ชั่วขณะนั้นมารโบราณที่สูญเสียหัวพลันโยนอาวุธมารสี่ชิ้นในมือออกไป ซากศพพลิ้วไหวแล้วล้มตึงลง

ยามนี้ด้านบนเพิ่งจะมีลำแสงสีเทาสว่างวาบ เงาลวงตาสายหนึ่งก็บิดเบี้ยวแล้วปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหญิงร่างกายอ้อนแอ้นสาวสวมชุดคลุมสีดำ

ศีรษะของหญิงสาวผู้นี้สวมหน้ากากหัวหมาป่า สองมือสวมถุงมือสีดำสนิท ไม่เผยผิวพรรณออกมาเลยสักนิด

“เงาอัปลักษณ์ ครั้งนี้เป็นโชคดีของเจ้าแล้ว!”

อิ๋นเย่ว์เห็นหญิงสาวสวมหน้ากากก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง แววตาฉายแววซาบซึ้งใจ “ไม่มีอันใด ในเมื่อเป็นผู้พิทักษ์เงาของคุณหนู ความปลอดภัยของนายท่านย่อมเป็นหน้าที่ของข้า ทว่าเพื่อความปลอดภัย จากนี้ข้าและคุณหนูร่วมมือสังหารเผ่ามารเหล่านั้นด้วยกันเถิด” เงาอัปลักษณ์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ได้ หากเงาอัปลักษณ์เองก็ลงมือล่ะก็ เผ่ามารที่เหลืออยู่ก็อย่าคิดหนีเลย” อิ๋นเย่ว์ดีอกดีใจ เอ่ยเห็นด้วยอย่างไม่ต้องขบคิด

เงาอัปลักษณ์พยักหน้าทันใด ร่างกายบิดเบี้ยว ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นเงาลวงตาสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในฝูงเผ่ามารที่อยู่ไม่ไกลนัก

หลังจากที่ลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นเผ่ามารสองสามตนก็เอวขาดอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน

อิ๋นเย่ว์ที่อยู่อีกด้านก็ร่ายอาคม แผ่นหลังมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ เงาลวงตาหมาป่ายักษ์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ครั้งนี้เทวรูปหมาป่าสีเงินที่ก่อตัวขึ้น แม้ว่าจะเลือนรางกว่าก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเผ่ามารที่อยู่ตรงหน้ากลับเหลือเฟือ

ภายใต้การกระตุ้นด้วยอาคมลางๆ เทวรูปหมาป่าสีเงินส่งเสียงหอนยาวๆ แล้วกระโจนออกมา เปิดฉากสังหารท่ามกลางเผ่ามาร

ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงหนึ่งกาน้ำชา เผ่ามารที่มีพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอยี่สิบสามสิบคนก็ถูกอิ๋นเย่ว์และพวกทั้งสองสังหารไปจนเกลี้ยง

บนยอดเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งไม่ไกลนัก สวี่เชียนอวี่และศิษย์ตระกูลสวี่สองสามคนมองเผ่ามารที่พลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าตนเองถูกสังหารจนหมดด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง รู้สึกเพียงว่าร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด

ความแข็งแกร่งของระดับผสานอินทรีย์ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางจะจินตนาการได้จริงๆ

ในแดนจิตมารในตำหนักที่สร้างขึ้นบนยอดเขาสูง ชายร่างใหญ่สวมชุดหลากสีสันเกือบพันกำลังห้อมล้อมโต๊ะยาวยักษ์ยี่สิบสามสิบตัว และกำลังกินดื่มกันอย่างมีความสุขคึกคักเป็นอย่างยิ่ง

บนโต๊ะมีอาหารโอชะต่างๆ วางอยู่เต็มไปหมด และไหสุราชั้นดี ทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างโต๊ะกินดื่มอย่างสนุกสนาน ท่าทีเมามาย

ข้างโต๊ะแปดเซียนที่วิจิตรงดงงามตรงปลายของตำหนักใหญ่ กลับมีคนสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ปรมาจารย์

หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดคลุมผ้าไหมสีดำ เอวเหน็บดาบหนังสีทองเล่มหนึ่ง สายตาที่มองไปยังลูกน้องทั้งหมดในตำหนัก ก็อดที่จะเจือรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้

