ตอนที่ 575 ชมหมื่นบุปผชาติ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยามนี้ในใจของทุกคนต่างเกิดความยำเกรงตำหนักซิวหลัวเตี้ยนขึ้นมามากกว่าเดิม 

 

 

เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนสามารถมาร่วมงานหมื่นบุปผชาติในยามเที่ยง อย่างน้อยๆก็แสดงให้เห็นว่าเขามิได้รับบาดเจ็บหนัก 

 

 

ส่วนเจ้ามารร้ายนั้นคงจะถูกสังหารจนกระดูดป่นไปแล้ว นี่เป็นการบอกพวกเขาเป็นนัยว่าเจ้าสำนักหยินหยางที่ร้ายกาจผู้นั้นพ่ายแพ้ไปแล้ว 

 

 

นับจากวันนี้ไป ตำแหน่งประมุขผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดนจิ่วโจวก็คือตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่แม้แต่ฟ้าก็ไม่อาจโยกคลอนนั่นเอง 

 

 

จากนี้ไป เมื่อพวกเขาพบเจอกับคนของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ย่อมต้องให้ความเคารพนอบน้อมมากกว่าเดิม 

 

 

ฝูงชนต่างก็คลายความกังวลใจไปตามๆกัน จึงพากันแสดงความเคารพต่อกระเรียนเซียนออกมา 

 

 

“นี่ย่อมแน่นอน ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ท่านเจ้าตำหนักไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะไปคอยรอรับท่านเจ้าตำหนักมาร่วมงานหมื่นบุปผชาติ” 

 

 

ว่าแล้ว เจ้าแคว้นทองก็ปลีกตัวออกไปเป็นคนแรก พอเขาจากไปคนอื่นๆก็พากันทยอยตามออกไป 

 

 

ในเมื่อเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนสังหารเจ้าสำนักหยินหยางไปแล้วย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถือเป็นการประหยัดเรี่ยวแรงของพวกเขาไป 

 

 

ดูเอาเถอะว่าเจ้ามารร้ายเจ้าสำนักหยินหยางผู้นั้น ฮึกเหิมลำพองถึงเพียงไหน 

 

 

ก่อนหน้านี้ยังให้สัญญาอย่างแข็งขันกับศิษย์ของเขา ว่าจะเป็นศัตรูกับดินแดนจิ่วโจวทั้งหมด 

 

 

คำพูดนั้นย่อมพูดได้อย่างน่าฟัง แต่ว่าคงต้องดูตนเองมีความสามารถหรือไม่ก่อนละมั้ง? 

 

 

พอเขาเอาชนะในสุดยอดการประคองได้ ก็คิดว่าตนเองเก่งกาจจนไร้ผู้ต่อต้าน คิดว่าในดินแดนจิ่วโจวไม่มีใครสามารถจะจัดการเขาได้อีกแล้วหรือ? 

 

 

เห็นไหม ตอนนี้โดนตบหน้าเข้าแล้วล่ะสิ? 

 

 

คงจะถูกตำหนักซิวหลัวเตี้ยนสำเร็จโทษไปเรียบร้อยแล้ว! 

 

 

นี่มันไม่ใช่แค่ตบหน้า แต่ว่าต้องชดใช้ชีวิตไปเลยเป็นไงล่ะ! 

 

 

ผู้คนต่างก็รู้สึกสะใจขึ้นมา ต่างก็พากันแยกย้ายไปส่งข่าว 

 

 

ท้องฟ้าของเมืองว่านฮวาเฉิงคล้ายจะเป็นสีฟ้าเข้มอยู่เสมอ วันนี้สีฟ้ายิ่งเข้มกว่าเดิม แม้แต่ก้อนเมฆก็ขาวกระจ่างเป็นพิเศษ 

 

 

กลิ่นหอมสดชื่นของมวลดอกไม้ในอากาศยิ่งเข้มข้น 

 

 

