GGS:บทที่ 1159 ฝุ่น

ซูจิ้งที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นสามเศียรหกกรราวกับสัตว์ประหลาดก็ว่าได้ แขนทั้งหกนั้นปกคลุมไปด้วยขนเช่นเดียวกับขนของหงอคงในเรื่องไซอิ๋วก็ว่าได้
แขนทั้งหกนี้ได้ยืดออกและจัดการภูติผีปีศาจในเขตแดนที่ร่างเงาดำสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วและหนักแน่นราวกับลูกธนูที่ยิงด้วยหน้าไม้

และนี่เองทำให้เขารู้สึกได้ว่าในตอนนี้เขาสามารถจับต้องปีศาจด้วยมือของตนทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำได้เลยแม้แต่น้อย

สองมือของเขาจับไปที่มือของร่างเงาดำ อีกสองมือจับไปที่ขา และอีกสองมือจับไปที่หัว
ร่างเงาดำที่พึ่งจะรู้สึกตัวได้กรีดร้องและดิ้นรนพยายามจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการมือทั้งหกข้างของซูจิ้งอย่างสุดความสามารถ
แต่ยังไม่ทันที่ร่างเงาดำจะกรีดร้องได้สุดเสียงดี มือทั้งหกได้บีบอัดร่างเงาดำอย่างช้าๆ ไอสีดำค่อยๆลอยไหลรั่วไปในอากาศและจางหายไป ท่ามกลางเสียงกร็อบแกร็บมากมาย ในที่สุดในตอนนี้มันนั้นได้กลายลูกกลมสีดำทมิฬในมือซูจิ้ง
ร่างเงาดำยังคงพยายามดิ้นรนไปมาและเรียกรวมไอดำที่ลอยออกไปให้กลับเข้าร่าง อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ มันนั้นราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง และไม่สามารถที่จะขัดขืนได้แต่อย่างใด

ภายใต้แขนอันทรงพลังทั้งหกข้าง และลำแสงชำระล้างที่อาบอยู่บนกายของซูจิ้ง ร่างเงาดำได้เริ่มร้องโหยหวนออกมาด้วยเสียงที่เย็นยะเยียบ และในที่สุดแล้วมันก็กลายเป็นควันและจางหายไป
ในตอนนี้ พื้นที่รอบข้างได้ถูกแสงชำระล้างที่กลับมาขยายตัวอีกครั้งชำระล้างสิ่งต่างๆไปจนหมด และเขตแดนของผู้ไม่ตายที่ร่างเงาดำเรียกมาก่อนหน้านี้ก็หายไปไม่เหลือร่องรอย

ซูจิ้งที่มีสามเศียรหกกรนั้น ในตอนนี้ได้หายไปแล้วเหลือเพียงร่างกายธรรมดา ขนของหงอคงทั้งสามก็กลับไปอยู่ประจำที่ของมัน แต่ในตอนนี้สีสันของมันนั้นไม่ได้คงกลับคืนเหมือนเดิมแต่อย่างใด พวกมันทำให้ซูจิ้งนั้นกลายเป็นคนที่มีผมหงอกเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ออออ ไม่นึกเลยจริงๆว่าเมื่อถึงยามขับขันแล้ว ขนสามเส้นนี้กลับมาช่วยเราอีกจนได้ พึ่งจะรู้แหะว่าพวกแกนี้สามารถกลายสภาพได้ด้วย” ซูจิ้งพูดในขณะใช้นิ้วมือลูบขนทั้งสามเส้นอย่างเอ็นดู แต่เมื่อดูจากสภาพแล้วเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการกลายสภาพนี้ยังทำได้อีกหรือเปล่า

ที่ผ่านมานั้นซูจิ้งไม่ใช่ไม่พยายามศึกษาขนทั้งสามเส้นนี้ แต่เป็นเพราะเขานั้นอ่อนแอเลยใช้ได้แค่เพียงเป็นอาวุธลับเท่านั้น
ในตอนนี้เขาได้ใช้ฝ่ามือตัวเองมาประกบใบหน้าก็ได้รับสัมผัสความรู้สึกสดชื่นราวกับพืชที่ได้รับแสงอาทิตย์ยามเช้า

ถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยรอบจะเต็มไปด้วยซากศพและกลิ่นเลือดที่รอยคละคลุ้ง แต่ซูจิ้งสัมผัสได้ในทันทีว่าโลกใบนี้นั้นช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน
เมื่อเทียบกับความรู้สึกเมื่อตอนอยู่ในเขตแดนของผู้ไม่ตายเมื่อครู่ เรียกได้ว่าที่นั่นคือนรกอย่างแท้จริง และเหตุการณ์นี้สมควรจะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน

ซูจิ้งในตอนนี้คิดไปถึงเรื่องงานแข่งกีฬาโอลิมปิคที่ยังข้างคา เขาก็ไม่รู้หรอกว่างานยังคงจะดำเนินไปต่อรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ การแข่งที่เหลืออยู่เขาคงจะไม่ลงแข่งด้วยแล้ว
เขาตัดสินใจผิวปาก และนั่นทำให้อินทรีย์ทองที่บินล่อนไปมาอย่างกังวลรีบลงมาหาเขาในทันที ด้วยร่างกายที่เหนื่อยอ่อน ซูจิ้งเขาไปเกาะอินทรีย์ทองอยู่สักพักเพื่อรวบรวมเรื่องแรง ก่อนที่เขาจะปีนขึ้นไปบนหลังมันและบอกมันว่าให้กลับบ้าน

ฉากที่เกิดขึ้นนี้เรียกได้ว่ายากที่จะอธิบายหากต้องถูกถามออกมา และในครั้งนี้เขาเองก็ไม่ได้คิดจะปกปิดและแก้ไขอีกต่อไปแล้ว จะให้บอกตรงๆก็คือเขาขี้เกียจจะยุ่งแล้วนั่นเอง

ไม่กี่เดือนให้หลัง
ช่วงที่ผ่านมานี้ซูจิ้งไม่ได้แสดงตัวต่อหน้าสาธารณชนเลยแม้แต่น้อย เขานั้นพักฟื้นอยู่ในบ้านไม่ได้ก้าวออกไปพ้นบริเวณบ้านเลยสักก้าวเดียว
เขาชนะร่างเงาดำก็จึงแต่นั่นก็ต้องแลกกับการที่ต้องบาดเจ็บหนักและต้องการการพักฟื้นอย่างเต็มสูบ
ในช่วงที่ผ่านมานั้นเรียกได้ว่าเป็นช่วงโกลาหลอย่างแท้จริง แต่หลังจากผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ทำให้ความโกลาหลเหล่านั้นทุเลาลง

หลังจากศึกที่กรุงโตเกียว งานกีฬาโอลิมปิกได้ตัดจบลงไปในทันที แน่นอนว่าเป็นซูจิ้งที่คว้าเหรียญทองได้มากที่สุด ส่งผลให้ประเทศจีนนเป็นจ้าวเหรียญทองและสูงล้ำกว่าอเมริกาอยู่หลายขุม
ต้นเหตุของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในโตเกียว และที่มาของเหล่าผู้คนที่ก่อเรื่องนั้นถึงแม้จะไม่ชัดเจน แต่ก็มีหลายคนที่รู้ว่าบางส่วนนั้นคือใคร

และยิ่งได้เห็นว่าซูจิ้งแทบจะต้องสละชีวิตเพื่อกำจัดคนเหล่านั้น แม้แต่จะเห็นว่าสังหารคนเหล่านั้นกับมือของซูจิ้ง แต่ด้วยการที่ซูจิ้งทุ่มเททุกสิ่งอย่างที่มีกำจัดคนเหล่านั้น ด้วยพลังที่ยากจะมีคนทัดทาน นี่ทำให้หลายๆคนเกรงกลัวซูจิ้งอยู่บ้าง แต่กับคนที่กลัวนั้นก็ยังยอมรับว่าซูจิ้งนั้นคือฮีโร่อย่างแท้จริง

มีเพียงญี่ปุ่นนั้นที่ออกมาตั้งคำถามและถามหาความรับผิดชอบจากซูจิ้ง พวกน้ำกล่าวหาว่าเป็นซูจิ้งที่นำพาคนทั้งแปดไปญี่ปุ่น และยังกล่าวหาอีกว่าในระหว่างการต่อสู้ ซูจิ้งได้สังหารคนญี่ปุ่นอีกหลายคน ญี่ปุ่นจึงได้เรียกร้องให้ทางจีน ส่งตัวซูจิ้งไปที่ญี่ปุ่นเพื่อทำการตัดสินโทษ

