัน นั่นก็คือท่านแม่ทัพใหญ่
ทั้งสามคนโดนจัดการไปตามๆ กัน หากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เขาก็คงไม่เชื่อ ท่าป๋าหั่นหลินกำลังแก้แค้นพวกเขาอยู่ชัดๆ ที่ตอนนั้นพวกเขาบีบบังคับให้ฮองเฮาเอาเด็กออก พอคิดได้ดังนั้น ก็กระวนกระวายไปทั้งวัน คิดไปต่างๆ นาๆ หลายวันผ่านไป ตัวเขาเองก็ขาดสติ ในขณะที่กำลังฝึกซ้อมอยู่นั้น ไม่ได้ระวังตกลงมาจากที่สูง จนขาและแขนหักหมด
ท่าป๋าหั่นหลินได้ยินรายงาน ก็ไม่อะไรทั้งนั้น เพียงแต่โบกมือให้ทุกคนออกจากตำหนักชิงเซวียน แล้วนอนเหม่ออยู่บนเตียง
หลายวันต่อมา พี่รองของเขาก็ไม่รู้ว่าทำผิดสถานใด โดนกุมตัว ตามมาด้วยพี่สามพี่สี่ของเขา ภายในเวลาสั้นๆ แค่สองเดือน พี่หกก็โดนจับเข้าคุกไป จำโทษตลอดชีวิต นับแต่นี้ต่อไป ทั้งราชสำนักต่างก็หวาดระแวงไปหมด ไม่กล้าเข้าเฝ้าฝ่าบาทเลยสักคน
และตอนนี้ ใกล้จะครบปีแล้วที่หวงฝู่เย่าเย่ว์จากไป
ในเมืองหลวง จวนอ๋องฉี
เยียลี่ว์หมิงก็ได้หลายเดือนแล้ว หน้าตาของเด็กน้อยต่างได้จุดเด่นของทั้งเยียลี่ว์อาเป่าและหวงฝู่เย่าเย่ว์มาเต็มๆ น่ารักเป็นที่สุด เลยเป็นที่รักของทุกคนเป็นธรรมดา เริ่มเกิดศึกแย่งเด็กกันในจวน และสุดท้ายก็ต้องเป็นท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีเป็นผู้ชนะ หรือบางครั้งท่านอ๋องฉีใจดี หวงฝู่อี้เซวียนก็สามารถอุ้มได้บ้าง แต่น่าเสียดายที่เยียลี่ว์อาเป่าผู้เป็นพ่อ มีเพียงแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น ที่ลูกถูกส่งกลับมา ถึงจะได้จับตัวลูก
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็มากขึ้นๆ ทุกวัน เพราะไม่ว่าใครจะแย่งเด็กน้อยไปได้ สุกท้ายก็ตกมาอยู่ในมือของนางอยู่ดี แม้นางจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ว่าเวลาที่อุ้มเยียลี่ว์หมิงที่นุ่มนิ่ม ได้ฟังเสียงร้องเรียกที่ไร้เดียวสาของเขาแล้วนั้น ใจของนางก็อ่อนระทวย
ในขณะเดียวกัน คนที่มาเยี่ยมเยียนจวนอ๋องฉีก็มากขึ้น มาถามไถ่เพื่อสู่ขอหวงฝู่เย่าเย่ว์ทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย
ณ เมืองหลวงรัฐอิง
สิ่งที่ควรจะทำก็ทำหมดแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินเขียนรายงานร่ายยาวหนึ่งฉบับ จากนั้นก็สั่งให้ม้าเร็วนำไปส่งที่เมืองหลวงรัฐอู่ ส่งให้ถึงมือของหวงฝู่ซวิ่น
หวงฝู่ซวิ่นเห็นแล้ว คิ้วขมวดแน่น แล้วสั่งให้คนเรียกตัวหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา เพื่อปรึกษาเรื่องนี้
หวงฝู่อี้เซวียนอ่านรายงานเล่มนั้นเสร็จ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร พูดว่า “ฝ่าบาท ที่เขาพูดก็มีเหตุผล ในเมื่อรัฐอิงเป็นเมืองภายใต้การปกครองของพวกเรา มีขุนนางที่จัดตั้งโดยพวกเราไปดูแล อย่างนั้นก็สมเหตุสมผมดี”
หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า ถามว่า “เจ้าว่าส่งใครไปถึงจะเหมาะสมล่ะ”
“เอ่อ น้องไม่กล้าออกความเห็น ฝ่าบาทแต่งตั้งเองจะดีกว่า”
หวงฝู่ซวิ่นอ้าปาก อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
สามวันผ่านไป หวงฝู่ซวิ่นมีราชโองการ แต่งตั้งเมิ่งเจี๋ยไปรัฐอิง เพื่อช่วยท่าป๋าหั่นหลินดูแลราชสำนัก
เมื่อตระกูลเมิ่งได้ยินดังนั้น ก็ตกใจเป็นอย่างมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่เม้มปาก แล้วเพ่งมองด้วยสายตาที่นุ่มลึก
[1] ห้าม้าแยกร่าง คือการลงโทษชนิดหนึ่งโดยการใช้ม้ามาผูกกับแขนขาหัว ห้าส่วนแล้วฟาดแซ่ให้ม้าวิ่งออกพร้อมๆ กัน จนร่างแยกออกจากกัน