ท่านเจ้าสำนัก “…….”
ความเงียบงันครอบคลุมไปในอากาศ ช่างน่าอับอาย
ศิษย์น้อยเป็นตัวร้าย เมื่อครู่นี้นางยังยั่วยวนเขาอยู่เลย นาทีถัดมากลับเปลี่ยนทีท่าเป็นทายาให้เขาอย่างเอาจริงเอาจัง
ศิษย์เช่นนี้ ขาดการทุบตีจริงๆ
สมควรจับมาตีสักรอบ!
ตู๋กูซิงหลันกลับไม่สนใจว่าเขาจะคิดเห็นอย่างไร ปลายนิ้วของนางป้ายเนื้อยาสีขาวออกมา ทาลงบางๆบนบาดแผลของเขา
ปากแผลนี้ดูเล็กบางมาก แต่ว่ากลับลึก ดูท่าจะไม่มีพิษ
ในคิดอยู่ในใจว่า หากใบหน้าที่น่าดูเช่นนี้มีรอยแผลเป็น นั่นจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพียงไร
นางทายาให้อย่างเบามือ ปลายนิ้วไล้กลับไปกลับมาบนปากแผลเพียงเบาๆ
ปลายนิ้วของสาวน้อย นุ่มนวลอย่างยิ่ง
สะเก็ดไฟที่พึ่งจะถูกสะกิดขึ้นมาในใจของท่านเจ้าสำนักเมื่อครู่ อยู่ๆก็ถูกจุดขึ้นมาอีก
ริมฝีปากที่แดงราวเปลวไฟของเขา ชักจะแห้งผาดขึ้นมาแล้ว
เขาได้แต่ขบเม้มริมฝีปาก ทรวงอกก็กระเพื่อมไม่มีหยุด สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ คิดจะกดความรู้สึกแปลกประหลาดเหล่านั้นลงไป
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ท่านเจ้าสำนักมีพรสวรรค์ในการปกปิดความรู้สึก เก็บซ่อนการแสดงออกภายนอกได้ดีเช่นเดียวกับซื่อมั่ว
เพราะแม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่อาจสังเกตออก
พอปลายนิ้วของลูกศิษย์น้อยลูบไล้อยู่ไปมา เพลิงที่เก็บกดเอาไว้ในใจก็กักขังไม่อยู่อีกต่อไป
ยังดีที่ท่านเจ้าสำนักฉลาดพอที่จะหาเรื่องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เป็นท่านตาของเจ้าจริงๆ?”
ตอนนี้เหล่ากระเรียนเซียนต่างก็ถอยออกไปหมด รอบข้างไม่มีผู้คนแม้แต่คนเดียว ต่อให้พูดความจริงออกมาก็ไม่มีใครได้ยินแล้ว
มือของตู๋กูซิงหลันหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ทายาให้เขาต่อไป
ที่นอกหน้าต่าง บนเรือนยอดของต้นไห่ถางที่ใหญ่ที่สุด มีเงาสีดำร่างหนึ่งนั่งอยู่
บนหลังคาห้องที่ตู๋กูซิงหลันพักอยู่ มีแสงสะท้อนจากแผ่นกระเบื้อง
จากมุมที่เขานั่งอยู่ เมื่ออาศัยแสงสว่างที่สะท้อนจากกระเบื้องแผ่นนั้น ก็ทำให้สามารถมองเห็นสภาพภายในห้องได้พอดี
กับเจ้าสำนักหยินหยาง หลานสาวตัวน้อยออกจะไม่ระวังป้องกัน…..มากเกินไปหน่อยแล้ว
ด้วยการฝึกฝนของเขา ถึงแม้จะอยู่ห่างกันไกลถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังสามารถได้ยินคนทั้งสองพูดคุยกันได้อยู่
พอเจ้าสำนักหยินหยางถามคำถามนั้นออกมา ฟ่านอิงก็พลอยตื่นเต้นเอาจริงเอาจังขึ้นมา
สายลมโชยเบาๆ จนสามารถได้ยินเสียงกลีบดอกไม้ร่วง
ผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงค่อยได้ยินเสียงสาวน้อยเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“แน่นอนว่าต้องใช่อยู่แล้ว คนที่ท่านย่ารักอย่างลึกล้ำ จะไม่ใช่ท่านตาของข้าได้อย่างไร?”
