ตอนที่ 574 จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องมีเรื่องเสียดายในชีวิต

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ท่านเจ้าสำนัก “…….” 

 

 

ความเงียบงันครอบคลุมไปในอากาศ ช่างน่าอับอาย 

 

 

ศิษย์น้อยเป็นตัวร้าย เมื่อครู่นี้นางยังยั่วยวนเขาอยู่เลย นาทีถัดมากลับเปลี่ยนทีท่าเป็นทายาให้เขาอย่างเอาจริงเอาจัง 

 

 

ศิษย์เช่นนี้ ขาดการทุบตีจริงๆ 

 

 

สมควรจับมาตีสักรอบ! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกลับไม่สนใจว่าเขาจะคิดเห็นอย่างไร ปลายนิ้วของนางป้ายเนื้อยาสีขาวออกมา ทาลงบางๆบนบาดแผลของเขา 

 

 

ปากแผลนี้ดูเล็กบางมาก แต่ว่ากลับลึก ดูท่าจะไม่มีพิษ 

 

 

ในคิดอยู่ในใจว่า หากใบหน้าที่น่าดูเช่นนี้มีรอยแผลเป็น นั่นจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพียงไร 

 

 

นางทายาให้อย่างเบามือ ปลายนิ้วไล้กลับไปกลับมาบนปากแผลเพียงเบาๆ 

 

 

ปลายนิ้วของสาวน้อย นุ่มนวลอย่างยิ่ง 

 

 

สะเก็ดไฟที่พึ่งจะถูกสะกิดขึ้นมาในใจของท่านเจ้าสำนักเมื่อครู่ อยู่ๆก็ถูกจุดขึ้นมาอีก 

 

 

ริมฝีปากที่แดงราวเปลวไฟของเขา ชักจะแห้งผาดขึ้นมาแล้ว 

 

 

เขาได้แต่ขบเม้มริมฝีปาก ทรวงอกก็กระเพื่อมไม่มีหยุด สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ คิดจะกดความรู้สึกแปลกประหลาดเหล่านั้นลงไป 

 

 

ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ท่านเจ้าสำนักมีพรสวรรค์ในการปกปิดความรู้สึก เก็บซ่อนการแสดงออกภายนอกได้ดีเช่นเดียวกับซื่อมั่ว 

 

 

เพราะแม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่อาจสังเกตออก 

 

 

พอปลายนิ้วของลูกศิษย์น้อยลูบไล้อยู่ไปมา เพลิงที่เก็บกดเอาไว้ในใจก็กักขังไม่อยู่อีกต่อไป 

 

 

ยังดีที่ท่านเจ้าสำนักฉลาดพอที่จะหาเรื่องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา 

 

 

“เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เป็นท่านตาของเจ้าจริงๆ?” 

 

 

ตอนนี้เหล่ากระเรียนเซียนต่างก็ถอยออกไปหมด รอบข้างไม่มีผู้คนแม้แต่คนเดียว ต่อให้พูดความจริงออกมาก็ไม่มีใครได้ยินแล้ว 

 

 

มือของตู๋กูซิงหลันหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ทายาให้เขาต่อไป 

 

 

ที่นอกหน้าต่าง บนเรือนยอดของต้นไห่ถางที่ใหญ่ที่สุด มีเงาสีดำร่างหนึ่งนั่งอยู่ 

 

 

บนหลังคาห้องที่ตู๋กูซิงหลันพักอยู่ มีแสงสะท้อนจากแผ่นกระเบื้อง 

 

 

จากมุมที่เขานั่งอยู่ เมื่ออาศัยแสงสว่างที่สะท้อนจากกระเบื้องแผ่นนั้น ก็ทำให้สามารถมองเห็นสภาพภายในห้องได้พอดี 

 

 

กับเจ้าสำนักหยินหยาง หลานสาวตัวน้อยออกจะไม่ระวังป้องกัน…..มากเกินไปหน่อยแล้ว 

 

 

ด้วยการฝึกฝนของเขา ถึงแม้จะอยู่ห่างกันไกลถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังสามารถได้ยินคนทั้งสองพูดคุยกันได้อยู่ 

 

 

พอเจ้าสำนักหยินหยางถามคำถามนั้นออกมา ฟ่านอิงก็พลอยตื่นเต้นเอาจริงเอาจังขึ้นมา 

 

 

สายลมโชยเบาๆ จนสามารถได้ยินเสียงกลีบดอกไม้ร่วง 

 

 

ผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงค่อยได้ยินเสียงสาวน้อยเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

“แน่นอนว่าต้องใช่อยู่แล้ว คนที่ท่านย่ารักอย่างลึกล้ำ จะไม่ใช่ท่านตาของข้าได้อย่างไร?” 

