GGS:บทที่ 1161 แต่งงาน (2)

บรรดายอดชายเพื่อนของซูจิ้งนั้นในตอนนี้กำลังร้องโอดโอยกันระงมท่ามกลางเสียงหัวเราะของแขกเหรื่อที่เข้ามาเชียร์คนเหล่านี้ ช่างเป็นฉากเหตุการที่แสนรื่นเริงอย่างมาก
และผลสุดท้ายก็คือสิ่งที่พวกเขาลงทุนลงแรงแปลงร่างกายให้เป็นอักษรนั้นไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย เพราะสาวน้อยผู้ซึ่งเป็นคนตัดสินมัวแต่กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมทั้งหัวเราะเริงล่า ไม่ได้สนใจใยดีเลยว่าผู้คนที่อยู่ตรงหน้าของเธอนั้นทำอะไรกันแน่

“สาวน้อย อย่ามัวแต่กินสิ ลองดูดีๆหน่อย”
“หืออออออ ลุงใจร้าย ลุงดุหนู หนูไม่สนใจลุงแล้ว หนูไม่ดูอะไรทั้งนั้น”
“อ่า…เทพธิดาตัวน้อยคะ ช่วยดูให้ลุงหน่อยน้า… ลุงไม่ดุหนูแล้วนะ เห็นไหม ลุงพูดดีๆแล้ว เมื่อกี้ลุงผิดเอง หนูลองดูดีๆนะ ถ้าหนูตอบถูกล่ะก็เดี๋ยวลุงเอามาร์ชเมโล่มาให้อีกคันรถนึงเลย”
หลังจากตล่อมอยู่สามครั้งสามครา เมื่อนีนี่กินมาร์ชเมลโล่จนหมดแล้ว เมื่อนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ นีนี่จึงได้ตั้งใจมองจริงๆจังๆขึ้นเป็นครั้งแรก จนในที่สุดนีนี่ก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงดังลั่นว่า “รัก”

เพียงสิ้นเสียงนี้เท่านั้น ทุกคนในงานต่างก็โห่ร้องแสดงความยินดีออกมาไปทั่ว จะมีก็เพียงเหล่ายอดชายเพื่อนของซูจิ้งเท่านั้นที่ค่อยๆลุกขึ้นมาพร้อมเสียงโอดโอยจับหลังจับแข้งจับขาราวกับซอมบี้เลยก็ว่าได้
“โหดแท้” เป็งหมิงพูดออกมาในขณะที่มองไปยังพี่น้องนอกเลือดของฉือชิงด้วยความเข็ดขยาด

“เจียนฮัว…..ในนั้นมีแฟนนายอยู่ด้วยนี่เนาะ ไม่ลองขอให้เธอช่วยดูหน่อยล่ะ” หลินฮ่าวพูดออกมาในขณะใช้มีจับบ่าจูเจียนฮัว

“ยัยนั่นเป็นคู่หมั้นของฉันก็จริง… แต่ในงานนี้เธอไม่มีทางอยู่ข้างฉันอย่างแน่นอน…” จูเจียนฮัวในตอนนี้ทำท่าทางคอตกเล็กน้อยราวกับว่าอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ร้องไม่ออก

“ได้แต่หวังว่าอีกสองด่านจะไม่โหดเท่านี้ล่ะนะ” ฉือเล่ยพูดออกมาด้วยท่าทีแหยๆ
“เอาน่า อย่างน้อยๆก็คงไม่ถึงตายล่ะนะ แต่พี่สามนี่ก็จริงๆเล้ย เมื่อกี้เห็นรึเปล่า เขาไม่อยากทำรูปร่างเป็นวงกลมเลยให้พวกเราทำแทน” เสี่ยวรุยพูดออกมาออกแนวเคืองนิดๆ

