GGS:บทที่ 1160 แต่งงาน (1)

ในวันมงคลของซูจิ้ง ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูล​ซูเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
หอบรรพชนได้ถูกปรับปรุงยกเครื่องใหม่เรียบร้อยแล้ว หอบรรพชนในตอนนี้ดูสวยงาม งามสง่า และดูสูงศักดิ์ อีกทั้งยังดูหรูหราและน่าดึงดูดใจ พื้นที่ของหอนั้นกว้างมากราวกับหอประชุม พื้นที่ภายนอกเป็นสวนที่สวยงามและทอดยาวไปจนถึงชายหาด

สวนภายนอกในตอนนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ มองรวมๆแล้วช่างดูสวยสง่า ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งแดนสวรรค์ มีตะเกียงดอกบัวลอยละล่องอยู่ในท้องทะเล สภาพโดยรวมช่างดูน่าหลงใหลและดึงดูดใจ ประกอบกับมีบทเพลงบรรเลงขับกล่อมในงานแล้ว เปรียบได้ดั่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน

ในตอนนี้ไม่เพียงแต่แขกเหรื่อของซูจิ้งจะได้มาถึง แม้แต่บรรดาสัตว์เลี้ยงของซูจิ้ง หรือสัตว์อื่นๆที่อาศัยโดยรอบ ราวกับรับรู้ได้ถึงวันแห่งความสุขนี้ได้มารวมตัวกันพร้อมกับส่งเสียงไปมาเป็นระยะราวกับกำลังพูดคุยถึงเจ้าของงานอย่างมีความสุข

ในช่วงตอนเย็น แขกมาจนเกือบแน่นพื้นที่แล้ว
“ใกล้ได้เวลาแล้ว” หวังซือหยา หวังจ้าว และคนอื่นๆพูดคุยกัน
“ใช่” หวังจ้าวที่ได้ยินก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขามาที่นี่พร้อมภรรยา ลูกชาย เฉิงหนาน ซูฉือ และผู้บริหารของกลุ่มทุนห้วงเวลา

“ฉันล่ะอิจฉาศิษย์พี่จิ้งจริงๆเลยน้า…ที่ได้แต่งกับภรรยาสาวสวยแบบนี้ แต่ก็อีกล่ะนะ มีเพียงแค่พี่จิ้งอีกเหมือนกันที่คู่ควรกับพี่สะใภ้น่ะ” หลิวฉิงพูดออกมาพลางถอดถอนลมหายใจ

“แน่นอน พี่สะใภ้สวยประดุจดั่งนางฟ้าขนาดนั้น หากไม่ได้แต่งกับเทพซูแล้วใครจะคู่ควรกัน” ฉินซูหลานพูดออกมา ทำให้โจวหลันที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับอมยิ้ม

โจวหลันนั้นในครั้งนี้ไม่ได้แสดงท่าทีหึงหวงหรือต่อว่าฉินซูหลานแต่อย่างใด ยังไงซะอย่างน้อยๆในวันนี้ตัวเอกของงานก็เป็นถึงซูจิ้งและฉือชิงเลยล่ะนะ

เฉินเจี่ยเหยาและเฉินฮองกำลังชื่นชมบรรดาสัตว์เลี้ยงของซูจิ้ง
แม้แต่อาจารย์ของพ่อเขาอย่างรุยเซียงและจิงดงก็ยังมา
ฮัวฮงหยาง ฮัวเฟยหยุน ไคหวูเฟิง หวู่หลง จี้เสี่ยวติง และคนอื่นๆได้มาถึง

มู่หรงเซียนเอ๋อ กู่เย่ว กู่หยุน หลี่หยวนและคนอื่นๆได้มาถึง
ตัวแทนสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองจงหยุน หวังหยาน หวังหยิงหมิง ถังเสี่ยวหยู ถังยี่ ถังฮ่าว ซงเกาหยุน ซงจุนยี่ โจวเทียนรุย โจวฮงหยาน ได้มาถึง

