ตอนที่ 979 ยุ่งเรื่องชาวบ้าน

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มีเงินทอง มีกำลังคน มีความแข็งแกร่งอีกทั้งมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เย่เฉินไม่เคยหยุดที่จะดึงเมืองที่อยู่ใกล้ชิดกับเมืองเหลยมาเป็นพันธมิตร

พลังที่สะสมอยู่ในมือของเขานับวันยิ่งจะมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทว่ามันก็ยังไม่พอ!

ตั้งแต่สำนักขวางโซ่วได้เปิดเผยตัวออกมานั้น พวกนั้นไม่เพียงแค่ไม่รู้จักพอ ซ้ำยังก่อกวนเหล่าเมืองในทิศตะวันตกของทุ่งรกร้างและก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายให้แก่หลาย ๆ เมือง

เมืองเหยียนและเมืองเหลยล้วนแต่นับว่าอยู่ในเขตพื้นที่นี้ แต่ทว่าสำนักขวางโซ่วยังมิได้ลงมือกับพวกเขาเป็นการชั่วคราว

เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในทางตะวันตกคือเมืองซีเจว๋ แล้วก็เป็นเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองที่แข็งแกร่งที่สุด เมืองนี้จึงได้ส่งคำเชิญให้ทุกเมืองมารวมตัวกัน

เจ้าเมืองซีเจว๋ขอให้ทุกเมืองในทางตะวันตกทั้งหมดร่วมมือด้วยกัน เพื่อช่วยกันป้องกันสำนักขวางโซ่วที่กำลังบ้าคลั่ง

มันได้ทำลายเมืองไปแล้วหลายเมืองจึงทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยเกิดหวาดกลัว ดังนั้นเมืองใหญ่ ๆ แต่ละเมืองจึงต่างพากันเห็นด้วยกันเป็นลำดับ

พวกเขาเห็นด้วยกับการร่วมมือกัน แต่สำหรับเรื่องที่ว่าใครจะมาเป็นผู้นำทัพนั้นกลับยังเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมาโดยตลอดอย่างไม่หยุดพัก

อย่างไรเสียในพื้นที่แห่งนี้ นอกจากเมืองซีเจว๋แล้วก็ยังมีเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองอื่น ๆ อีก

หลังจากที่เมืองใหญ่ ๆ ขั้นสำนักนิกายระดับสองได้หารือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะจัดการประลองขึ้น หากเมืองใดได้อันดับที่หนึ่ง เช่นนั้นก็สามารถที่จะกลายเป็นผู้ที่ควบคุมทางทิศตะวันตกได้ และกลายเป็นผู้นำทัพ

เมื่อได้ยินข่าวนี้ เย่เฉินก็ได้ไปหามู่เฉียนซี

“นายท่าน นึกไม่ถึงเลยว่าการปล่อยข่าวของสำนักขวางโซ่วออกไปจะทำให้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบรับเช่นนี้ นี่มันเป็นโอกาสแก่เรา”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเลยหรือ? ว่าเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งเมืองหนึ่งจะสามารถทำให้ทั้งภาคตะวันตกของทุ่งรกร้างยอมสวามิภักดิ์ได้”

เย่เฉินกล่าว “ถ้าหากว่านายท่านยังไม่กลับมาละก็ แน่นอนว่าข้าก็ไม่มีความมั่นใจนี้หรอก แต่ทว่าท่านกลับมาแล้ว เช่นนั้นข้าเชื่อว่าจะสามารถทำได้อย่างแน่นอน”

“เตรียมตัวเดินทางไปเมืองซีเจว๋กันเถอะ! ถึงเวลาที่จะต้องยึดพื้นที่ทางตะวันตกของทุ่งรกร้างแล้ว”

เย่เฉินพยักหน้ากล่าว “ขอรับ!”

เมืองใหญ่ขั้นสำนักนิกายระดับสองได้ร่วมมือกันขึ้นมาแล้ว หากทันทีที่มีเมืองใดไม่ตอบตกลงในการตัดสินใจในครั้งนี้ละก็ เช่นนั้นก็รอที่จะโดนล้างบางได้เลย พวกเขาจะไม่เกิดความเมตตาและอ่อนมือให้เป็นแน่

ดังนั้นเมืองทั้งหมดที่มีมากกว่าร้อยในภาคตะวันตกไม่มีใครที่จะกล้าไม่เห็นพ้องตกลง

วันเวลาในการเดินทางไปประลองยังเมืองซีเจว๋ได้ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว เย่เฉินและเจ้าเมืองเหยียนที่ได้รับคำเชิญก็เตรียมตัวออกเดินทาง

“พี่เย่ ท่านพ่อ ข้าเองก็อยากไปด้วย”

เมื่อถูกพวกเขาทอดทิ้งเอาไว้ เหยียนเซี่ยฉีก็แสดงออกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