สถานที่จัดงานหมื่นบุปผาอยู่ใต้เกาะลอยฟ้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของเมืองว่านฮวาเฉิง เกาะลอยฟ้าแห่งนั้นแม้จะไม่ใหญ่โตเทียบเท่าเกาะลอยฟ้าของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน แต่ไอทิพย์บนเกาะก็เข้มข้น เพียงแค่ไอทิพย์จากด้านบนที่เคลื่อนลงมา ก็ระยิบระยับวาววับจนสามารถมองเห็นได้แม้ตาเปล่า 

 

 

ใต้แสงที่สาดส่องลงมาราวม่านแสง คือสวนดอกไม้ที่กว้างใหญ่ราวสิบสนามฟุตบอล 

 

 

ดอกไม้ในสวนที่ปลูกเอาไว้ในยามนี้มีสารพัดสี ดอกไม้บางดอกยังไม่ทันได้ผลิบาน ดอกตูมล้วนตั้งช่อรออยู่แล้ว 

 

 

ท่ามกลางสวนดอกไม้ เต็มไปด้วยร้านรวงเล็กๆมากมาย 

 

 

บ้างก็ขายยาสมุนไพร บ้างขายหินวิญญาณ บ้างก็ขายอาวุธวิญญาณ และมีขายแม้กระทั่งสัตว์อสูรวิญญาณด้วย 

 

 

ในงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติ เป็นงานเทศกาลที่สนุกคึกครื้นที่สุดในดินแดนจิ่วโจว 

 

 

พอถึงยามเย็นก็จะมีการแสดงฝนบุปผาใต้แสงจันทร์ ในเวลานั้น ดวงจันทร์จะทอแสงเข้มข้น โคมลอยนับพันนับหมื่นใบจะขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาเดียวกัน ยามที่โคมลอยทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กลีบดอกไม้จำนวนมากจะปลิวลงมาจากท้องฟ้าไม่มีหยุด ไม่ต้องบอกเลยว่าบรรยากาศจะงดงามน่าชมเป็นพิเศษขนาดไหน 

 

 

ทุกครั้งที่มีการจัดงานหมื่นบุปผชาติ เมืองว่านฮวาเฉิงก็จะกลายเป็นศูนย์รวมของผู้คนหลากหลายแบบ 

 

 

เรียกว่ามีผู้คนมากจากทั่วสารทิศจนเต็มถนนไปหมด 

 

 

ยังไม่ทันจะถึงยามเที่ยง แต่ว่าเจ้าแคว้นของห้าแคว้นใหญ่ต่างก็ทยอยกันมาจนครบแล้ว 

 

 

กลางสวนดอกไม้ มีกระโจมพิเศษที่ติดสัญลักษณ์ของทองคำ ไม้ น้ำ ไฟและดิน ตกแต่งอย่างแตกต่างกันไป ทั้งหมดนี้เป็นกระโจมของเจ้าแคว้นทั้งห้า 

 

 

ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนั้นเป็นกระโจมหลังใหญ่สีดำสนิท ด้านนอกปักธงเอาไว้เสาหนึ่ง บนธงมีอักษร ‘ซิวหลัว’ สองตัวเขียนเอาไว้ 

 

 

เพียงแค่ได้เห็นอักษรสองตัวนี้ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้แม้แต่ครึ่งก้าวแล้ว 

 

 

ดูแล้วก็ราวกับว่าจะเป็นเรื่องจงใจ กระโจมของสำนักหยินหยางอยู่ที่ด้านข้างของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนี้เอง 

 

 

เป็นกระโจมสีขาวสลับดำ ขนาดมิได้ใหญ่โตเท่ากับตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ที่ด้านหน้ามีศิษย์ในสำนักที่สีหน้าไม่สู้ดีหลายคนคอยเฝ้าอยู่ที่ปากประตูกระโจม 

 

 

ข่าวที่เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนล้มเจ้าสำนักหยินหยางลงได้นั้น…..พวกเขาต่างก็ได้รับแล้ว 

 

 

ถึงแม้ว่าท่านเจ้าสำนักคนใหม่จะเย่อหยิ่งเย็นชา ผลักไสผู้คนออกไปจนไกลโพ้นนับพันลี้ แต่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเป็นเจ้าสำนักของพวกเขา 

 

 

แต่กลับมาตายอย่างไม่มีผู้ใดรู้ไม่มีใครเห็นภายใต้น้ำมือของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเสียแล้ว…. 