ตรงข้ามคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่อายุไม่ต่างกันมาก สวมชุดคลุมยาวสีเขียว ผิวแกมดำ หน้าตาธรรมดาๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหานลี่

ทว่าหานลี่ในยามนี้แค่ดื่มสุราชั้นเลิศในมืออย่างเงียบๆ แก้วแล้วแก้วเล่า ดูเหมือนว่าจะมีท่าทีพึงพอใจ แต่บนหัวไหล่ของเขา วิหคน้อยสีเหลืองตัวหนึ่งยืนอยู่ แผ่นหลังมีชายร่างกายสูงใหญ่คนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเขียว ถูกผ้าคลุมบดบังใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้

“ศิษย์น้องหาน ครั้งนี้สำนักสัตตทมิฬครอบคลุมอาณาเขตป้าจิ้งทั้งหมดได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีเพราะเจ้ากับข้าช่วยกันบัญชาการ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก ดูแล้วก้าวต่อไปของพวกเราคือขยายอำนาจไปยังเขตใกล้เคียงแล้ว เชื่อว่าอีกไม่กี่ปีสำนักสัตตทมิฬคงกลายเป็นหนึ่งในขุมอำนาจยิ่งใหญ่ ที่ควบคุมเขตสักสองสามเขตพร้อมกันของแคว้นเย่ว์ สำนักของเราเดินมาถึงขั้นนี้ได้ ศิษย์น้องเป็นผู้ออกแรงมากที่สุด มาศิษย์พี่ขอคารวะเจ้าสักจอก” ชายหน้าหน้าตาหล่อเหลาหันหน้ามาเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับหานลี่ จากนั้นก็ยกไหสุราขึ้นมา เทลงไปในจอกที่ว่างเปล่าจนเต็ม แล้วสะบัดโยนออกไป

หานลี่ขยับแขนคว้าจอกสุราไว้ แต่ไม่ได้ดื่มในทันใด แต่ก้มหน้ามองสุราวิญญาณสีเขียวมรกตในจอกสุราชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยออกมาพร้อมกับถอนลมหายใจ

“ศิษย์พี่ลี่ เจ้าจะดื่มสุรานี่จริงๆ หรือ?”

“ศิษย์น้องหานหมายความว่าอย่างไร หรือว่าพี่จะคารวะเจ้าด้วยสุราไม่ได้งั้นหรือ?” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหน้าเปลี่ยนสี แต่ใบหน้ายังคงฝืนรักษารอยยิ้มเอาไว้พลางเอ่ยถาม

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ฉับพลันนั้นก็ขยับข้อมือ ชั่วขณะนั้นสุราพลันพลิ้วไหวถูกสาดลงบนพื้น

เสียง “ซ่า” ดังขึ้น ชั่วขณะที่สุราราดลงบนพื้นเปลวเพลิงสีเขียวก็แผดเผา

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเห็นเช่นนี้ ใบหน้าพลันดูไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นยังขยับมือข้างหนึ่ง กดไปที่ด้ามดาบหนังสีทองตรงบั้นเอวอย่างเงียบเชียบทันที

แต่ในยามนี้หานลี่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา

“แม้ว่าเจ้าจะทำเช่นนี้ แต่ข้าก็ไม่มีเจตนาจะโทษเจ้า!”

“ศิษย์น้องหมายความว่าอย่างไร! หึ จนถึงยามนี้ข้าเองก็ไม่มีอันใดต้องปิดบัง เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ สำนักสัตตทมิฬพัฒนาจนมาถึงทุกวันนี้ ย่อมมีเจ้าสำนักได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ยามนี้เจ้ากับข้าสองคนก็มีเพียงคนเดียวที่จะเดินออกไปอย่างมีชีวิตได้” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าจ้องเขม็งไปที่หานลี่ แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“เจ้าไม่ใช่ ‘เขา’ จริงๆ ด้วย เป็นแค่ภาพลวงตาที่ใช้ชื่อของเขาเท่านั้น ลี่เฟยอวี่ตัวจริงจะไม่รู้ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของข้าได้อย่างไร ถึงได้เกิดความคิดแย่งชิงที่น่าขบขันเช่นนี้” หานลี่ฉีกยิ้มบางๆ กลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตกตะลึงออกมา

แต่ไม่รอให้ชายหนุ่มเอ่ยถามอันใดด้วยความฉงนสงสัย หานลี่ก็ใช้มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ ในมือมีกระบี่ยาวสีเขียวความยาวสามฉื่อเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น และพลิกฝ่ามือสับออกไป

เห็นเพียงลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีเขียวที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาถูกสับออก

เสียงอึกทึกดังขึ้น!