นางตามตื๊อเสียจนพวกเขาจนหนทาง เย่เฉินจึงทำได้เพียงขอให้มู่เฉียนซีช่วย

ไม่มีทางเลือกใด เหยียนเซี่ยฉีนั้นฟังเสียงของตนเองมาโดยตลอด

มู่เฉียนซีมองไปยังเหยียนเซี่ยฉีแล้วกล่าว “ในครั้งนี้อันตรายกว่าเมื่อครั้งที่ไปเข้าร่วมการประมูลนัก ดังนั้นแล้วเซี่ยฉี เจ้าอยู่ที่บ้านจะเป็นการดีกว่า เพื่อที่จะไม่ให้เย่เฉินและท่านเจ้าเมืองเหยียนเกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมา”

เมื่อได้ยินมู่เฉียนซีกล่าวว่าอันตราย เหยียนเซี่ยฉีก็อดที่จะกังวลใจไม่ได้

มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเราไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าอยู่ที่เมืองเหยียนดี ๆ รอพวกเรากลับมาก็พอแล้ว”

เหยียนเซี่ยฉีกล่าว “เฉียนซีเจ้าจะหลอกข้าไม่ได้”

“ไม่หรอก!”

มู่เฉียนซีได้ปลอบประโลมให้เหยียนเซี่ยฉีสงบลงมาได้อย่างง่ายดาย ทำให้เย่เฉินกับเจ้าเมืองเหยียนรู้สึกจนพูดอะไรไม่ออกยิ่งนัก

สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาสีดำสนิทตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในอากาศ มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!”

ในคราวนี้ได้เปลี่ยนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามตัวหนึ่ง แน่นอนว่าความเร็วของมันนั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก มันบินทะลุผ่านชั้นเมฆาไปไม่นานนักพวกเขาก็ได้มองเห็นเมืองซีเจว๋ที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางเบื้องล่างของพวกเขา

จากนั้นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาก็ได้บินร่อนลงพื้นอย่างรวดเร็ว ทหารรักษาการณ์ที่ประตูทางเข้านั้นสังเกตเห็นพวกเขาเข้าแล้วเช่นกัน

“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาระดับสาม คงจะเป็นเจ้าเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองเมืองใดเมืองหนึ่งมาถึงแล้วกระมัง!”

“อีกทั้งยังมิได้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาระดับสามแค่เพียงตัวเดียว ด้านหลังนั้นยังมีอีก!”

“เมืองใดกันที่มีเงินทองมากมายเช่นนี้?”

การมาเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ นอกจากตัวของผู้เป็นเจ้าเมืองแล้ว แน่นอนว่ายังได้พายอดฝีมือมาด้วยอีกจำนวนไม่น้อย

หลังจากที่พวกเขาได้ลงถึงบนพื้นดินแล้ว ทหารรักษาการณ์ก็ได้รีบเข้ามาทำการต้อนรับ

ซึ่งกริยาในครั้งนี้มันต่างกับเมื่อคราที่ไปเมืองชางหมางอย่างสิ้นเชิง

หัวหน้าทหารรักษาการณ์กล่าวขึ้น “ไม่ทราบว่าพวกท่านมาจากเมืองใดกัน?”

เย่เฉินกล่าว “เมืองเหลย!”

เจ้าเมืองเหยียนก็กล่าว “เมืองเหยียน!”

หัวหน้าทหารรักษาการณ์หยิบหนังสือของเมืองและขั้นสำนักนิกายออกมาแล้วไล่หาอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็หาเมืองที่ชื่อว่าเมืองเหลยและเมืองเหยียนไม่พบ

เย่เฉินกล่าว “พวกเราเป็นเพียงแค่เมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งเท่านั้น”

เมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่ง จะเป็นไปได้อย่างไร?

ในที่สุดพวกเขาก็พบเมืองเหยียนและเมืองเหลยอยู่ที่หน้าสุดท้ายของเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่ง

หนังสือเล่มนี้จัดเรียงลำดับตามความแข็งแกร่ง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเมืองทั้งสองเมืองนี้อยู่อันดับรองสุดท้ายในทางตะวันตกของทุ่งรกร้างแห่งนี้

แต่เมืองที่อยู่อันดับท้ายสุดกลับมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาจำนวนมากเช่นนี้ มันช่างทำให้รู้สึกเหลือเชื่อเกินไปแล้วกระมัง!

เย่เฉินกล่าวถามขึ้น “เมื่อได้รู้สถานะตัวตนแน่ชัดแล้ว สามารถเข้าเมืองไปได้หรือยัง?”

ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่อันดับรั้งท้ายหรือไม่ แต่การมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็หมายความว่าพวกเขาไม่อาจที่จะดูเบาคนเหล่านี้ได้

หัวหน้าทหารรักษาการณ์กล่าว “แน่นอนว่าได้ ขอเชิญทุกท่านด้านใน! ข้าจะให้คนไปจัดการเตรียมจวนชั้นดีให้แก่พวกท่าน”

แม้ว่าทั้งทางตะวันตกจะมีเมืองทั้งหมดอยู่นับร้อยแห่ง แต่ด้วยความใหญ่โตของเมืองซีเจว๋นั้นเพียงพอที่จะมอบจวนที่กว้างขวางให้แก่เมืองแต่ละเมืองที่พาคนของตนเองมา

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าไปในเมืองก็พลันเกิดลมพัดหมุนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ฝุ่นปลิวตลบอบอวน และได้มีสิ่งใหญ่โตสิ่งหนึ่งร่อนลงมายังบนพื้นดิน

เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาอีกแล้ว!

ผู้เดินลงมาจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภานั้นเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง แขนสีทองแดงที่เขาปล่อยให้เห็นเอาไว้ภายนอกนั้นสลักสักลายเอาไว้เป็นรูปพยัคฆ์สีดำตัวหนึ่ง

พวกทหารรักษาการณ์ตรงประตูเพียงแค่เห็นรอยสักนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าผู้ที่มาเยือนนั้นเป็นผู้ใดแล้ว!

ท่านผู้นี้เกรงว่าคงจะเป็นเจ้าเมืองพยัคฆ์คำรามหรือที่เรียกว่าเมืองหู่เสี้ยว

“ท่านเจ้าเมืองหู่มาแล้ว!” หัวหน้าทหารรักษาการณ์ได้เรียกให้ผู้อื่นมาทำการดูแลพวกมู่เฉียนซี แล้วเขาก็เข้าไปทำการต้อนรับเจ้าเมืองหู่เสี้ยวด้วยรอยยิ้ม

แม้ว่าเมืองหู่เสี้ยวจะเป็นเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่ง แต่ทว่ามันกลับอยู่ในตำแหน่งต้น ๆ ของเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่ง ความแข็งแกร่งนั้นก็แข็งแกร่งอยู่พอประมาณ

เมืองหู่เสี้ยวเหรอ? ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววมืดครึ้มออกมา ในตอนนั้นนายน้อยเมืองหู่ได้ยอมรับไปแล้วว่าพวกเขาเมืองหู่เสี้ยวได้ทำการร่วมมือกับสำนักขวางโซ่ว

เจ้าเมืองหู่มาที่นี้แล้ว และเจ้าเมืองชางหมางก็ได้ตามมาถึงติด ๆ ด้วยเป็นเจ้าเมืองชางหมางซึ่งเป็นเมืองการค้า เขาจึงมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาระดับสองตัวหนึ่ง

“เจ้าเฒ่า ในที่สุดเจ้าก็กล้าออกมาแล้ว”

เมื่อเจ้าเมืองหู่มองเห็นเจ้าเมืองชางแล้ว นัยน์ตาของเขาก็ได้แผ่จิตสังหารออกมาราวกับสัตว์ป่าก็มิปาน

ยังไม่ทันที่เจ้าเมืองชางจะได้ลงถึงพื้น ปรากฏว่าเจ้าเมืองหู่ก็ได้ระเบิดกำปั้นออกไป

หมัดนั้นรุนแรงราวกับพยัคฆ์ที่หลุดออกจากภูเขา มันอันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน

“เจ้าเมืองหู่!” สีหน้าของทหารรักษาการณ์เปลี่ยนไปพลัน เจ้าเมืองทั้งสองท่านนี้ยังไม่ทันที่จะเข้าประตูเมืองไปก็ได้เกิดการต่อสู้ขึ้นมาแล้ว

เจ้าเมืองชางหมางมิได้มีพลังความสามารถที่แข็งแกร่งเท่าใดนักจึงไม่สามารถที่จะหลบได้พ้นอย่างแน่นอน หากต้องหมัดนั้นเข้าไปแล้ว ถึงต่อให้ไม่ตายแต่ร่วงลงมาก็จะบาดเจ็บอย่างหนัก

เจ้าเมืองชางหมางพลันมีสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมา “บ้าจริง! ทำไมถึงได้โชคไม่ดีเช่นนี้ มาพบกับเจ้าบ้านั่นได้ คราวนี้ตายแน่แล้ว”

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เสี่ยวไป๋!”

กู้ไป๋อีรู้ว่ามู่เฉียนซีหมายความว่าอย่างไร เขาได้ชักกระบี่เฉียนหานออกมา

ลำแสงสีเงินของกระบี่พุ่งออกไปราวกับสายฟ้าฟาดและปะทะเข้ากับตัวของพยัคฆ์สีเหลืองนั้น

พลังทั้งสองชนปะทะเข้าด้วยกัน

ปัง!

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ฝุ่นผงเศษดินได้ลอยกระจัดกระจายขึ้นมา

เจ้าเมืองหู่ร้องตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ใคร! ใครกันที่กล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องของผู้อื่น”