GGS:บทที่ 1162 แต่งงาน (3)
หลังจากบรรเลงกู่จิ้งไปได้พักใหญ่ เสียงบรรเลงก็ได้ค่อยๆเบาลงจนจางหายไป ในระหว่างการบรรเลง บรรดาแขกเหรื่อต่างนิ่งเงียบละตกตะลึงละคนกันไป และยังเป็นอย่างนี้อยู่นานจนบางคนเริ่มกลับออกมาจากภวังและปาดน้ำตาตัวเองทีละคนสองคน พวกเขาตบมือกันอย่างหนักหน่วงที่สุดเท่าที่จะหนักได้แสดงถึงความยอดเยี่ยมของบทเพลงนี้
“ว่าไง ใจอ่อนรึยัง” ซูจิ้งพูดในขณะที่เขานั้นยกกู่จิ้งแนบไว้ข้างลำตัวและลุกขึ้นยืนพลางจ้องไปทางลูฉิงหยาและถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“…ไม่…ไม่…ยัง…ฉันยังไม่ใจอ่อน…” ลูฉิงหยาพูดออกมาในขณะที่พี่น้องนอกเลือดของพวกเธอต่างก็ร้องไห้กันระนาวไม่เว้นแม้แต่ตัวเธอเอง แต่ทุกคนก็ยังส่ายหัวไปมาไม่ยอมรับอยู่ดี
“จะบ้าเรอะ พวกเธอก็ร้องไห้ออกมากันขนาดนั้นยังบอกว่าไม่ใจอ่อนอีกเนี่ยนะ” หลินฮ่าวพูดออกมาในขณะที่เริ่มจ้องไปยังกลุ่มของลูฉิงหยาด้วยสายตาไม่พอใจ
“อย่าบอกนะว่าผงเข้าตาน่ะ เหอะ”
“พวกเราบอกว่าไม่ก็คือไม่สิ” ลูฉิงหยาและบรรดาพี่น้องนอกเลือดของเธอนั้นได้เริ่มโต้เถียงทั้งๆที่มีน้ำตาออกมา แค่ดูก็รู้ว่าพวกเธอนั้นโกหกแน่ๆ
ตั้งแต่ต้นนั้นพวกเธอตั้งใจว่าจะไม่แสดงท่าทีอ่อนไหวออกมาในเพลงแรกและจะยอมรับในเพลงที่สอง นึกไม่ถึงว่าพวกเธอจะอดที่จะร้องไห้ออกมาอย่างทราบซึ้งไม่ได้ตั้งแต่เพลงแรก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นพวกเธอก็ไม่ยินดีที่จะปล่อยผ่าน เพราะพวกเธอต้องการที่จะได้ยินเพลงบรรเลงสดของซูจิ้งที่ยากจะได้รับนี้อีกสักเพลง
“โห่…อีกเพลงสินะ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาพลางยกมีขึ้นเป็นสัญลักษณ์เชิงให้ทุกคนหยุดต่อล้อต่อเถียง เขารู้ดีว่าเถียงไปก็เท่านั้น เพราะเท่าที่ดูนั้นพวกเธอเพียงต้องการฟังเพลงของเขาอีกสักเพลงสองเพลงก็เท่านั้นเอง
ซูจิ้งได้นั่งลงและชันเข่าขึ้นมาหนึ่งข้างอีกครั้ง หลังจากวางกู่จิ้งลงไปที่ท่อนขาแล้ว เขายังไม่ได้เริ่มบรรเลงแต่อย่างใด ในตอนนี้เขาเพียงหลับตาลงและอยู่นิ่งๆเงียบๆ แต่ในตอนนี้กลับไม่มีใครเลยที่กล้าจะส่งเสียงอะไรออกมา แม้แต่เด็กน้อยอย่างนีนี่เองก็ยังไม่แม้แต่พูดอะไรสักคำ
หลังจากผ่านไปสักพัก ทันใดนั้นซูจิ้งได้ลืมตาขึ้นมาพร้อมทั้งนิ้วมือที่กดลงไปบนสายกู่จิ้ง แค่เพียงเสียงแรกก็เข้าไปจับใจของผู้คนที่ได้ยินได้แล้ว เพียงแค่ได้ยินก็ทำให้ผู้คนดื่มด่ำกับเสียงกู่จิ้งได้เลย
และเพียงเสียงแรกที่ออกมานี้ทำให้ทั้งกู่เย่ว และมู่หรงเซียนเอ๋อถึงกับต้องถลึงตาด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่กู่หยุน หลี่หยวน นาหลันเฟย และคนอื่นๆกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
ช่างเป็นเสียงที่ส่งผลต่อจิตใจได้อย่างน่าประหลาด