 

 

น้ำเสียงของนางแสนจะอบอุ่น อบอุ่นเข้าไปถึงในใจผู้คน 

 

 

ในตอนนั้นเอง ฟ่านอิงก็รู้สึกว่าหัวใจกระตุก 

 

 

นางจะใช่หลานสาวของตนจริงๆหรือไม่ หากว่าเขาต้องการจะรู้ ก็พอจะมีวิธีพิสูจน์ได้อยู่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ในตอนนี้ เขากลับไม่ต้องการจะพิสูจน์อีกแล้ว 

 

 

คำพูดของสาวน้อยจะเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป 

 

 

เขา ‘มีชีวิต’ อยู่มานานถึงเพียงนี้ ได้พบได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมของผู้คนมามากมาย ไอสังหารและกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นที่มี ไหนเลยจะถูกคำพูดเพียงไม่กี่คำของสาวน้อยผู้นั้นล่อลวงเอาได้? 

 

 

เขามีหรือจะเชื่อว่า สาวน้อยผู้นั้นปราศจากจุดประสงค์ใดๆ? 

 

 

แต่เพราะว่า…..นางคือหลานสาวแท้ๆของอาเย่วต่างหาก 

 

 

นี่คือเรื่องจริงแท้แน่นอน ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ 

 

 

เดิมทีเขาคิดว่าตนเองจะต้องเคียดแค้นอาเย่วอย่างยิ่ง แต่ว่าพอถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่า แม้แต่กับเด็กรุ่นหลังที่เป็นหลานสาวของนาง เขาก็ยังไม่คิดจะลงมือ 

 

 

ลูกหลานของนาง……ก็เหมือนเป็นลูกหลานของตนเอง 

 

 

……………. 

 

 

 

 

 

ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันทอดถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ใต้หล้านี้มีเรื่องให้เสียดายอยู่มากมาย ท่านยายถูกบีบคั้นมาชั่วชีวิต หากนางได้รู้ว่าท่านตายังคงมีชีวิตอยู่ล่ะก็ แม้จะอยู่ในปรโลกก็คงปลื้มใจ….” 

 

 

ประโยคนี้นางกล่าวจากใจจริง ทั้งฟ่านอิงและแคว้นกู่เย่วล้วนเป็นปมทุกข์ในใจของท่านยาย 

 

 

ดังนั้นนางอายุยังไม่ทันถึงห้าสิบปี ก็จากไปเสียแล้ว 

 

 

หากว่าเป็นไปได้ ตู๋กูซิงหลันย่อมยินดีจะรักและเคารพฟ่านอิงเหมือนดั่งตนเองเป็นหลานสาวแท้ๆ 

 

 

ถึงแม้ว่านางจะมีจุดประสงค์เล็กๆของตนเองอยู่บ้าง แต่ว่าจุดประสงค์นั้นก็มิได้เป็นอันตรายใดๆต่อฟ่านอิง 

 

 

ท่านเจ้าสำนักได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็ถอนใจออกมา หัวคิ้วขมวดขึ้นน้อยๆ 

 

 

“ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องมีเรื่องเสียดายในชีวิต” 

 

 

เขาพูดพลาง ก็ยื่นมือออกมานวดหัวคิ้วของนางเบาๆ “อาจารย์ไม่ชอบเห็นเจ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อาจารย์อยากเห็นเจ้าหัวเราะ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “หัวเราะกับค้อนน่ะสิ” 

 

 

เวลาแบบนี้ใครยังจะยิ้มออกได้กัน? 

 

 

“อาจารย์ทำผิดอะไร เจ้าถึงได้หัวเราะอาจารย์?” ท่านเจ้าสำนักทำสีหน้าไม่เข้าใจ ทั้งยังครุ่นคิดอย่างละเอียด ราวกับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดต่อศิษย์น้อยจริงๆ 

 

 

หรือจะเป็นเพราะเมื่อครู่ไม่ได้ปล่อยให้นางกลั่นแกล้งถึงที่สุดนะหรือ? 

 

 

เอาเถอะ….. หากว่านางชมชอบกลั่นแกล้งเขาเช่นนั้นจริงๆ เขาก็จะฝืนยอมรับเอาไว้ก็ได้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน หนอย ตู๋กูต้าฉุย นี่เขาช่างรู้จักยัดเยียดตนเองเข้ามาจริงๆ 

 

 

ค้อน (ฉุยจือ) ก็คือตัวเขามิใช่หรือ? 

 

 

ความโศกเศร้าในหัวใจที่ไม่อาจบ่งบอกออกมาได้เมื่อครู่ ตอนนี้พอถูกท่านอาจารย์ต้าฉุยเย้าแหย่เข้าก็ผ่อนคลายลง 

 

 

ถึงแม้ว่า…..ท่านอาจารย์ต้าฉุยจะน่าเบื่อหน่ายและทำตัวเอาจริงเอาจังอยู่เสมอ แต่เวลาที่โง่งมทำตัวไร้เดียงสาขึ้นมาก็น่ารักอยู่ไม่น้อย 

 

 

……………. 

