ตอนที่ 994 ตอบแทนบุญคุณ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 994 ตอบแทนบุญคุณ

ท่าป๋าเฟิงเดินจากไปอย่างเปี่ยมสุข

เสนาบดีอาวุโสทั้งสามรู้สึกสงสัยมากยิ่งนัก บัดนี้ได้จ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน…

“ฝ่าบาท…เขาเคยเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวงพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ข้าทราบดี ทว่าบัดนี้เขาอยากเป็นแม่ทัพ”

“เหตุใดถึงได้ก่อตั้งกองทหารม้าขึ้นมาที่ชื่อเล่อชวนเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“เพราะชื่อเล่อชวนเหมาะแก่การสู้รบของทหารม้า”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อธิบายให้มากความและยิ่งมิได้เอ่ยว่ามีกองทัพอันแข็งแกร่งอยู่ที่ภูเขาต้าเซียนเปย

เขาและเสนาบดีอาวุโสทั้งสามสนทนาเรื่องราวของประเทศชาติต่ออีกครู่หนึ่ง วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสิบสองและจะได้หยุดยาวแล้ว ดังนั้นจึงต้องมอบหมายงานให้ทำล่วงหน้าสักเล็กน้อย

อย่างเช่นเรื่องที่ตรวจพบการทุจริตในเมืองต่าง ๆ ที่ขุนนางประจำท้องถิ่นยื่นรายงานมา สิ่งนี้ต้องยืนยันกับรายงานที่สายลับหอเทียนจีส่งมาว่าตรงกันหรือไม่ สุดท้ายก็ต้องมาตัดสินใจว่าควรกำจัดทิ้ง ปลดออกหรือแทนที่ด้วยขุนนางผู้ใดบ้าง

อีกอย่างคือความคืบหน้าของการตัดถนนและสร้างสะพานในมณฑลต่าง ๆ ตลอดจนความก้าวหน้าของโครงการอนุรักษ์น้ำเพื่อการเกษตร

ยามพลบค่ำ เสนาบดีอาวุโสทั้งสามจึงทูลลากลับไป ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั่งดื่มชาต่ออีกสองถ้วย ระหว่างนั้นก็ได้ให้หลิวจิ่นไปเรียกจี้หยุนกุยเข้ามาพบ จากนั้นก็ได้ปิดประตูสนทนากันราว 1 ชั่วยามโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าพวกเขาสนทนาเรื่องอันใดกันอยู่ การเดินทางครานี้ของจี้หยุนกุยมีระยะทางนับพันลี้เลยทีเดียว

ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร แทนที่จะนั่งพระเกี้ยว แต่เขากลับเลือกเดินเท้าท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปราย

หลิวจิ่นและเป่ยหวังฉวนจ้องมองแผ่นหลังที่แสนหนักอึ้งของเขาจากด้านหลัง

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในหัวพลางเดินตรงไปยังตำหนักฉืออัน

เรื่องภายในเกี่ยวกับการทำให้รากฐานของประเทศต้าเซี่ยมั่งคง ในปีหน้าจะเป็นปีที่สำคัญสำหรับการฟื้นฟูความเป็นอยู่ของราษฎร ภายใต้การปกครองของจ่งตูใหญ่ทั้งสามและเหล่าเต้าถายที่มีศักยภาพ คงจะมิเกิดปัญหาใดขึ้นมาอีก

ส่วนภายนอกนั้น…สภาพแวดล้อมภายนอกที่ทราบในขณะนี้เรียกได้ว่ายังคงเลวร้าย

ระเบิดถูกวางเอาไว้ทางเหนือ ทั้งยังคาดการณ์มิได้ว่าจะเกิดระเบิดขึ้นมาเมื่อใด

หากหอเทียนจีสืบได้ว่ามีทหาร 400,000 นายอยู่ที่ภูเขาต้าเซียนเปยจริง…เกรงว่าครานี้จำต้องเป็นฝ่ายบุกโจมตีเสียก่อน

สำหรับข้อขัดแย้งระหว่างสองแคว้นนั้น…จะมัวเถียงกันให้เปลืองน้ำลายเนื่องด้วยเหตุอันใดเล่า กำปั้นของผู้ใดใหญ่กว่าผู้นั้นก็ชนะไปสิ

นอกจากนี้ก็ยังมีศัตรูทางทะเลอีก กองทัพเรือของฝูหล่างจีจะยกทัพมาเมื่อใด ? การมาครานี้จะนำกองทัพเรือในประเทศมหาอำนาจเยี่ยงอังกฤษและโปรตุเกสมาร่วมรบด้วยหรือไม่ ?