เพียงเสียงบรรเลงแรกนี้ทำให้ผู้คนปรากฎภาพที่สวยงามขึ้นมาในจิตใจ พวกเขาหันไปหาคู่ครองของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ราวกับว่าแค่ได้ฟังก็ทำให้รับรู้ได้ว่าคู่ครองของตนนั้นทำไมถึงได้รักกันได้ขนาดนี้ ระหว่างทางแห่งความรักของทั้งสองผ่านอะไรมาบ้างถึงสามารถแต่งงานและอยู่กินกันมาได้จวบจนปัจจุบัน เพลงเสียงๆเดียวก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตรักของตนออกมาได้ในทันที
ทุกคนในที่นี้ได้ยอมรับเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเพียงเสียงหนึ่งนี้ดีกว่าบทเพลงไหนๆที่ซูจิ้งเคยเล่นมาทั้งหมดแล้ว
มันเป็นเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยทักษะทั้งหมดที่ซูจิ้งมี เรียกได้ว่าแค่เสียงๆเดียวก็จับใจผู้คนไปอีกนาน ถ้าไม่เรียกว่าจับใจก็ไม่รู้แล้วเหมือนกันว่าควรจะใช้คำว่าอะไรดี
เว่ยเสี่ยวหยวนร้องไห้ออกมา
นาหลันเฟยร้องไห้ออกมา
หวังหยานร้องไห้ออกมา
มู่หรงเซียนเอ๋อร้องไห้ออกมา
ถึงแม้ในคราวนี้ทั้งสี่คนจะร้องไห้ออกมา แต่คราวนี้ความรู้สึกในใจแบบก่อนหน้านี้อย่างทำไมถึงไม่ใช่พวกเธอไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ตอนนี้พวกเธอรู้สึกถึงความรักที่ซูจิ้งมีต่อฉือชิงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และไม่มีใครที่จะสอดแทรกความรักของคนทั้งสองได้อีก ต่อให้ฉือชิงจะเป็นฝ่ายถอยไปเอง แต่ซูจิ้งก็ไม่คิดที่จะเลิกรักแต่อย่างใด
แต่หากใครก็ตามที่คิดจะเข้าสอดแทรกก็คงไม่แคร้วที่จะถูกพระเจ้าลงทัณฑ์เป็นแน่ แน่นอนว่าพวกเธอย่อมไม่เหลือใจที่จะกีดขวางอีก
กับคนอื่นนั้นก็ปรากฎภาพในจิตสำนึกที่แตกต่างกันไป แม้แต่เด็กน้อยเองก็ยังต้องหลั่งน้ำตาออกมาอย่างช่วยไม่ได้ บางคนที่ไม่มีคู่ครองกลับต้องร้องไห้อย่างหนัก จนทำให้หนุ่มโสดบางคนอดไม่ได้ที่จะซับน้ำตาให้
เพียงเสียงหนึ่งได้หมดลง หลงเหลือไว้เพียงผู้คนที่ประทับใจอย่างสุดซึ้ง
กู่เย่วและมู่หรงเซียนเอ๋อนั้นเป็นคนที่ตกตะลึงมากกว่าใครเพื่อน ทั้งสองรู้ในทันทีว่าเพียงเสียงกู่จิ้งเสียงหนึ่งของซูจิ้งนี้บรรลุไปยังระดับที่แม้แต่ทั้งสองก็ไม่รู้จัก
ความรู้สึกของทั้งสองคนนั้นในตอนนี้ยกซูจิ้งให้เป็นเทพกู่จิ้งเรียบร้อยแล้ว นั่นก็เพราะเพียงเสียงกู่จิ้งหนึ่งของเขานั้นก็สามารถส่งความรู้สึกตรงไปยังผู้คนที่ได้ยินเรียบร้อยแล้ว
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานั้น ซูจิ้งไม่เพียงจะพักผ่อนเพื่อรักษาบาดแผลเท่านั้น เขาได้ทำการฝึกฝนกู่จิ้งเพื่อบรรเลงเพลงมัวเมาความรักเพื่อให้ไปถึงระดับที่เขาพอใจ
และในตอนนี้เองที่ซูจิ้งรู้สึกได้ว่าตนเองได้บรรลุไปถึงระดับแก่นแท้แห่งซูจิ้งจึงได้ลองใช้เทคนิคนี้ดู