น้ำเสียงของนางแสนจะอบอุ่น อบอุ่นเข้าไปถึงในใจผู้คน
ในตอนนั้นเอง ฟ่านอิงก็รู้สึกว่าหัวใจกระตุก
นางจะใช่หลานสาวของตนจริงๆหรือไม่ หากว่าเขาต้องการจะรู้ ก็พอจะมีวิธีพิสูจน์ได้อยู่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ในตอนนี้ เขากลับไม่ต้องการจะพิสูจน์อีกแล้ว
คำพูดของสาวน้อยจะเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
เขา ‘มีชีวิต’ อยู่มานานถึงเพียงนี้ ได้พบได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมของผู้คนมามากมาย ไอสังหารและกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นที่มี ไหนเลยจะถูกคำพูดเพียงไม่กี่คำของสาวน้อยผู้นั้นล่อลวงเอาได้?
เขามีหรือจะเชื่อว่า สาวน้อยผู้นั้นปราศจากจุดประสงค์ใดๆ?
แต่เพราะว่า…..นางคือหลานสาวแท้ๆของอาเย่วต่างหาก
นี่คือเรื่องจริงแท้แน่นอน ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
เดิมทีเขาคิดว่าตนเองจะต้องเคียดแค้นอาเย่วอย่างยิ่ง แต่ว่าพอถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่า แม้แต่กับเด็กรุ่นหลังที่เป็นหลานสาวของนาง เขาก็ยังไม่คิดจะลงมือ
ลูกหลานของนาง……ก็เหมือนเป็นลูกหลานของตนเอง
…………….
ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันทอดถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ใต้หล้านี้มีเรื่องให้เสียดายอยู่มากมาย ท่านยายถูกบีบคั้นมาชั่วชีวิต หากนางได้รู้ว่าท่านตายังคงมีชีวิตอยู่ล่ะก็ แม้จะอยู่ในปรโลกก็คงปลื้มใจ….”
ประโยคนี้นางกล่าวจากใจจริง ทั้งฟ่านอิงและแคว้นกู่เย่วล้วนเป็นปมทุกข์ในใจของท่านยาย
ดังนั้นนางอายุยังไม่ทันถึงห้าสิบปี ก็จากไปเสียแล้ว
หากว่าเป็นไปได้ ตู๋กูซิงหลันย่อมยินดีจะรักและเคารพฟ่านอิงเหมือนดั่งตนเองเป็นหลานสาวแท้ๆ
ถึงแม้ว่านางจะมีจุดประสงค์เล็กๆของตนเองอยู่บ้าง แต่ว่าจุดประสงค์นั้นก็มิได้เป็นอันตรายใดๆต่อฟ่านอิง
ท่านเจ้าสำนักได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็ถอนใจออกมา หัวคิ้วขมวดขึ้นน้อยๆ
“ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องมีเรื่องเสียดายในชีวิต”
เขาพูดพลาง ก็ยื่นมือออกมานวดหัวคิ้วของนางเบาๆ “อาจารย์ไม่ชอบเห็นเจ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อาจารย์อยากเห็นเจ้าหัวเราะ”
ตู๋กูซิงหลัน “หัวเราะกับค้อนน่ะสิ”
เวลาแบบนี้ใครยังจะยิ้มออกได้กัน?
“อาจารย์ทำผิดอะไร เจ้าถึงได้หัวเราะอาจารย์?” ท่านเจ้าสำนักทำสีหน้าไม่เข้าใจ ทั้งยังครุ่นคิดอย่างละเอียด ราวกับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดต่อศิษย์น้อยจริงๆ
หรือจะเป็นเพราะเมื่อครู่ไม่ได้ปล่อยให้นางกลั่นแกล้งถึงที่สุดนะหรือ?
เอาเถอะ….. หากว่านางชมชอบกลั่นแกล้งเขาเช่นนั้นจริงๆ เขาก็จะฝืนยอมรับเอาไว้ก็ได้
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน หนอย ตู๋กูต้าฉุย นี่เขาช่างรู้จักยัดเยียดตนเองเข้ามาจริงๆ
ค้อน (ฉุยจือ) ก็คือตัวเขามิใช่หรือ?
ความโศกเศร้าในหัวใจที่ไม่อาจบ่งบอกออกมาได้เมื่อครู่ ตอนนี้พอถูกท่านอาจารย์ต้าฉุยเย้าแหย่เข้าก็ผ่อนคลายลง
ถึงแม้ว่า…..ท่านอาจารย์ต้าฉุยจะน่าเบื่อหน่ายและทำตัวเอาจริงเอาจังอยู่เสมอ แต่เวลาที่โง่งมทำตัวไร้เดียงสาขึ้นมาก็น่ารักอยู่ไม่น้อย
…………….