เรื่องนี้ต้องคิดในส่วนที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน จำต้องคิดว่าฝ่ายตรงข้ามได้เข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่หนึ่งแล้ว และเรือรบเหล่านั้นก็ได้ทำการติดตั้งเครื่องจักรไอน้ำแล้วเช่นกัน

หากจะต่อต้านกองทัพเรือที่แข็งแกร่งได้ ทหารเรือและเรือรบจำเป็นต้องเร่งการพัฒนา !

ทหารบกกองทัพที่หนึ่ง บัดนี้มีกวนเสี่ยวซีเป็นผู้บัญชาการ กองทัพที่สองคือเฝิงซี กองทัพที่สามเป็นเว่ยอู๋ปิ้ง กองทัพที่สี่นำโดยเฉินป๋อและกองทัพที่ห้ามีหวางเสี่ยวจ้วงเป็นผู้บัญชาการ

รอให้ทหารม้าของท่าป๋าเฟิงฝึกฝนสำเร็จก่อนเถิด เมื่อนั้นก็จะมีกองทัพบกรวมทั้งสิ้น 600,000 นาย

ส่วนกองทัพเรือที่หนึ่งมีจั่วมู่เป็นผู้บัญชาการ กองทัพที่สองนำโดยเผิงหลางและกองทัพที่สามมีเฮ้อซานเตาเป็นผู้บัญชาการ และยังมีถางเชียนจวินเป็นผู้บัญชาการกองนาวิกโยธินอีก 50,000 นายอีกด้วย

เฮ้อซานเตารับสมัครทหารอีก 100,000 นาย โดยเอ่ยว่าจะไปฝึกฝนกองทัพเรือที่สาม ณ เซี่ยเย๋

มิได้การ ! ต้องออกราชโองการให้เฮ้อซานเตาควบคุมการฝึกฝนของกองนาวิกโยธินให้มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเพื่อดำเนินการตามคำสั่งเฉพาะ อย่างเช่นการลอบสังหารและการตัดศีรษะ

อาณาเขตของประเทศต้าเซี่ยกว้างขวางมากยิ่งนัก กองทัพบกจำเป็นต้องขยายเพิ่มขึ้น มีผู้ใดอีกบ้างที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ ?

ฟู่เสี่ยวกวนกลัดกลุ้มใจมากยิ่งนัก เพราะคนที่มีความสามารถในมือของเขายังมีมิเพียงพอ

จำต้องเรียกจัวตงหลายกลับมาแล้วให้เขาจัดตั้งทหารกองทัพบกที่หกขึ้นมา

ยามที่กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ เขาก็ได้เดินมาถึงตำหนักฉืออันและได้ยินเสียงการเล่นไพ่นกกระจอกดังออกมาจากด้านใน

เขาหัวเราะพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา แล้วเอ่ยกับหลิวจิ่นว่า “อีกประเดี๋ยวจงไปยกเครื่องเสวยจากห้องทรงพระอักษรมาที่นี่”

เขามิได้เดินเข้าไปในตำหนักฉืออัน ทว่ากลับเดินไปยังตำหนักกว่างหมิงแทน… ฟู่เสี่ยวกวนมอบตำหนักนี้ให้เป็นที่พักรักษาอาการบาดเจ็บของเจี่ยหนานซิง

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาถึงประตูตำหนักกว่างหมิง พลันขมวดคิ้วสงสัย… ราตรีกาลมาเยือนแล้ว ตะเกียงที่อยู่ริมถนนก็ได้ถูกจุดขึ้นมาแล้ว ทว่าในตำหนักกว่างหมิงกลับมีเพียงตะเกียงดวงเดียวที่มิค่อยสว่างนัก

“เกิดอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลิวจิ่นที่ถือตะเกียงอยู่ในมือรีบตอบกลับมาว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมให้นางกำนัล 12 คนและขันทีอีก 6 คนมาคอยรับใช้ที่นี่ตามพระบัญชา” หัวใจของเขาราวกับหยุดเต้นไปชั่วครู่ “ฝ่าบาท…กระหม่อมได้แจ้งพระประสงค์ให้แก่ขันทีหลินหัวหน้าฝ่ายซือหลี่เจี้ยนให้รับผิดชอบในส่วนนี้แล้ว เกรงว่า… เกรงว่า…”

บัดนี้สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนมืดครึ้มยิ่งกว่าท้องนภาในยามราตรีเสียอีก เจี่ยหนานซิงเป็นหัวหน้าขันทีผู้กุมอำนาจฝ่ายซือหลี่เจี้ยนอย่างแท้จริง ทว่าเพราะได้รับบาดเจ็บจึงต้องการพักรักษาตัว เขาจึงได้แต่งตั้งขันทีหลินขึ้นมาเป็นหัวหน้าขันทีฝ่ายซือหลี่เจี้ยนชั่วคราว

หรือขันทีแซ่หลินผู้นั้น เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วกัน ? !