 

 

จะมากจะน้อยก็ทำให้ผู้คนไม่อาจกล้ำกลืนโทสะลงไปอยู่บ้าง 

 

 

มีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่า เมื่ออยู่ในเมืองว่านฮวาเฉิง ถึงตอนนี้พวกเขาถูกมองด้วยสายตาเยาะเย้ยไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว 

 

 

แต่ว่าพวกเขาก็ไม่กล้าไปหาเรื่องกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เพราะนั่นยิ่งมิใช่เท่ากับหาเรื่องตายเร็วหรอกหรือ? 

 

 

พวกเขาก็ยังไม่ได้อยากทิ้งชีวิตจนถึงขั้นนั้นเสียหน่อย 

 

 

แต่ว่าดูเอาเถอะ คนพวกนั้นแต่ละคนต่างก็มาคอยเฝ้ามองอยู่รอบๆตำหนักซิวหลัวเตี้ยน แต่ละคนอยากจะประจบประแจงจนแทบจะเอาหน้าร้อนๆของตนเองไปประกบก้นเย็นๆของผู้อื่นแล้ว 

 

 

มีความสามารถก็เข้าไปข้างในสิ จะมาทำเป็นชะเง้อดูอยู่ด้านนอกทำไม 

 

 

ในกระโจมของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน พี่รองที่หน้าเขียวคล้ำยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง 

 

 

เมื่อคืนก่อนเพราะได้รับบาดเจ็บ พิษจึงกำเริบ เขาถึงกับสลบไปสองวันเต็มๆ 

 

 

พอตื่นขึ้นมาพอได้ทราบว่าเจ้าสำนักหยินหยางกับลูกศิษย์ของเขาตายไปแล้ว 

 

 

พี่รองก็แทบจะกระอักเลือดในอกออกมา 

 

 

พิษที่พึ่งจะควบคุมเอาไว้ได้ แทบจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

“ใต้เท้าอั้นซื่อ (สายลับ) สีหน้าของท่านมิสู้ดีเลยนะ…..ยามเที่ยงท่านเจ้าตำหนักจะเดินทางมาด้วยตนเอง หากว่าได้เห็นท่านที่เป็นเช่นนี้ ท่านเจ้าตำหนักคงจะไม่พอใจเป็นแน่” 

 

 

สาวใช้ที่อยู่ข้างกายถือโอกาสในยามนี้เตือนเสียงเบา 

 

 

นับตั้งแต่ที่ตู๋กูเจวี๋ยเข้าสู่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ยังไม่เคยได้พบหน้าท่านเจ้าตำหนัก เขาอยู่ภายใต้การบัญชาของต้าซือมิ่ง หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดล้วนเป็นต้าซือมิ่งส่งมอบให้กับเขา แม้แต่ก่อนหน้านี้ที่ให้เป็นคนส่งสารเชื้อเชิญไป ก็เป็นต้าซือมิ่งมอบให้ 

 

 

วันนี้ จะเป็นครั้งแรกที่เขาจะได้พบหน้าท่านเจ้าตำหนัก 

 

 

แต่ว่าในตอนนี้ เขากลับไม่มีอารมณ์จะมารอพบเจ้าตำหนักเลยสักนิด ในใจของเขาห่วงแต่น้องเล็กของตนเอง 

 

 

น้องเล็กเก่งกาจถึงเพียงนั้น ไม่มีทางจะตายอย่างง่ายๆไปอย่างแน่นอน 

 

 

สาวใช้เห็นเขาไม่สนใจนาง ก็ไม่พูดอะไรอีก 

 

 

สถานที่อย่างตำหนักซิวหลัวเตี้ยน กินคนโดยไม่ถ่มกระดูก หากมิใช่เพราะเห็นว่าเขาหน้าตาดี นางคงไม่คิดจะเอ่ยเตือนแม้แต่คำเดียว 

 

 

ผลลัพธ์กลับเป็นว่าผู้อื่นก็มิได้รับน้ำใจเลยสักนิด 

 

 

…………………. 