อย่างไรก็ตาม มีหรือที่จีนจะยอมส่งซูจิ้งไปให้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับหลักฐานที่มีแต่ปากแต่ไม่มีมูลแบบนี้ ประเทศจีนได้ตอกหน้ากลับไปด้วยคำถามที่ว่า ผู้คนมากมายที่ตายนั้นมีเท่าไหร่ และต่อให้ตายเยอะจริง ต่อให้มีผู้คนตายเยอะไประหว่างที่ซูจิ้งต่อสู้จริงๆ แต่หากไม่มีซูจิ้ง ประเทศญี่ปุ่นก็สมควรจะล่มสลายไปแล้ว อีกอย่าง ประเทศจีนก็รู้มาอีกว่าเมื่อตอนที่กองทัพป้องกันตนเองของญี่ปุ่นได้เข้าไปสนามรบนั้น ทหารเหล่านั้นหากไม่ตกอยู่ในสภาพโคม่า ก็ต้องแห้งตายกลายเป็นผีตายซากทั้งหมด แม้แต่เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินขับไล่แค่บินโฉบเข้าไปก็ยังต้องตกเป็นว่าเล่น แค่พวกเอ็งหากขาดซูจิ้งไปจะทำอะไรได้กัน

เรียกได้ว่าจีนนั้นพร้อมที่จะทำสงครามในทันทีหากญี่ปุ่นยังคิดดื้อดึงหาเรื่อง ญี่ปุ่นเองในตอนแรกก็คิดว่าอเมริกาจะผสมโรงและเห็นด้วย แต่กลายเป็นว่าอเมริกากลับนิ่งเฉยแบบสุดๆ
และนี่จึงทำให้เรื่องนี้สงบลง

“ยังไม่มีข่าวของซูจิ้งอีกเหรอ” ณ ห้องสำนักงานแห่งหนึ่ง หวังหยานได้ถามผู้ช่วยของตัวเองออกมา
“ยังค่ะ ทั่วทั้งโลกในตอนนี้เองก็กำลังรอการแถลงการณ์จากเขาอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากเกิดเรื่องที่โตเกียวแล้ว เขานั้นได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย …เขาคงจะไม่….”
“ไม่หรอก เขาคงแค่จะกลับหมกตัวอยู่ที่บ้านเพื่อเลี่ยงผู้คนแบบทุกทีน่ะ เขาต้องไม่ได้รับบาดเจ็บด้วยเรื่องของประเทศอื่นสิ ใช่ เขาต้องไม่เป็นไรแน่ๆ” หวังหยานได้พูดออกมาด้วยท่าทีที่พยายามจะมีความหวังอยู่
หลังจากที่เธอรู้ว่าซูจิ้งนั้นคือจอมยุทธมีดบินที่เคยช่วยเธอเอาไว้ นี่ทำให้เธอไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะมีความรู้สึกยังไงกับซูจิ้งดี

ที่ผ่านมานั้นเธอเองแค่สงสัยเฉยๆว่าทำไมเขาถึงได้พัฒนาไปไกลนักเมื่อไม่มีเธอ และตลอดมาเธอเองก็พยายามที่จะใส่ใจซูจิ้งและต้องการจะมีชีวิตที่ดีกว่าตอนคบกับซูจิ้งเท่านั้น
แต่ในตอนนี้ เธอกลับต้องการพบกับซูจิ้งอีกครั้ง แค่นั้นเธอก็รู้สึกเพียงพอแล้ว

“ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับอาจิ้งอีกเหรอ” นาหลันเฟยถามผู้ช่วยของเธอ
“ยังเลย ตอนนี้พยายามติดตามเรื่องของซูจิ้งอย่างทุกฝีก้าวแล้ว หากเขาปรากฎตัวออกมาจะรีบแจ้งให้เธอรู้นะ”
“เฮ้ออออ” นาหลันเฟยถอนหายใจในทันทีที่ได้ยินคำตอบ หลังจากเธอรู้ว่าซูจิ้งคือมนุษย์แมงมุม เธอก็พยายามหาข้อมูลทุกวิธีทางเพื่ออยากรู้ว่าซูจิ้งนั้นกลับมาอย่างปลอดภัยรึเปล่า และต้องการพบกับซูจิ้งเป็นการส่วนตัว
แต่เธอนั้นกับรู้เพียงว่าเขานั้นกลับมาถึงประเทศจีนแล้วแต่ไม่ทราบถึงสถานการณ์หรือที่อยู่ปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าหายตัวอย่างไร้ร่องรอยเลยทีเดียว นี่ทำให้เธอนั้นอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