เฉียนหยินหนิง เฉียนไจบิง ตงซุน เจียงหนี่ เลาชง เตียนจงยี่ หลูฉิงหมิง ผู้อาวุโสหวู่ และบรรดาเศรษฐีที่พอจะรู้จักมักคุ้นซูจิ้งอยู่บ้างได้อยู่ในงานเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าย่าของซูจิ้ง ลูกพี่น้องอย่างเย่ปิงและเย่หลินต้องไม่พลาดโอกาสนี้ แม้แต่เพื่อนร่วมชั้นเรียกที่สนิทชิดเชื้อตั้งแต่ช่วงม.ต้น ม.ปลาย และมหาวิทยาลัยก็มาเข้าร่วมแสดงความยินดี

ในคราวนี้ เว่ยเสี่ยวหยวน หวังหยาน และนาหลันเฟยได้เข้าร่วมแสดงความยินดีด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง ด้วยการที่ทั้งสามได้รู้แล้วว่าซูจิ้งคือจอมยุทธมีดบินและมนุษย์แมงมุม ผลก็คือทั้งสามจับกลุ่มพูดคุยกันบ่อยครั้งเรื่องซูจิ้งจนสนิทสนมกัน แต่เมื่อได้พยกับซูจิ้งในงานแต่งงานของเขาแบบนี้ ทำให้ทั้งสามอดที่จะรู้สึกประหม่าไม่ได้เหมือนกัน

ณ บ้านของซูจิ้ง
บรรดาญาติสนิทมิตรสหายของซูจิ้งได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ซูจิ้งในตอนนี้เขาอยู่ในชุดงานแต่งสีแดงที่ดูงามสง่าสมกับการเข้าพิธีงานแต่งตามธรรมเนียมโบราณทุกระเบียดนิ้ว ไม่มีกลิ่นอายของชุดแต่งงานสมัยใหม่เลยแม้แต่น้อย
แม่ของซูจิ้งหรือก็คือเย่ฉิงได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดีว่า “อาจิ้ง ถึงเวลาแล้วนะยังมาอ้อยอิ่งอยู่ได้ รีบๆไปงานแต่งของลูกได้แล้ว”
“โฮ่ แม่ งานเพิ่งจะเริ่มเองจะรีบไปไหนเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่าฮ่า จักรพรรดิ์ไม่รีบ ขันทีรีบซะงั้น” ซูหยาพูดออกมาดังๆ
“ใครเป็นขันทีกันยะ” เย่ฉิงพูดออกมาพลางเบิดกระโหลกซูหยาไปเบาๆหนึ่งทีพร้อมหัวเราะออกมา
“ได้เวลาแล้ว” จูเจียนหัวส่ายหน้าไปมาพลางหัวเราะ
“ไปกันเถอะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม และในทันทีที่กลุ่มของซูจิ้งไปถึง เหล่าผู้คนที่เตรียมพร้อมได้เป่าทรัมเป็ตต้อนรับพร้อมทั้งโยนกระดาษงานเลี้ยงให้หลิวว่อนในทันทีตั้งแต่ทางเข้าหมู่บ้าน

“มาแล้วมาแล้ว เจ้าบ่าวมาแล้ว”
“ไปกันเถอะ อยากรู้จริงๆว่าวันนี้มีอะไรน่าสนุกบ้าง”
หวังจ้าว หวังซือหยา หลิวฉิง ฉินซูหลาน หวังหยาน เว่ยเสี่ยวหยวน นาหลันเฟย และคนอื่นๆได้เดินตามทีมเจ้าบ่าวไป ด้วยการที่หมู่บ้านตระกูล​ฉืออยู่ใกล้มากๆทำให้ไม่ต้องเดินไกลสักเท่าไหร่
เมื่อเข้าไปถึงหมู่บ้านตระกูล​ฉือ ผู้คนในหมู่บ้านก็ได้เตรียมพร้อมรอต้อนรับอยู่แล้ว สถานที่ที่กลุ่มของซูจิ้งไปนั้นก็คือหอตระกูลฉือ เพื่อกราบไหว้ กล่าวบรวงทรวง และสู่ขอฉือชิงจากบรรพบุรุษ

หลังจากนั้นกลุ่มของซูจิ้งได้เดินต่อไปยังบ้านของฉือชิง ระหว่างทางบรรดาเด็กๆในชุดสีแดงได้กั้นประตูเอาไว้อย่างง่ายๆตลอดทาง และแน่นอนว่าต้องไม่ยอมให้ผ่านไปง่ายๆนอกจากจะมีค่าเปิดทาง นี่ทำให้งานดูมีสีสันและชีวิตชีวาในทันที