“ด่านแรกนี่ทำได้ดี” ลูฉิงหยาพยักหน้าออกมาราวกับยอมรับในความพยายามก่อนที่จะพูดออกมาต่อว่า “เอาล่ะ ด่านที่สอง ด่านนี้นายไม่สามารถให้ใครช่วยได้ นายจะต้องผ่านด่านไปให้ได้ด้วยตัวเอง เอาจริงๆต่อให้พวกเขาอยากจะช่วยแต่ฉันว่าก็น่าจะช่วยไม่ได้อ่ะนะ” เมื่อได้ยินคำพูดของลูฉิงหยาแล้วทำให้ทั้งจูเจียนฮัว เป็งหมิง และคนอื่นๆต่างรู้สึกโล่งอกขึ้นมาในทันที

“…………………….ทำอะไร…………” หากเป็นก่อนหน้านี้ ซูจิ้งนั้นย่อมไม่หวันไหวอย่างแน่นอน แต่หลังจากผ่านด่านแรกมาอย่างหืดขึ้นคอก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ซะแล้ว
“ปิดตาแล้ววาดรูปออกมาให้ดีที่สุด แน่นอนว่าคนตัดสินคือนีนี่และพวกเรา” ลูฉิงหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉิบหายละ”
“ต่อให้เป็นซูจิ้งก็เถอะ แต่ไอ้การปิดตาวาดรูปนี่มันจะไม่เกินไปหน่อยรึไง”
“….ร้ายชะมัด…”
“ฮ่าฮ่า มีเรื่องสนุกๆให้ดูอีกแล้วสิ”
เมื่อเจอกับปัญหานี้ซูจิ้งถึงกับยิ้มกว้างในทันที แน่นอนว่าเมื่อลูฉิงหยาเตรียมด่านนี้มาย่อมต้องเตรียมอุปกรณ์วาดรูปอย่างกระดาษ พู่กัน น้ำหมึก และหินฝนไว้ให้
หลังจากซูจิ้งนั่งประจำที่และหยิบพู่กันแล้ว เขาก็ได้ปิดตาตัวเอง หลังจากนั้นจึงได้เริ่มลงมือวาดรูป

ในตอนแรกทุกคนที่ได้ยินต่างก็คิดว่าซูจิ้งที่ในตอนนี้ต้องปิดตาวาดรูปนั้นต้องวาดได้อย่างยากลำบากอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะการวาดรูปพู่กันจีนนั้น นอกจากการวาดแล้วจะเป็นต้องจัดเตรียมน้ำหมึก ฝนหมึก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำได้ยากเมื่อต้องปิดตา ต่อให้ความจำดียังไงก็ต้องมีคลาดเคลื่อนกันบ้าง
โดยไม่มีใครคาดคิด ซูจิ้งในตอนนี้ยังคงวาดรูปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งการจรดหมึกจากหัวแปลง ทั้งการวาดเส้นล้วนลื่นไหลราวสายน้ำ เรียกได้ว่าเป็นลายเส้นที่สมบูรณ์พร้อมเลยก็ว่าได้

“พระเจ้าช่วย” ลูฉิงหยา หยางเว่ย หลิวหยิน ตงเจียว และคนอื่นๆต่างก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
เหล่าสาวๆนั้นต่างปรึกษากันแล้วและคิดว่าการทดสอบนี้ยากที่สุดเลยด้วยซ้ำ พวกเธอนั้นรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นจดจำฉือชิงได้ฝังลึกในจิตใจมากมายขนาดไหน
แต่พวกเธอไม่คิดว่าซูจิ้งจะวาดออกมาได้แม้แต่จะปิดตาอยู่ได้ดีถึงขนาดนี้ นี่เรียกได้ว่าจากด่านที่ยาก กลายเป็นด่านที่ช่วยซูจิ้งซะอย่างนั้น
ส่วนแขกในงานตอนนี้ต่างก็รู้สึกมหัศจรรย์ใจในตัวซูจิ้งในทันที

ซูจิ้งยังคงวาดรูปต่อไป เขาวาดด้วยความเร็วที่สูงมากและยังไม่ได้จุ่มหมึกเลยแม้แต่น้อย เพียงชั่วเวลาไม่นาน รูปวาด ก็ได้ปรากฎออกมาเป็นรูปของฉือชิงที่ดูงามสง่าและอยู่ในชุดสีขาว ถึงแม้ว่าสีขาวนี้จะเป็นสีของกระดาษแต่ภาพวาดของซูจิ้งนั้นก็สื่อออกมาเป็นแบบนั้น