“…นี่…คือเพลง…อะไรน่ะ” หยางเว่ยถามออกมาในขณะที่หลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“กิ่งทองใบหยก” ซูจิ้งได้นำกู่จิ้งแนบไว้กับลำตัวอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นยืน เพลงเมามายความรักและเพลงกิ่งทองใบหยกต่างก็เป็นเพลงจากห้วงเวลาฯเทพจากตะวันตก ที่นั่นเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสุ่มเสียงแห่งธรรมชาติ ในตอนแรกที่ตัวเอกอย่างฮองยี่ได้พบที่นั่น เขาจึงได้แรงบรรดาลใจเล่นบทเพลงนี้ขึ้นมา
“โชคดี….โชคชะตาที่ดีสินะ” หวังหยานพึมพำออกมาราวกัยพูดกับตัวเอง เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเหมือนกันแต่ในตอนนี้เธอนั้นแค่เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ได้จะร้องไห้ออกมา
ส่วนเว่ยเสี่ยวหยวนและนาหลันเฟยนั้นทั้งสองต่างก็ร้องไห้แต่กลับมีความคิดภายในใจที่แตกต่างกัน ทั้งสองต่างก็พึ่งจะรู้ว่าซูจิ้งคือมนุษย์แมงมุมและนั่นทำให้อยากจะพบกับซูจิ้งเป็นการส่วนตัวอีกสักครั้ง แต่มาในตอนนี้ทั้งสองกลับคิดว่าต่อให้ซูจิ้งจะเป็นมนุษย์แมงมุมจริง เป็นผู้ช่วยชีวิต เป็นผู้ชายที่สุดแสนจะเปอร์เฟคขนาดไหนก็ตาม แต่ในตอนนี้เขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะเขานั้นได้ครองคู่กับฉือชิงที่เป็นคู่ครองที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาอยู่แล้ว
“ผ่านรึยังเอ่ย” ซูจิ้งถามออกมา
ทั้งลูฉิงหยา หยางเว่ย ตงเจียว และหลิวหยินนั้นต่างก็มองหน้ากันในทันที ทั้งหมดต่างก็รับรู้ได้แล้วว่าคงเป็นการยากที่จะได้รับฟังบทเพลงของซูจิ้งได้อีกสักเพลงแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเธอไม่สามารถต้านทานความรู้สึกกดดันจากเสียงบรรเลงกู่จิ้งของซูจิ้งเมื่อสักครู่นี้ได้เลย หากพวกเธอดื้อดึงต่อไปคงไม่ต่างจากการล่มงานแต่งเป็นแน่
หากว่าพวกเธอได้รับฟังบทเพลงที่พวกเธอคาดหวังอย่างเพลงกิ่งทองใบหยกล่ะก็เธอก็ยังพอที่จะดื้อดึงอยู่ได้เหมือนกัน เพราะตอนที่พวกเธอได้ฟังบทเพลงนั้นทำให้พวกเธออดไม่ได้ที่จะเห็นซูจิ้งแต่งงานกับฉือชิงเร็วๆ และด้วยเหตุนั้นทำให้พวกเธอคิดด่านนี้ขึ้นมา
แต่มาตอนนี้พวกเธอกับรู้สึกได้แล้วว่าหากพวกเธอยังคงฝืนดื้อดึงต่อไปคงไม่แคร้วโดนสวรรค์ลงทันเป็นแน่
แต่ยังไม่ทันทีที่พวกเธอนั้นจะได้พูดอะไรออกมา ฉือชิงในตอนนี้เธอได้ออกมาจากห้องด้วยตัวเอง พร้อมทั้งน้ำตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข การที่ได้รับฟังบทเพลงทั้งสองนี้ทำให้เธอทนรอไม่ไหวแล้ว
เมื่อซูจิ้งได้เห็นฉือชิงที่ในตอนนี้สวมมงกุฏนกเพลิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขเต็มหัวใจ