 

 

พอใกล้ยามเที่ยง ดอกไม้ที่ตอนแรกยังตูมอยู่ก็พากันคลี่กลีบแล้ว ทั้งยังบานสะพรั่งอย่างงดงามพร้อมกัน 

 

 

สายตาของผู้คนต่างก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางกระโจมของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 

 

 

ต่างก็รอคอยการมาเยือนของเจ้าตำหนัก 

 

 

อย่างน้อยๆเขาก็เป็นผู้ที่กำจัดจอมมารตัวร้ายนั่นทิ้งไป นับได้ว่าเป็นวีรบุรุษคนหนึ่งกระมั้ง? 

 

 

ตอนนี้เมื่อสิ้นเจ้าสำนักหยินหยางไปแล้ว พวกเขาสมควรจะประจบประแจงเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนให้ดีจึงจะถูก 

 

 

ต่อให้ประจบไม่สำเร็จ ก็ยกเอาไว้ให้เหมือนเป็นบรรพชนของตนเอง วันเวลาในภายภาคหน้าเมื่ออยู่ในจิ่วโจวจะได้สงบสุขได้บ้าง 

 

 

ตั้งแต่ยามเช้ามา สีหน้าของเจ้าแคว้นทองคำก็ยิ้มแย้มราวกับดอกเก็กฮวยอยู่แล้ว 

 

 

ที่จริงพอคิดๆดูแล้ว ตอนนั้นเขากับต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ต่างก็ถูกเหยียดหยาม ขับไล่ออกมาจากสำนักหยินหยางพร้อมๆกัน จะมากจะน้อยย่อมเกิดน้ำใจต่อกันขึ้นมาอยู่บ้าง ตอนนี้เขาก็เพียงแต่เป็นหอสูงใกล้น้ำ ได้รับแสงจันทร์ก่อนเท่านั้นเองมิใช่หรือ? 

 

 

ในบรรดาห้าแคว้นใหญ่ เขาย่อมร่ำรวยที่สุด ดังนั้นเขาย่อมสามารถสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยนได้ดีที่สุดอยู่แล้ว 

 

 

พอเจ้าสำนักหยินหยางตายไป ก้อนหินที่กดอยู่บนหัวใจของเขาก็นับว่าวางลงได้แล้ว ดังนั้นเขาย่อมดีใจกว่าผู้ใด 

 

 

ดังนั้นจึงมิวายคอยพูดจาอวดโอ้ใส่เจ้าแคว้นคนอื่นๆอยู่ตลอดเวลา 

 

 

พอถึงยามเที่ยง ก็เห็นมีหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งเหาะมาจากทิศที่ตั้งของเหล่าจุ้ยเซียนจู 

 

 

เพียงแต่ว่าครั้งนี้หมอกสีดำนั่นใหญ่โตกว่าเดิมมากแล้ว 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างก็คุ้นเคยกับบรรยากาศราวกับปีศาจที่ออกมาจากหุบเขาสีดำนั้นแล้ว จึงมิได้มีความหวาดกลัวไปกว่าเมื่อก่อน 

 

 

แต่ละคนต่างก็พากันแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า 

 

 

เพียงครู่เดียว หมอกสีดำขนาดใหญ่กลุ่มนั้นก็เหาะลงมาบนที่ว่างระหว่างข้างกระโจมของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 

 

 

หมอกสีดำยังไม่ทันจางหาย หัวใจของผู้คนต่างก็พองฟูขึ้นมาแล้ว 

 

 

คนผู้นี้….คือผู้ที่สามารถกำราบเจ้ามารร้ายเจ้าสำนักหยินหยางลงไปได้ ดินแดนจิ่วโจวไม่อาจขาดผู้นำ สมควรแล้วที่พวกเขาจะก้มลงคำนับกราบไหว้! 

 

 

……………………………..