ราวกับว่าต่อให้วาดภาพนี้เสร็จและทิ้งไว้อีกนาน ชุดก็ยังเป็นสีขาวอยู่ดีต่อให้กระดาษเปลี่ยนสีไปแล้วก็ตาม
และด้วยเหตุนี้ทำให้แขกเหรื่อที่เห็นต่างก็ตกตะลึง ส่วนสาวๆในงานต่างก็รู้สึกอิจฉาฉือชิงอย่างช่วยไม่ได้ นั่นก็เพราะการจะวาดรูปให้ออกมาเหมือนได้ถึงขนาดนี้นั้นไม่เพียงต้องรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี ยังต้องมีความจำเป็นเลิศและทักษะการถ่ายทอดออกมาในระดับที่สูงล้ำ

นาหลันเฟยและเว่ยเสี่ยวหยวนที่เห็นนั้นยิ่งรู้สึกอิจฉามากกว่าใคร แต่กลับหวังหยานนั้นตัวเธอเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกอิจฉาปนเสียดายปนชื่นชมผสมกันจนยากจะบอกได้ และนี่ก็ทำให้เธออดที่จะคิดไปไม่ได้ว่าหากตอนนี้เธอยังไม่ได้เลิกกับซูจิ้ง คนในภาพก็สมควรจะเป็นเธอไปแล้ว

หลังจากผ่านไปกว่ายี่สิบนาที ซูจิ้งก็ได้หยุดมือลง กับคนรอบๆในตอนนี้ถึงแม้จะยืนเฉยๆผ่านมากว่ายี่สิบนาทีแล้วแต่พวกเขากับไม่รู้สึกเหนื่อย เบื่อ หรือเมื่อยเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าพวกเขานั้นถูกการวาดภาพของซูจิ้งนั้นดึงดูดจนหลงลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น

ซูจิ้งได้แก้ผ้าผูกตาออกพร้อมจะถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ผ่านมะ”
“….ผ่านนนน…..” ลูฉิงหยาตอบออกมาอย่างจำใจ จะให้แกล้งบอกว่าไม่ผ่านได้ยังไงกัน ก็เมื่อกี้ตอนที่หยางเว่ยอุ้มนีนี่ไปดูใกล้ๆเธอได้พูดออกมาว่าเป็นฉือชิงไม่หยุดเลย
ไม่เพียงนีนี่จะจำได้แต่เด็กน้อยยังนึกว่าฉือชิงไปอยู่ในรูปซะด้วยซ้ำ ต่อให้อยากบอกปัดก็คงจะบอกออกมาไม่ได้ล่ะนะ

แม้แต่หยางเว่ยที่เห็นก็ยังอดที่จะบอกออกมาไม่ได้ว่ารูปนี้คือสมบัติด้วยซ้ำ เธอบอกว่ามันประเมินค่าไม่ได้ ถึงขนาดที่ว่าเธอต้องพานีนี่ถอยห่างจากรูปในทันทีเพราะไม่อยากให้เด็กน้อยทำให้รูปนี้เสียหาย

“หึหึหึ แล้วด่านสุดท้ายล่ะ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ด่านสุดท้ายนี่ง่ายมาก นายก็แค่ต้องทำอะไรสักอย่างให้พวกเราเห็นถึงความรู้สึกที่นายมีต่อชิงชิงของพวกเราจนทำให้พวกเรานั้นหวั่นไหวและใจอ่อนพอที่จะยอมเปิดทางให้ก็เท่านั้นเอง” ลูฉิงหยาพูดออกมา