ร่างกายที่แยกออกเป็นสองส่วนกลายเป็นไอสีดำสองกลุ่มพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า

ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น ไม่ว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาฝั่งตรงข้ามหรือว่าชายร่างใหญ่สวมชุดหลากหลายที่กำลังกินดื่มอย่างมีความสุขคนอื่นๆ ก็ทยอยกันเลือนรางหายวับไป

แม้กระทั่งครู่ต่อมาทั้งตำหนักก็ส่งเสียงอึกทึกดังขึ้นแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

แต่หลังจากที่ทัศนียภาพรอบด้านชัดเจนขึ้นอีกครั้ง หานลี่ก็มาปรากฏตัวบนทางเดินยาวที่กว้างขวางเป็นพิเศษ มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังยุทธ์แค่ระดับฝึกปราณและสร้างปราณกำลังเดินเฉียดไหล่เขาผ่านไปมาอยู่

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นย่านร้านค้าของผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำของแดนมนุษย์ หานลี่กวาดสายตาไปยามที่รู้สึกคุ้นเคย ในหัวก็มีลำแสงสว่างวาบสูญเสียความทรงจำก่อนหน้าไปอีกครั้ง แล้วเริ่มวัฏสงสารอีกรอบ…

เช่นนั้นเขาก็วนเวียนไปมาอยู่ในแดนที่ราวกับความฝันไม่หยุด

ทุกความฝันยาวหน่อยล้วนยาวนานสองสามร้อยปี สั้นหน่อยก็ใช้เวลาสิบกว่าปีถึงยี่สิบสามสิบปี แต่ทุกความฝันล้วนสมจริง จนทำให้ความทรงจำของเขาถูกผนึกเอาไว้ จนไม่รู้สึกสงสัยเลยสักนิด

ทว่าจิตสัมผัสของหานลี่แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ ประกอบกับมีเคล็ดวิชาจิตสัมผัสต่างๆ ช่วยเสริม ก็เปิดผนึกความความทรงจำได้สติขึ้นมาช้าบ้างเร็วบ้าง และอดทนตามหาคนที่จิตมารสร้างขึ้นแล้วทำการสังหาร จนหลุดออกจากวัฏสงสารทันที

ดูจากโลกภายนอก หานลี่ผ่านเคราะห์จิตมารไปแค่หนึ่งสองสามชั่วยามเท่านั้น แต่ความจริงแล้วในแดนจิตมารกลับผ่านไปสิบกว่ารอบแล้ว

ทว่ายิ่งผ่านประสบการณ์มากเท่าไหร่ เวลาในการถูกเปิดผนึกความทรงจำของหานลี่ที่อยู่ในแดนจิตมารก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว

เช่นนั้นเมื่อเวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป หานลี่ที่อยู่ในเคราะห์จิตมารก็วนเวียนผ่านประสบการณ์ต่างๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากที่โลกภายนอกผ่านไปครึ่งวัน หานลี่ที่อยู่ในเคราะห์จิตมารก็ข้ามผ่านเคราะห์ไปเกือบร้อยครั้ง แต่ทุกครั้งที่หลุดออกมาจากแดนจิตมาร ได้สีหน้ากลับราบเรียบเยือกเย็นมากยิ่งขึ้น

และระหว่างที่ผ่านวัฏสงสารไปร้อยครั้งจิตมารไม่เพียงกลายเป็นท่านพ่อท่านแม่ น้องหญิง ลี่เฟยอวี่และญาติต่างๆ สหายสนิท หรือแม้กระทั่งตอนหลังยังมีหนานกงหวั่น วิญญาณม่วง แต่ล้วนถูกหานลี่สังหารทิ้งไปอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด

หนึ่งในนั้นสหายสนิทสองสามคนของเขายังถูกสร้างขึ้นในวัฏสงสารที่แตกต่างกันหลายครั้ง

นี่จึงทำให้จิตมารทั้งตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว เริ่มสร้างท่านหมอม่อ บรรพชนจิ๋อินที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเขาในวัฏสงสาร แต่ก็ยังคงไม่เป็นผลนัก…

ท่ามกลางจิตมารหานลี่ค่อยๆ ชักฝ่ามือที่เปล่งแสงสีทองเรืองรองออกมาจากน่าอกของชายชราผมขาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนหวาดกลัว

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากทรวงอกของชายชรา แล้วกลายเป็นมนุษย์เพลิงสีเงินคนหนึ่ง

เสียง “ปัง” ดังขึ้น!

มนุษย์ไฟที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงินกลายเป็นไอสีดำพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า และหลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็หลุดพ้นจากเปลวเพลิงสีเงิน กลายเป็นเงาลวงตาหน้าภูตขนาดใหญ่กลางอากาศ และเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

“หึ คาดไม่ถึงว่าวัฏสงสารครั้งนี้จะถูกเจ้ามองออก เจ้าเด็กน้อยอย่างเจ้าช่างรับมือยากนัก ท่านอาจารย์ที่มีบุญคุณเลี้ยงดูเจ้ามาตั้งหลายปี เจ้ายังลงมือได้ แม้กระทั่งไม่ลังเลเลยสักนิด เจ้าเพิ่งจะเปิดผนึกความทรงจำเท่านั้น ไม่กลัวสังหารผิดคนหรือ”

“เจ้าไม่ต้องรบกวนจิตใจของข้า หากเป็นวัฏสงสารแรกสองสามรอบ บางทีข้าอาจจะลังเล แต่ยามนี้ข้าผ่านวัฏสงสารมาเกือบร้อยรอบแล้ว ระดับจิตใจถูกฝึกฝนจนเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง จะพลาดได้อย่างไร กลับเป็นข้าที่มองว่าเจ้าไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ที่หาจุดอ่อนในความทรงจำของข้าไม่เจอเลยสักนิด คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มสร้างคนที่ไม่มีอยู่อีกต่อไปมารบกวนจิตใจของข้า การกระทำเช่นนี้ช่างน่าขันยิ่ง” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ

“งั้นหรือ เช่นนั้นวัฏสงสารครั้งต่อไป ก็จะกลายเป็นเซียนจากแดนเทพเซียน ข้าจะดูว่าเจ้าจะสังหารทิ้งหรือไม่?” จิตมารดูเหมือนจะอับอายจนกลายเป็นความโกรธเกรี้ยว ปากก็ร้องคำรามเสียงต่ำเอ่ยคำพูดข่มขู่ออกมา

“พูดให้มันน้อยๆ หน่อย! แม้แต่เทพเซียนที่ข้าก็ไม่เคยเห็น เจ้าจะมีปัญญาแปลงกายเป็นเทพเซียนได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็ไม่คิดว่าเจ้าจะมีโอกาสแปลงกายอีก” หานลี่มีสีหน้าแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนใบหน้า จากนั้นแขนข้างหนึ่งก็มีรอยกระบี่สีเขียวมรกตเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ

ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นพลันปรากฏขึ้น ฝ่ามือมีกระบี่ยาวสีเขียวอ่อนปรากฏขึ้น

หานลี่ขยับแขน สับไปที่หน้าภูตโดยไม่ปริปาก

“กระบี่สวรรค์ทมิฬ! เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะมีพลังกระตุ้นสมบัติชิ้นนี้ได้อย่างไร…” หน้าภูตเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็ร้องด้วยความหวาดกลัวทันใด แต่การเคลื่อนไหวกลับไม่ลังเลเลยสักนิด ร่างกายบิดเบี้ยวกลายเป็นไอสีดำหลบหลีกไปอีกครั้ง

แต่กลับสายไปแล้ว!

กระบี่ยาวยังไม่ทันสับลงมาจริงๆ ระลอกคลื่นที่มีพลังกฎเกณฑ์ฟ้าดินแฝงอยู่พลันม้วนวนไปทั่วท้องฟ้า