ฟู่เสี่ยวกวนเดินผ่านเข้าไปในห้องใหญ่ของตำหนักกว่างหมิง ยื่นมือออกไปเปิดประตูเสียงดัง แอ๊ด…

บรรยากาศด้านในช่างเงียบเหงามากยิ่งนัก

มิมีแม้กระทั่งเตาผิง !

ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเสียงกรอบแกรบดังมาจากด้านใน เขาจึงรีบเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เขาเห็นเจี่ยหนานซิงพยายามพลิกตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก

ในห้องมีกลิ่นปัสสาวะฉุนลอยคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ทำให้หลิวจิ่นยกมือขึ้นปิดจมูกโดยมิรู้ตัว ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับเดินเข้าไปโดยมิสนใจอันใดเลยสักนิด

ดวงตาชราที่ขุ่นมัวของเจี่ยหนานซิงเพ่งมองจนเห็นใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา

“ฝ่าบาท…กระหม่อมแก่ชรามากแล้วจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”

“บัดนี้ท่านยังมิต้องเอ่ยอันใด หลิวจิ่น…เจ้ารีบไปพานางกำนัล 30 คนและขันทีอีก 10 คนจากตำหนักหยางซินของข้ามา ! จุดไฟในเตาผิงให้ข้าด้วย ข้าจะอยู่สนทนากับผู้อาวุโสเจี่ยที่นี่”

หลิวจิ่นตระหนักถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับคนแซ่หลินได้ทันที ดังนั้นเขาจึงรีบเดินออกไปทำตามพระบัญชา

ฟู่เสี่ยวกวนใช้มือประคองแขนของเจี่ยหนานซิง พาเขาเดินออกไปจากห้องที่มีกลิ่นเหม็นนั้น เพื่อมายังห้องโถงใหญ่ด้านนอก

เป่ยหวังฉวนหาเตาผิงพบ ทว่ามิมีถ่านไม้อยู่เลยสักท่อน

ฟู่เสี่ยวกวนถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ขนาดใหญ่ คลุมไว้บนร่างของเจี่ยหนานซิงซึ่งมีน้ำตาไหลออกมาจากใบหน้าตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

“ท่านคอยติดตามอยู่ข้างกายข้ามานานย่อมรู้จักนิสัยของข้าดี เหตุใดถึงมิบอกกล่าวกับข้าสักคำ ? ! ”

เจี่ยหนานซิงยกแขนเสื้อขึ้นพลางเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “กระหม่อม… สุ่ยหยุนเจียนเอ่ยว่าวรยุทธของกระหม่อมมิอาจฟื้นคืนได้อีก กระหม่อมจึงมิอยากรบกวนฝ่าบาทด้วยเรื่องเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนกลั้นน้ำตาเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด เขาจับมือที่แห้งเหี่ยวทั้งสองข้างของเจี่ยหนานซิงเอาไว้

“ท่านเคยสัญญาว่าจะเป็นคนเฝ้าประตูให้ข้าไปชั่วชีวิต ! ดังนั้นวรยุทธ์จะไปสำคัญอันใด ! ข้าเคยให้คำสัญญากับท่านว่าจะปรนนิบัติเลี้ยงดูท่านก่อนถึงวันสิ้นลม”

“เหตุใดท่านมิเข้าใจความหมายของข้าเลย ? ท่านทำเช่นนี้รู้หรือไม่ว่าข้าจะทุกข์ใจมากเพียงใด ? หากข้ามิได้มาในวันนี้ก็คงมิรู้ว่าเกือบทำให้ท่านต้องตกตายอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ ? ! ”

ทันใดนั้นก็มีน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเจี่ยหนานซิง “กระหม่อม… คนแซ่หลินเอ่ยว่าฝ่าบาททรงมีพระราชกิจมากมายและยุ่งมากยิ่งนัก กระหม่อมรู้ดีว่าฝ่าบาททรงงานยุ่ง กระหม่อมอายุ 72 ปีและได้ใช้ชีวิตมานานพอแล้ว กระหม่อมเข้าใจถึงความเมตตาของฝ่าบาทจึงมิอยากไปรบกวนฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านคิดผิดแล้ว เรื่องการปรนนิบัติเลี้ยงดูยามแก่ชราถือเป็นนโยบายของประเทศที่ข้ากำหนดขึ้นมา อีกอย่างที่ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เป็นเพราะข้า เช่นนั้นตั้งแต่บัดนี้สืบไปท่านจงวางใจและพักรักษาตัวให้ดี ข้าจะรอจนกว่าท่านจะหายดีแล้วมาเป็นคนเฝ้าประตูของข้าต่อไป ! ”