ด้วยเรื่องแบบนี้ซูจิ้งย่อมไม่ตระหนี่ให้เสียชื่อแต่อย่างใด เขาทั้งโปรยเหรียญและแจกเงินที่อยู่ในซองแดงมากมายจนกระทั่งถึงประตูหน้าบ้านของฉือชิง
อย่างไรก็ตาม ตรงนี้ได้มีหลิวหยิน ลูฉิงหยา หยางเว่ย ตงเจียว และคนอื่นๆอยู่รอซูจิ้งพร้อมรอยยิ้มแสยะ ในฐานะที่เป็นพี่น้องนอกเลือดของฉือชิงมีหรือที่พวกเธอจะยินยอมให้ซูจิ้งผ่านไปได้โดยง่าย

การที่ซูจิ้งจะผ่านพวกเธอไปได้นั้น แน่นอนว่าต้องผ่านการทดสอบของพวกเธอไปได้ซะก่อน
“ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นกันเลยนะ รีบๆไปเลยไป” ซูจิ้งที่เห็นรอยยิ้มของบรรดาพี่น้องนอกเลือดฉือชิงก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มและได้แต่ขับไล่ไสส่งไปเท่านั้น

เมื่อได้ยินคำพูดของซูจิ้ง ทุกคนก็ได้หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ลูฉิงหยาเองที่ได้ยินก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ซูจิ้ง พวกเราออกจะสวยสดงดงามขนาดนี้จะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษสักหน่อยไม่ได้รึไงเนี่ย นี่นายคิดว่าการที่ฉือชิงได้แต่งงานกับนายเป็นเรื่องวิเศษวิโสนักรึไง”

“แหงซิ วิเศษแบบสุดๆไปเลยล่ะ สำหรับฉันแล้วการได้แต่งงานกับชิงชิงนั้นสุดแสนจะวิเศษเลย ด้วยความวิเศษนี้จะทำให้ฉันมีชีวิตต่อได้อีกแปดชีวิต และสามารถช่วยพิทักษ์จักรวาลแห่งนี้ได้ตราบที่ชีวิตจะหาไม่ หลังจากนั้นฉันก็จะพาฉือชิงไปอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าด้วยกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ต่อให้นายสามารถช่วยเหลือจักรวาลแห่งนี้ได้แปดครั้งแปดหน สำหรับพวกเรานั้นนั่นยังไม่เพียงพอหรอกนา หากนายต้องการแต่งกับชิงชิงของพวกเรานั้นต้องผ่านการทดสอบของพวกเราก่อน

ในฐานะที่นับถือกันเป็นพี่เป็นน้องกับชิงชิงแล้ว พวกเราต้องแน่ใจว่านายจะรักเธอคนเดียวไปจนวันตาย” ลูฉิงหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“จะให้ทำอะไรก็ว่ามา” ซูจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เยี่ยม พวกเราได้เตรียมด่านทดสอบเอาไว้แล้วสามด่าน หากนายผ่านไปไม่ได้อย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นดวงตะวันของนายได้” หลูฉิงหยาพูดออกมา

“จัดมาเลยมะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีมั่นใจแบบสุด ตัวเขาที่ทำให้แม้แต่อเมริกาก็ยังต้องสยบ แม้แต่เรื่องร่างเงาดำนั่นก็ยังแก้ได้ แล้วเขาต้องกลัวอะไรกับสาวน้อยพวกนี้กัน

“เอาล่ะนะ ด่านแรก ฉันรักเธอด้วยร่างกาย…” เมื่อลูฉิงหยาพูดออกมานั้น ซูจิ้งก็ยังคงยิ้มออกมาบนใบหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
แต่เมื่อเขาได้เห็นภาพต่อมานั้นทำให้เขาถึงกับหดรอยยิ้มลงไปเล็กน้อย ข้างหลังของบรรดาพี่น้องนอกเลือดของฉือชิงก็คือเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังใส่หูฟังที่กำลังฟังเพลงอยู่และกินมาร์ชเมลโล่อย่างสนุกปาก