ใต้เกาะลอยฟ้า หลังจากที่รอคอยจนพระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ก็ยังไม่เห็นว่าบนเกาะจะมีผลลัพธ์ใดๆออกมา
“หรือว่าพยัคฆ์สองตัวต่อสู้กัน ก็เลยต่างจบสิ้นกันไปแล้ว?”
“ถูกลมปีศาจนี่พัดโกรกมาทั้งคืน ข้าใกล้จะแข็งตายอยู่แล้วนะ”
“ไม่มีใครสามารถขึ้นไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้เลยหรือ?”
“เจ้าเก่งเจ้าก็ขึ้นไปสิ นั่นเป็นเกาะลอยฟ้าของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เจ้าคิดว่าเป็นร้านน้ำชา นึกจะไปก็ไปได้หรือ?”
………………….
เจ้าแคว้นทองได้ยินผู้คนบ่นพึมพำ ในใจก็รู้สึกว้าวุ่นขึ้นมา
ไม่สิ…..ไยเหตุการณ์จึงไม่ได้ดำเนินไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้?
ตัวมารร้ายอย่างเจ้าสำนักหยินหยางผู้นั้น ประมือกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน สมควรบาดเจ็บหนักทั้งสองฝ่าย หรืออย่างน้อย ก็ต้องมีคนหนึ่งลงมาจากบนเกาะลอยฟ้าสิ?
ทำไมถึงได้ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆตลอดทั้งคืน?
กลับเป็นพวกเขาที่เฝ้ายามอยู่ตลอดทั้งคืน จนจิตใจอ่อนล้าไปหมดแล้ว
ในที่สุด ตอนที่ท้องฟ้าเบิกออกยามรุ่งอรุณ กระเรียนเซียนบนเกาะลอยฟ้าค่อยส่งเสียงร้องขึ้นมา
“นั่นๆๆๆ ดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวแล้วมิใช่หรือ!”
ผู้คนต่างก็เกิดความตื่นตัวขึ้นมา ครุ่นคิดไปว่าจะได้ทราบข่าวคราวอะไรจากกระเรียนเซียน
เห็นกระเรียนเซียนกางปีกถลาบินมาในอากาศ จากนั้นก็แปลงกายเป็นหนุ่มน้อยในชุดขาวอันงดงาม
“วันนี้คือวันงานเทศกาลหมื่นบุปผาชาติ พวกท่านมารอคอยอยู่ที่ใต้เกาะของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเพราะเหตุใด?”
ผู้คนทั้งหลาย “……” พวกเราเฝ้าอยู่นี่กันมาทั้งคืนแล้ว ตอนนี้เจ้าค่อยมาถามว่ามาทำอะไรน่ะหรือ?
ยังคงเป็นเจ้าแคว้นทองที่ออกตัวกล่าวแทนผู้อื่น “เมื่อวานพวกเราเห็นเจ้าสำนักหยินหยางมารร้ายผู้นั้น นำมารน้อยศิษย์ของเขาขึ้นไปบนเกาะ พวกเราต่างก็เป็นห่วงความปลอดภัยของท่านเจ้าตำหนัก ดังนั้นจึงรอคอยอยู่ที่นี่ หากท่านเจ้าตำหนักมีบัญชาใดลงมา พวกเราจะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที”
“ใช่แล้วๆ”
คนอื่นๆต่างก็ร้องสนับสนุน
สีหน้าของกระเรียนหนุ่มยังคงมิได้เปลี่ยนแปลง
“ท่านเจ้าตำหนักไม่มีอันตราย ขอให้ทุกท่านแยกย้ายกันได้แล้ว เชิญร่วมงานหมื่นบุปผชาติตามสบาย ไม่จำเป็นต้องมาเฝ้ารอใต้เกาะของพวกเราแล้ว”
ว่าแล้วก็ได้ยินเขากล่าวเสริมขึ้นมาอีกว่า
“ยามอู่ (ยามเที่ยง) วันนี้ ท่านเจ้าตำหนักจะมาร่วมชื่นชมบรรยากาศของงานหมื่นบุปผชาติกับทุกท่านด้วยตนเอง”
พอเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทุกคนต่างก็มีคำตอบในใจแล้ว
เช่นนี้ก็หมายความว่า มารใหญ่มารน้อยของสำนักหยินหยาง ต่างตายจนกระดูกเย็นไปแล้วกระมั้ง?
ช่างเหนือความคาดหมาย เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่า ตอนแข่งขันสุดยอดการประลอง เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเพียงแต่แบ่งภาคร่างออกมารับศึก วันนี้ได้เห็นเช่นนี้ ดูท่าจะเป็นจริงแล้ว
…………………..