นอกจากนาหลันเฟยและหวังหยานแล้ว ผู้คนมากมายที่สนิทชิดใกล้แม้แต่เพื่อนพ้องอย่างหวังจ้าว เฉิงหนาน หวังซือหยา เว่ยเสี่ยวหยวน จูเจียนฮัว เป็งหมิง หลินฮ่าว เสี่ยวรุย ฉือเล่ย ฉินซูหลัน หลิวฉิง และคนอื่นๆต่างก็เป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของซูจิ้งอย่างมาก

ถึงแม้ว่าคนสนิทอย่างฉือชิงและน้องสาวของเขาอย่างซูหยาออกมาบอกว่าซูจิ้งนั้นยังคงอยู่อย่าได้เป็นกังวล แต่เมื่อคิดว่ายังอยู่แต่ไม่ยอมออกมาให้เห็นตัว แถมหายไปนานมากนี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะเป็นกังวล
แต่ในที่สุดแล้ว ซูจิ้งก็ออกมาปรากฎตัวอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาได้ออกมาชนิดที่ว่าเหนือกว่าใครจะคาดคิด
เขาได้ไปปรากฎตัวในรายการสัมภาษณ์ของช่องCCTV
ทันทีที่เขาปรากฎตัวนั้นได้เรียกความสนใจจากทั่วทั้งโลกราวกับลุกเป็นไฟทันที ในรายการนั้น ซูจิ้งได้ตอบคำถามจากพิธีกรถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเป็นคำถามที่สมควรจะค้างคาใจมากที่สุดนั่นก็คือศัตรูของเขาในครั้งนี้คือใครกันแน่

ซูจิ้งได้อธิบายออกมาร่างเงาดำที่ทุกคนเห็นนั้นคือพวกพ่อมดหมอผีที่มีวิชาอาคมอันแกร่งกล้าและชั่วร้าย ด้วยการที่มันนั้นทำเรื่องเลยร้ายมามากมายทำให้มีความแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป
และนั่นไม่ใช่เรื่องที่แค่ความรู้ทั่วไปของโลกนั้นยุคนี้จะจัดการได้ และนี่คือสิ่งที่เขานั้นพยายามจะอธิบายให้ง่ายที่สุดเท่าที่ทุกคนจะยอมรับได้

ถึงแม้ว่าสิ่งที่ซูจิ้งพูดออกมานั้นจะดูเรียบง่ายและเหลือเชื่อจนยากจะเชื่อได้ก็ตาม แต่ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นทำให้โลกตื่นตะลึงด้วยสิ่งต่างๆมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจิตวิญญาณและเสริมสร้างร่างกาย

ยังไม่รวมถึงทักษะของซูจิ้งที่ใช้ในระหว่างการต่อสู้ที่ทรงพลังเหนือล้ำกว่าความรู้ของผู้คนบนโลกใบนี้จะทำความเข้าใจได้อีก นี่ทำให้ทุกคำพูดของเขาที่พูดออกมานั้นน่าเชื่อถืออย่างช่วยไม่ได้

และด้วยเหตุนี้ ตอนนี้ซูจิ้งไม่ใช่เพียงคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกเท่านั้น ตัวเขาในตอนนี้ได้กลายเป็นที่เคารพศรัทธาของผู้คนจากนานาประเทศไปแล้ว

และด้วยเหตุนี้อีกเช่นเดียวกัน ค่าการใช้ประโยชน์ของซูจิ้ง ทะยานอย่างไม่หยุดยั้งจนในตอนนี้ค่าการใช้ประโยชน์ของซูจิ้งที่ได้รับมาจากการช่วยโลกนี้ไว้ถ่งสูงขึ้นไปกว่าเก้าแสนหน่วยไปแล้ว และยังพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าค่าหนึ่งล้านหน่วยที่ตั้งหวังไหว ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป นี่ทำให้ซูจิ้งยิ้มไม่หุบและหน้าบ้านเป็นจานเชิงในทันทีที่รู้เรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม กว่าจะได้ครบหนึ่งล้าน เขาคาดการไว้ว่าน่าจะเลยผ่านช่วงงานแต่งงานของเขาไปแล้ว และในตอนนี้เขาก็ได้วุ่นอยู่กับการเชิญคนสนิทและเพื่อนฝูงมาเข้าร่วมงานหมั้นและงานแต่งที่จะจัดขึ้นที่หอตระกูลของเขา