เดิมทีแล้ว วัสดุที่ใช้ทำมงกุฎนี้ก็คือขนของนกเพลิงฟินิกซ์ของจริงที่เขาพึ่งจะได้มาจากห้วงเวลาฯล่าลี้ลับตำนานจีน ส่วนผ้าไหมนั้นได้มาจากห้วงเวลาฯคัมภีร์วิถีเซียน ส่งผลให้มงกุฎนี้เต็มไปได้กลิ่นอายที่ดูหรูหรา งามสง่า และน่าหลงไหล และเมื่อสวมใส่โดยสาวงามอย่างฉือชิงแล้ว บอกได้แลยว่าเป็นการส่งเสริมกันได้อย่างลงตัว
ทุกคนที่เห็นฉือชิงในตอนนี้ก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่าอยากจะจัดงานแต่งงานของตนตามพิธีจีนโบราณแบบนี้บ้าง
“ชิงชิง ทำไมเธอถึงออกมากันล่ะ” ลูฉิงหยาได้แต่นิ่งอึ้งไปในทันทีที่เห็น
“ก็ท่าไม่ออกมาพวกเธอก็มัวแต่เล่นอยู่น่ะสิ” ฉือชิงพูดพลางมองค้อนพร้อมทั้งใช้นิ้วตัวเองปาดน้ำตาของตัวเองไปด้วย การที่ฉือชิงนั้นสวยอยู่แล้วทำให้เธอนั้นไม่จำเป็นต้องแต่งหน้า และนั่นทำให้เธอไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องสำอางหลุดเรอะไปแม้แต่น้อย
“โอ้ ชิงชิงน้อชิงชิง ชิงชิงของพวกเรานั้นอดใจรอไม่ไหวซะแล้ว เป็นความผิดของพวกเราเองแหล่ะฮิฮิ” เมื่อได้โอกาสถอยหนี ลูฉิงหยาก็ได้รีบคว้าโอกาสนั้นทันทีและนี่ทำให้เพื่อนๆของเธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะตามไปด้วย
ฉือชิงที่ได้ยินนั้นในตอนนี้ก็หน้าแดงอย่างที่สุด แต่เธอนั้นไม่อยากจะรอแล้วจริงๆ และในครั้งนี้เธอไม่คิดจะถอยอีกแล้วเลยพูดออกไปว่า “ใช่ซี้ ฉันอยากจะแต่งงานเร็วๆ แล้วยังไง คนไม่มีคู่ไม่รู้หรอก”
ในคราวนี้เป็นชาวบ้านที่หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข แต่เป็นกลุ่มพี่น้องนอกเลือดของฉือชิงที่ได้แค่ยิ้มแหยๆ นี่ทำยิ่งทำให้ฉือชิงน่าแดงเป็นการใหญ่และเตรียมที่จะกลับไปห้องของเธอ
“คุณผู้หญิง ผมเองก็รอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” ฉือชิงที่กำลังจะกลับเข้าห้องไปนั้นก็ได้ถูกซูจิ้งคว้ามือเอาไว้ เมื่อทั้งสองได้หันมาสบตากันนั้น ราวกับแค่มองตาก็รู้ใจ เธอไม่ได้เข้าห้องไปแต่อย่างใด แต่เธอเลือกที่จะกระโดดเข้าไปกอดซูจิ้งแทน ถึงแม้ว่าเธอจะยังอายอยู่บ้าง แต่นี่ทำให้เธอนั้นรู้สึกได้ว่าคุ้มค่าที่จะอายจริงๆ
หลังจากนั้น ซูจิ้งและฉือชิงได้ทำการกราบไหว้พ่อแม่ของฉือชิงเพื่อเป็นการสู่ขอ หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้พาฉือชิงเดินกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลซู
ระหว่างทางนั้นซูจิ้งได้กางร่มสีแดงให้กับฉือชิง และทำการโปรยปรายข้าวเปลือกในระหว่างเดินทางไปด้วย หลังจากลดเลี้ยวไปมาตามถนนเล็กน้อย ทั้งหมดก็ได้ไปถึงหอประจำตระกูลของหมู่บ้านตระกูลซู
และในที่สุดก็ถึงขั้นตอนสุดท้ายนั่นก็คือการกราบไหว้ หนึ่งคือการกราบไหว้ฟ้าดิน หนึ่งคือการกราบไหว้บรรพบุรุษ และอีกหนึ่งกราบไหว้ให้กันละกัน และนี่ทำให้ทั้งสอง เป็นคู่สามีภรรยาอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว