ตอนที่ 993 เรื่องราวในอดีต

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 993 เรื่องราวในอดีต

ภายในห้องทรงพระอักษรบังเกิดความเงียบขึ้นมาทันใด มีเพียงถ่านในเตาไฟที่เกิดเสียงแตกดัง ‘เปรี๊ยะ ! ’ ขึ้นเป็นระยะเท่านั้น

เดิมทีหนานกงอี้หยู่และอีกสองคนต้องการทูลลาไปก่อน ทว่าฟู่เสี่ยวกวนให้ทั้งสามรั้งรออยู่ที่นี่ด้วยกัน

เดิมทีพวกเขาคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนเรียกท่าป๋าเฟิงมาเพื่อสอบถามเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในชื่อเล่อชวน เนื่องจากอีกฝ่ายยังพ่วงตำแหน่งที่ปรึกษาขององค์จักรพรรดิเอาไว้ด้วย

พวกเขามิได้ตระหนักด้วยซ้ำว่าจะได้ยินคำเอ่ยที่น่าตกตะลึงหลังจากนี้

จากการนำทางของหลิวจิ่น มินานท่าป๋าเฟิงก็เข้ามาในห้องทรงพระอักษรที่เป็นศูนย์กลางอำนาจอันยิ่งใหญ่ของประเทศต้าเซี่ย ฟู่เสี่ยวกวนต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มและแนะนำให้เขารู้จักกับเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของจักรพรรดิผู้เดียว ทว่าอยู่เหนือขุนนางนับหมื่นในประเทศต้าเซี่ย

ทว่าในอดีตท่าป๋าเฟิงก็เคยเป็นจักรพรรดิมาก่อน

แต่บัดนี้เขาเป็นข้าราชบริพารของฟู่เสี่ยวกวน เขามิได้ดูแข็งกร้าวจนเย่อหยิ่งและมิได้ถ่อมตัวจนดูต้อยต่ำต่อหน้าเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสาม

“นั่งเถิด การเดินทางครานี้พบเจออุปสรรคหรือไม่ ? ”

ท่าป๋าเฟิงคอยติดตามอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวน ยามที่อยู่ชื่อเล่อชวนนานถึงครึ่งปีจนรู้นิสัยใจคอของฝ่าบาทผู้นี้ดี ดังนั้นจึงมิได้ระมัดระวังวาจามากจนเกินไป

เขาทำความเคารพแล้วนั่งลง “ทูลฝ่าบาท ขอเอ่ยตามความจริงว่าเดิมทีควรมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเร็วกว่านี้ ทว่ากระหม่อมไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์มาก่อน…ขอบพระทัยฝ่าบาทมากยิ่งนักที่ส่งคนไปคุ้มกันกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ท่าป๋าเฟิงยังตายมิได้ !

ดังนั้นเรื่องที่เรียกตัวท่าป๋าเฟิงมาพบ ฟู่เสี่ยวกวนจึงส่งปรมาจารย์เยี่ยงโหยวเป่ยโต้วและหนิงฝาเทียนไปคอยคุ้มกันอย่างลับ ๆ ในการเดินทางมายังเมืองกวนหยุน

เขากังวลว่าอาจจะเกิดเหตุร้ายขึ้นมา และความกังวลนี้ก็มิคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ๆ

“เป็นผู้ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“กระหม่อมก็มิทราบเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ รู้เพียงแค่ว่าเขาเป็นปรมาจารย์ที่ปกปิดใบหน้าเอาไว้ หนิงฝาเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนถูกจู่โจมที่ด่านต้ายู่พ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมุ่น “อีกฝ่ายมีกี่คน ? ”

“มีเพียงคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามได้ยินดังนั้น หัวใจก็หล่นไปถึงตาตุ่มทันทีและเพิ่งตระหนักได้ว่าการเดินทางของท่าป๋าเฟิงต้องเผชิญกับอันตรายอย่างหนัก

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานานพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกสงสัยมากยิ่งนักว่าเหตุใดหนิงฝาเทียนถึงได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะฝ่ายตนมีปรมาจารย์ถึง 2 คน… “อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ? ”

“ทูลฝ่าบาท ฝ่ายตรงข้ามถูกหมัดของโหยวเป่ยโต้วกระแทกเข้าอย่างจัง จากนั้นก็กระอักโลหิตออกมาสองคราแล้วหนีหายไป ผู้อาวุโสโหยวกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามจะวางแผนล่อเสือออกจากถ้ำ ดังนั้นจึงมิได้ตามไปพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเล็กน้อยพลางครุ่นคิดว่าโหยวเป่ยโต้วตัดสินใจถูกแล้ว ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บแล้วหนีไปผู้นั้นต้องให้จี้หยุนกุยตรวจสอบ

“บัดนี้ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเรียกท่านเข้าพบ ? ”

“ทูลฝ่าบาท…เมื่อกระหม่อมได้รับราชโองการลับจากฝ่าบาทก็พอทราบอยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ”

สนทนากับคนฉลาดก็มักเข้าใจกันได้ง่าย จากนั้นท่าป๋าเฟิงก็หยิบกระดาษออกมาแล้วยื่นให้กับฟู่เสี่ยวกวน “นี่คือข้อตกลงของฮวงถิงที่ลงนามโดยกระหม่อมและฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียวเมื่อในอดีตพ่ะย่ะค่ะ”

“เมื่อหกปีที่แล้วเยลู่ชิงส่งราชทูตมายังแคว้นฮวง ในตอนนั้นกระหม่อมมิได้ยิมยอมเข้าพบเยลู่ชิงเพราะราชวงศ์เหลียวมีความมุ่งมาดปรารถนาอันป่าเถื่อน ทำให้กระหม่อมกังวลว่าจะส่งผลเสียต่อแคว้นฮวงหากแคว้นซีเซี่ยถูกทำลายพ่ะย่ะค่ะ”

“เมื่อห้าปีก่อน เขาได้ส่งราชทูตมาอีกคราโดยเอ่ยว่าราชวงศ์หยูกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว… ทั้งยังเอ่ยถึงฝ่าบาทอีกว่า จากการชี้นำของพระองค์จะทำให้ราชวงศ์หยูกลายเป็นแคว้นมหาอำนาจและหากมิลงมือกับราชวงศ์หยู แคว้นฮวงต้องเผชิญกับอำนาจคุกคามจากราชวงศ์หยูเช่นกัน”

“ในครานั้นกระหม่อมจึงเห็นด้วยกับราชทูตจากราชวงศ์เหลียว จากนั้นเยลู่ชิงก็เดินทางมายังแคว้นฮวงอย่างลับ ๆ แล้วพวกเราก็ได้ปรึกษาหารือกันอยู่หลายวัน จึงมีข้อตกลงของฮวงถิงเกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้วในช่วงฤดูใบไม้ผลิพ่ะย่ะค่ะ”

“ตามแผนการในข้อตกลงคือราชวงศ์เหลียวควรบุกโจมตีเมื่อสามปีที่แล้ว…เป็นเวลาเดียวกันกับที่พระองค์นำกองทัพโจมตีแคว้นฮวง เขาต้องโจมตีซีเซี่ยแล้วนำทัพเข้าสู่แคว้นฮวง ทว่าสิ่งที่มิคาดคิดก็คือการต่อต้านของแคว้นซีเซี่ยแข็งแกร่งมากยิ่งนัก แม้ว่ากองทัพของราชวงศ์เหลียวจะบุกโจมตีถึงเมืองซิงชิ่งเมืองหลวงของแคว้นซีเซี่ยได้แล้วก็จริง ทว่าถูกท่าป๋ากงแม่ทัพใหญ่ผู้ลือนามแห่งซีเซี่ยนำทหารม้า 100,000 นายออกจากเมืองแล้วพยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิต เขาสละชีพทหาร 50,000 นายแลกกับศีรษะทหารราชวงศ์เหลียวราว 100,000 นาย จากนั้นก็บังคับให้เยลู่ชิงถอยทัพออกจากดินแดนซีเซี่ย”

“ยังมีอีกคำเอ่ยหนึ่งก็คือยามที่พระองค์เข้ายึดพระราชวังป๋ายจินฮ่านคือเวลาเดียวกันกับที่ราชวงศ์เหลียวถอยทัพกลับและอาจจะเป็นไปได้ว่าเยลู่ชิงจะตระหนักถึงความเป็นไปมิได้ของแผนการในครานั้นขึ้นมา”

“ดังนั้น…ข้อตกลงของฮวงถิงจึงไร้ประโยชน์ตั้งแต่นั้นมาพ่ะย่ะค่ะ”

เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามเพิ่งทราบว่าแคว้นฮวงเคยสมรู้ร่วมคิดกับราชวงศ์เหลียวเมื่อคราอดีต เมื่อคิดได้ดังนั้นพวกเขาก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันใด หากมิใช่เพราะแคว้นซีเซี่ยหยุดยั้งทหารม้าของราชวงศ์เหลียวเอาไว้ได้และหากราชวงศ์เหลียวทำลายซีเซี่ยแล้วร่วมมือกับแคว้นฮวงได้สำเร็จ ฝ่าบาท…แม้มีความสามารถสูงส่งก็เกรงว่ามิใช่เรื่องง่ายที่จะปราบปรามแคว้นฮวงให้อยู่หมัดได้

สำหรับคนต่างแดนเหล่านั้นคงเห็นว่านอกจากอดีตแคว้นฮวงแล้ว อีกสี่แคว้นที่เหลือก็คงมิน่ากังวลอันใดมากนัก

ส่วนพวกตนเห็นว่าผืนปฐพีของคนพวกนั้นอยู่ห่างไกล ทั้งยังลำบากยากแค้น หากพวกเราบุกโจมตีพวกนั้นมิใช่เรื่องง่ายที่จะต่อต้านไหว ทว่าจะมีประโยชน์อันใดให้เปลืองแรงไปโจมตีกัน ดังนั้นแคว้นซีเซี่ย ราชวงศ์เหลียว อาณาจักรถู่ปัวและอื่น ๆ จึงมิมีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับพวกตนโดยสิ้นเชิง

ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มากยิ่งนัก

ที่เขาวางกำลังทหารไว้หลายจุด ก็เพื่อป้องกันการลุกล้ำดินแดนจากข้าศึกไว้ล่วงหน้าเยี่ยงนั้นหรือ

ในขณะนั้นเองเขาก็ได้อ่านข้อตกลงของฮวงถิงจนจบ ในความเป็นจริงก็มิได้มีความสำคัญอันใด

ทว่าข้อตกลงนี้ยังมิได้หมดความสำคัญไปเสียทีเดียว !

เนื่องจากสิ่งนี้ได้พิสูจน์คำเอ่ยของสวี่หยุนชิงเมื่อคราอยู่ในสุสานจักรพรรดิว่าถูกต้อง… ข่าวที่ฝูงมดของโจวถงถงได้รับมานั้นเป็นความจริง !

เป็นเพราะข้อตกลงนี้ทำให้อู๋ฉางเฟิงตระหนักได้ว่าใต้หล้ามิปลอดภัย แล้วเรื่องที่มีการฝึกฝนกองทหารอยู่ราว 400,000 นายอย่างลับ ๆ จากซูฉางเซิง มิเพียงแต่ราชวงศ์หยูเท่านั้นที่มีความเสี่ยง ราชวงศ์อู๋ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับความเสี่ยงนี้ไปด้วย

ดังนั้นอู๋ฉางเฟิงจึงใช้เวลา 2 ปีในการวางแผนชุนเหลยขึ้นมา เป้าหมายคือรวมทั้งห้าแคว้นไว้ด้วยกันเพื่อต่อต้านการรุกรานจากกองทัพของราชวงศ์เหลียว

ในเรื่องนี้ยังมีเงื่อนงำที่มิสามารถอธิบายได้ เหตุใดกองทัพของซูฉางเซิงจึงมิเข้าร่วมการสู้รบในแคว้นซีเซี่ยเมื่อครานั้น ?

หากเขาส่งทหารออกไป 200,000 นาย แคว้นซีเซี่ยก็จะถูกทำลาย หากเขารั้งรออยู่ที่แคว้นฮวงโดยมีกองทัพจากราชวงศ์เหลียวยื่นมือเข้าช่วย แคว้นฮวงย่อมรบชนะทหารดาบเทวะได้อย่างแน่นอน เขามีโอกาสเข้าร่วมสนามรบของแคว้นฮวงได้อย่างง่ายดายทว่าก็มิทำ

ตอนนี้เรื่องยังมิได้ข้อสรุป ต้องรอให้สายลับจากหอเทียนจีตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อนว่ามีกองทัพดังกล่าวอยู่ที่ภูเขาต้าเซียนเปยจริงหรือไม่

ฟู่เสี่ยวกวนยุติการหารือร่วมกัน เขายกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “นั่นคือเหตุผลที่ข้าเรียกท่านมาก็เพื่ออยากดูด้วยตาของตนเอง ท่านวางใจเถิด… ข้ามิได้ให้ท่านเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้เพราะข้าเพียงแค่อยากตรวจสอบบางอย่างก็เท่านั้นเอง”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยว่าจะตรวจสอบเรื่องอันใด เขารินน้ำชาหนึ่งถ้วยให้กับท่าป๋าเฟิงแล้วเอ่ยถามว่า “ราชวงศ์ของชาวฮวงก็ใช้แซ่ท่าป๋าเช่นกัน มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับแคว้นซีเซี่ยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ทูลฝ่าบาท แคว้นฮวงและแคว้นซีเซี่ยแต่ก่อนเป็นเหมือนบ้านหลังเดียวกัน เมื่อสี่ร้อยปีที่แล้วบรรพชนของกระหม่อมได้เดินทางข้ามภูเขาเฮ้อหลานเพื่อมาตั้งถิ่นฐานและก่อตั้งแคว้นฮวงบนทุ่งหญ้าแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจเหตุผลขึ้นมาทันที เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยถามต่อว่า “ข้าจะมอบทหารม้าให้แก่ท่านหนึ่งกอง ท่านกล้ารับหรือไม่ ? ”

ท่าป๋าเฟิงตื่นตกใจขึ้นมาทันใด ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้า “กระหม่อมกล้ารับพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ดี ! เจิ้นจะมอบราชโองการลับให้แก่ท่าน ท่านจงไปเกณฑ์ทหาร 100,000 นายที่ชื่อเล่อชวนเพื่อจัดตั้งกองทหารม้า จากนั้นให้พาทหารม้าเหล่านั้นไปฝึกวิชาพร้อมกับติดอาวุธเสื้อเกราะเยี่ยงทหารดาบเทวะ”

“ข้าต้องการให้ทหารม้ากองนี้เป็นรูปเป็นร่างภายในปลายปีหน้า หลังจากฝึกฝนสำเร็จแล้ว ท่านจงไปประจำการอยู่ที่ภูเขาต้าเซียนเปย ! ”

“กระหม่อม…สัญญาว่าจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ท่าป๋าเฟิงยืนขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น ทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมเข้าใจความหมายของฝ่าบาทแล้ว กระหม่อมจะคอยปกป้องรักษาประตูทางเหนือของประเทศต้าเซี่ยเอาไว้ให้ดีพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ดี ! เจิ้นจะรอฟังข่าวดีจากท่าน ! ”