เมื่อได้ยินดังนั้น มู่หรงเซียนเอ๋อ กู่เย่ว กู่หยุน หลี่หยวน นาหลันเฟย และคนอื่นๆได้ยินก็ถึงกับตาเป็นประกายในทันที ราวกับว่าพวกเขานั้นรู้ได้เลยว่าซูจิ้งจะทำอะไรกันแน่
“อืมมมม ช่างง่ายดายจริงๆด้วย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มนี่ทำให้รอยยิ้มของลูฉิงหยา หยางเว่ย หลิวหยิน และคนอื่นๆกระตุกมุมปากในทันที
ซูจิ้งได้มองไปบนท้องฟ้าและทำการผิวปาก ไม่นาน เสี่ยวจินที่ในตอนนี้ได้ปรากฎออกมา ที่เท้าของมันนั้นขยุ้มกู่จิ้งเอาไว้ มันบินต่ำลงมาก่อนที่จะปล่อยกู่จิ้งจากลางอากาศ และซูจิ้งก็ได้กระโดดขึ้นไปรับอย่างสวยงาม

หลังจากได้กู่จิ้งมาแล้ว ซูจิ้งไม่ได้ไปที่โต๊ะหรือม้านั่งแต่อย่างใด เขาได้นั่งลงและตั้งเข่าของตัวเองขึ้นมาหนึ่งข้างก่อนที่จะวางกู่จิ้งไว้บนเข่าของตน
เขา ได้เริ่มบรรเลงเพลงจากกู่จิ้งด้วยท่วงทำนองที่แสดงออกถึงความเดียวดาย เหงียบเหงา ก่อนที่จะตามมาด้วยท่วงทำนองที่สวยงามและมีความสุข
ในทันทีที่เสียงกู่จิ้งได้กระจายออกไปก็แทบจะเข้าไปตราตรึงใจของผู้คนได้ในทันที
ยิ่งทุกคนได้ฟังมากขึ้นเท่าไหร่ ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของซูจิ้งที่มีต่อฉือชิงว่าตัวเขานั้นรักฝังลึกในตัวฉือชิงมากมายขนาดไหน

แค่ฟังก็รู้สึดได้ว่าสำหรับซูจิ้งแล้ว ฉือชิงคือคนที่สวยที่สุดบนโลกใบนี้ และหากจะถามเขาว่ารักได้ขนาดไหน เขาก็พร้อมที่จะบอกออกมาในทันทีว่ารักไปจนวันตาย ราวกับอยากจะสอนผู้คนที่ได้ฟังให้รู้จักว่าความรักนี้สมควรจะเป็นเช่นไร เช่นเดียวกับการสอนผู้คนให้ใช้ชีวิตและเตรียมรับการดับสูญของตนเอง
ยิ่งฟังยิ่งดื่มด่ำไปในบทเพลง

ในตอนนี้ ผู้คนต่างก็หลงลืมไปแล้วว่านี่เป็นเพียงบททดสอบเท่านั้น พวกเขารับฟังบทเพลงด้วยความรู้สึกแห่งรักที่ไม่เคยแสดงออกมาแม้แต่น้อย
ผู้หญิงหลายๆคนที่ได้ยินต่างก็อดไม่ได้ที่จะตาชื้นออกมา พวกเธอไม่ได้โศกเศร้าแต่อย่างใด จะมีก็เพียงความหวั่นไหวเท่านั้น กลับไกล ฝั่งผู้ชายซะอีกที่หลั่งน้ำตาออกมาหลายคน

ในกลุ่มคนที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลงอยู่นี้ คนที่หลั่งน้ำตาออกมาจริงๆและมากที่สุดคงหนีไม่พ้นมู่หรงเซียนเอ๋อ เว่ยเสี่ยวหยวน นาหลันเฟย และหวังหยาน ในขณะเดียวกัน พวกเธอก็ได้บังเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาในจิตใจว่าทำไมคนๆนั้นที่ซูจิ้งหมายถึงในเพลงไม่ใช่พวกเธอกัน

สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นมาเป็นไปตามความตั้งใจที่แฝงเอาไว้ในบทเพลงนี้ บทเพลงนี้ ซูจิ้งได้มาจากห้วงเวลาฯพระเจ้าจากทางตะวันออก
บทเพลงนี้ซูจิ้งเก็บเอาไว้เป็นพิเศษเพื่อเล่นในงานมงคลวันนี้โดยเฉพาะ มันมีชื่อว่า “เมามายความรัก”