 

 

ใต้เกาะลอยฟ้า หลังจากที่รอคอยจนพระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ก็ยังไม่เห็นว่าบนเกาะจะมีผลลัพธ์ใดๆออกมา 

 

 

“หรือว่าพยัคฆ์สองตัวต่อสู้กัน ก็เลยต่างจบสิ้นกันไปแล้ว?” 

 

 

“ถูกลมปีศาจนี่พัดโกรกมาทั้งคืน ข้าใกล้จะแข็งตายอยู่แล้วนะ” 

 

 

“ไม่มีใครสามารถขึ้นไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้เลยหรือ?” 

 

 

“เจ้าเก่งเจ้าก็ขึ้นไปสิ นั่นเป็นเกาะลอยฟ้าของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เจ้าคิดว่าเป็นร้านน้ำชา นึกจะไปก็ไปได้หรือ?” 

 

 

…………………. 

 

 

 

 

 

เจ้าแคว้นทองได้ยินผู้คนบ่นพึมพำ ในใจก็รู้สึกว้าวุ่นขึ้นมา 

 

 

ไม่สิ…..ไยเหตุการณ์จึงไม่ได้ดำเนินไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้? 

 

 

ตัวมารร้ายอย่างเจ้าสำนักหยินหยางผู้นั้น ประมือกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน สมควรบาดเจ็บหนักทั้งสองฝ่าย หรืออย่างน้อย ก็ต้องมีคนหนึ่งลงมาจากบนเกาะลอยฟ้าสิ? 

 

 

ทำไมถึงได้ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆตลอดทั้งคืน? 

 

 

กลับเป็นพวกเขาที่เฝ้ายามอยู่ตลอดทั้งคืน จนจิตใจอ่อนล้าไปหมดแล้ว 

 

 

ในที่สุด ตอนที่ท้องฟ้าเบิกออกยามรุ่งอรุณ กระเรียนเซียนบนเกาะลอยฟ้าค่อยส่งเสียงร้องขึ้นมา 

 

 

“นั่นๆๆๆ ดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวแล้วมิใช่หรือ!” 

 

 

ผู้คนต่างก็เกิดความตื่นตัวขึ้นมา ครุ่นคิดไปว่าจะได้ทราบข่าวคราวอะไรจากกระเรียนเซียน 

 

 

เห็นกระเรียนเซียนกางปีกถลาบินมาในอากาศ จากนั้นก็แปลงกายเป็นหนุ่มน้อยในชุดขาวอันงดงาม 

 

 

“วันนี้คือวันงานเทศกาลหมื่นบุปผาชาติ พวกท่านมารอคอยอยู่ที่ใต้เกาะของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเพราะเหตุใด?” 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “……” พวกเราเฝ้าอยู่นี่กันมาทั้งคืนแล้ว ตอนนี้เจ้าค่อยมาถามว่ามาทำอะไรน่ะหรือ? 

 

 

ยังคงเป็นเจ้าแคว้นทองที่ออกตัวกล่าวแทนผู้อื่น “เมื่อวานพวกเราเห็นเจ้าสำนักหยินหยางมารร้ายผู้นั้น นำมารน้อยศิษย์ของเขาขึ้นไปบนเกาะ พวกเราต่างก็เป็นห่วงความปลอดภัยของท่านเจ้าตำหนัก ดังนั้นจึงรอคอยอยู่ที่นี่ หากท่านเจ้าตำหนักมีบัญชาใดลงมา พวกเราจะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที” 

 

 

“ใช่แล้วๆ” 

 

 

คนอื่นๆต่างก็ร้องสนับสนุน 

 

 

สีหน้าของกระเรียนหนุ่มยังคงมิได้เปลี่ยนแปลง 

 

 

“ท่านเจ้าตำหนักไม่มีอันตราย ขอให้ทุกท่านแยกย้ายกันได้แล้ว เชิญร่วมงานหมื่นบุปผชาติตามสบาย ไม่จำเป็นต้องมาเฝ้ารอใต้เกาะของพวกเราแล้ว” 

 

 

ว่าแล้วก็ได้ยินเขากล่าวเสริมขึ้นมาอีกว่า 

 

 

“ยามอู่ (ยามเที่ยง) วันนี้ ท่านเจ้าตำหนักจะมาร่วมชื่นชมบรรยากาศของงานหมื่นบุปผชาติกับทุกท่านด้วยตนเอง” 

 

 

พอเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทุกคนต่างก็มีคำตอบในใจแล้ว 

 

 

เช่นนี้ก็หมายความว่า มารใหญ่มารน้อยของสำนักหยินหยาง ต่างตายจนกระดูกเย็นไปแล้วกระมั้ง? 

 

 

ช่างเหนือความคาดหมาย เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่า ตอนแข่งขันสุดยอดการประลอง เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเพียงแต่แบ่งภาคร่างออกมารับศึก วันนี้ได้เห็นเช่นนี้ ดูท่าจะเป็นจริงแล้ว 

 

 

…………………..