เมื่อซูจิ้งเห็นก็จำได้ทันทีว่าเด็กคนนี้คือลูกสาวของฉือฉิงถัง เธอมีอายุเพียงสี่ขวบกว่าๆเท่นั้น ลูฉิงหยาได้พูดต่อว่า “นายต้องทำให้นีนี่รู้จักคำว่ารัก”
สายตาของซูจิ้งในตอนนี้ราวกับปลาตายในทันทีพร้อมกับโวยวายออกมาว่า “เธอจะบ้าเหรอ นีนี่อย่างมากก็น่าจะพึ่งจำได้แค่ตัวอักษรเท่านั้น คำว่ารักเนี่ยนะ ไม่มากเกินไปหน่อยรึไง”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า พวกเราสอนเธอให้รู้จักคำว่ารักแล้วว่าเขียนยังไง นายก็แค่จะต้องทำท่าทางให้เธอรู้ว่านายกำลังทำตัวอักษรอะไรอยู่เท่านั้น หากนายทำไม่ได้ก็จะถือว่าไม่ได้รักชิงชิงของพวกเราดีพอ” ลูฉิงหยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่มากกว่าเดิม
ความมั่นใจของซูจิ้งราวกับวิ่งแตกกระเจิงหายไปในทันที ถ้าทำให้นีนี่จำคำว่ารักไม่ได้ก็จะถือว่าไม่ได้รักฉือชิงจริงงั้นเหรอ บ้านเอ็งเถอะ เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย เรียกได้ว่านี่มันหาเรื่องกันชัดๆ

แต่อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ฝ่ายเจ้าบ่าวแบบเขานั้นไม่สามารถปฏิเสธได้เป็นอันขาด ต่อให้ต้องยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนแล้วก็ต้องทำให้จงได้ แต่ที่จะพอทำได้ในตอนนี้ก็คงเป็นการต่อรองเท่านั้น
“ขอตัวช่วยได้ไหม” ซูจิ้งถามออกมา
“แน่นอน” หยางเว่ยรีบตอบออกมาก่อนที่จะโดนใครขัด
ซูจิ้งหันมองยังบรรดายอดชายเพื่อนพ้องของเขาอย่างจูเจียนหัว เป็งหมิง หลินฮ่าว ฉือเล่ย เสี่ยวรุย และคนอื่นๆที่โดนสบตานั้นต่างก็รู้สึกใจเต้นราวกับต้องประสบพบเจอกับรางร้าย แต่ในเมื่อเขานั้นคือเพื่อเจ้าบ่าวโดยเฉพาะเจ้าบ่าวอย่างซูจิ้ง ย่อมไม่มีทางถอยให้พวกเขาอยู่แล้ว ทุกๆคนที่โดนจ้องมองก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งและเดินออกมาแต่โดยดีโดยไม่ต้องให้ซูจิ้งถามย้ำความสมัครใจ
ผ้าห่มได้ถูกปูลงไปกับพื้นทั่วลานบ้าน หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้สั่งให้เหล่ายอดชายทุกคนประกอบร่างแสดงท่าทางออกมาเป็นคำว่ารัก ด้วยวิธีการนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้วที่จะให้เด็กน้อยได้รู้จักคำว่ารัก

แต่ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นต้องการให้เป็นตัวอักษรแบบสมบูรณ์ที่สุด เพราะเด็กน้อยยังไม่รู้ว่าทุกคนทำอะไรกันแน่ ไม่แน่ก็ได้มีเสียงกระซิบออกมาจากปากจูเจียนฮัวและเปิงหมิง
“โอ้…ไม่ไม่ไม่ ขาจะหักแล้ว”
“เดี๋ยวๆๆหยุดก่อน ตัวฉันงอไม่ได้ขนาดนั้นนะ”
“เอ็งยังไม่ได้ดูเป็นวงกลมเลยนะเว้ย ตำแหน่งของเอ็งต้องทำเป็นรูปวงกลมสิ”
“วงกลมกับผีน่ะสิ ไหนลองทำให้ดูสิว่าต้องกลมขนาดไหน อึก..หลังช้านนนน”
ผู้คนที่เห็นฉากนี้ทั้งจากหมู่บ้านตระกูล​ฉือ หมู่บ้านตระกูล​ซู และแขกเหรื่อที่เห็นฉากนี้ต่างก็อดที่จะขำไม่ได้ บางคนได้เข้าไปช่วยดัดท่าทางให้เหล่าผู้โชคดีด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าทำให้ความสุขเบ่งบานกันได้ตั้งแต่ด่านแรกเลยทีเดียว