ตอนที่ 995 ประหารชีวิต

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 995 ประหารชีวิต

หลิวจิ่นพานางกำนัล 30 คนและขันทีอีก 10 คนเข้ามาที่นี่

ภายใต้การดูแลของหลิวจิ่นส่งผลให้ตะเกียงในตำหนักกว่างหมิงกลับมาสว่างไสวอีกครา

ในพระตำหนักมีเตาผิงห้าเตาจุดอยู่ ทำให้ทั้งห้องโถงใหญ่เกิดความอบอุ่นขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงจับมือทั้งสองข้างที่เย็นเฉียบของเจี่ยหนานซิงเอาไว้ รู้สึกว่าเริ่มอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

ขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังสนทนาเรื่องราวในอดีตที่เมืองจินหลิงกับเจี่ยหนานซิงด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน

หลิวจิ่นสั่งให้นางกำนัลเข้าไปทำความสะอาดในห้องนอนใหญ่และสั่งให้คนไปทำอาหารในห้องเครื่องมา

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้มายืนอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน จ้องมองใบหน้าซีดเซียวของเจี่ยหนานซิงที่เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครา

“ท่านเอ่ยว่าสภาพอากาศที่จินหลิงอบอุ่นและสิ่งที่อยากทำในชีวิตก็คือได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่จินหลิง”

“บัดนี้จินหลิงเป็นส่วนหนึ่งของต้าเซี่ยแล้ว รอให้สภาพอากาศเริ่มอุ่นขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ข้าจะเดินทางไปพักที่จวนติ้งอันป๋อแห่งจินหลิงกับท่าน อ้อ…มิต้องคิดถึงเรื่องเฝ้าประตูแล้ว”

“จงไปนั่งอยู่ในศาลาเถาหรานเพื่อตกปลาในทะเลสาบซวนอู่… ข้าเคยลองแล้ว ทว่าตกมิค่อยได้เลย อาจจะเป็นเพราะมีปลาน้อยจนเกินไป ข้าจึงสั่งให้คนเอาปลาไปปล่อยไว้แล้ว”

“ได้ยินมาว่าภูเขาเถิงซีที่อยู่นอกเมืองจินหลิงเต็มไปด้วยดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิที่งดงามและเต็มไปด้วยสีสันสดใส เมื่อถึงเวลาข้าจะพาท่านไปดู… หากท่านเดินมิไหว ข้าจะสั่งให้กรมโยธาธิการทำเก้าอี้รถเข็นขึ้นมาแล้วข้าจะเข็นท่านไปเอง”

“ประเทศต้าเซี่ยในตอนนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากนัก ข้าจะบอกอันใดให้ว่าทุ่งหญ้าสีเขียวอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ชื่อเล่อชวนจะมีดอกไม้ป่านานาชนิด มองดูแล้วงดงามมากยิ่งนัก อ้อ ! แล้วข้าก็ได้สั่งให้คนไปปลูกดอกลาเวนเดอร์ที่ที่เป็นสีม่วงในรัฐจื่อฉีด้วย…ท่านชอบสีใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ในดวงตาของเจี่ยหนานซิงเริ่มมีสีสันขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะเป็นชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนใฝ่ฝันหลังได้เกษียณแล้ว

“หากเป็นทิวทัศน์ของต้าเซียแห่งนี้ กระหม่อมล้วนชื่นชอบทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“อืม…บัดนี้ข้าได้แบ่งแคว้นฝานออกเป็นสี่มณฑล ได้ยินว่ามีทะเลสาบเยียนเสียที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาฉิงเสวี๋ยนอกเมืองฉางจิน ข้ามีเรือนอีกหนึ่งหลังอยู่ในเมืองฉางจิน ทว่ายังมิเคยไปเยือนเลยสักครา เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราไปพักผ่อนที่เรือนนั้นกันเถิด”

“ดี… ดียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องมีชีวิตอยู่ต่ออย่างแน่นอน รอให้ฝ่าบาทพากระหม่อมไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ของต้าเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนคลายความกังวล ส่วนความรู้สึกปลงจนอยากตายของเจี่ยหนานซิงก็คลายลงไปมากแล้วเช่นกัน

หลิวจิ่นยืนฟังด้วยความฉงนพลางจ้องมองไปที่แผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน ครุ่นคิดในใจว่าความเมตตาที่ฝ่าบาทมีต่อเจี่ยหนานซิง ช่างเหนือความคาดหมายของเขามากนัก

เจี่ยหนานซิงเป็นบ่าวที่คอยติดตามอยู่ข้างกายฝ่าบาทตั้งแต่จินหลิงมาจนถึงตอนนี้ อีกอย่างเหตุการณ์ที่เมืองเปียนเฉิงนั้นฝ่าบาทกำลังจะถูกทำร้าย เขาได้พาร่างของตนเองมาบังจนปลายกระบี่แทงทะลุร่างกาย ชีวิตของเขาได้ถวายให้แก่ฝ่าบาท ส่วนฝ่าบาทก็ตอบแทนเขาโดยการเลี้ยงดูไปชั่วชีวิต !

นี่คือการทดแทนบุณคุณแบบใดกัน ? !

นี่คือความรักใคร่สนิทสนมมากเพียงใด ? !

หลิวจิ่นครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน พลันคิดไปว่าชีวิตของตนควรเป็นดั่งเจี่ยหนานซิงที่คอยติดตามอยู่ข้างกายของฝ่าบาท ช่วยแบ่งเบาความทุกข์กังวลและรับคมดาบคมกระบี่ที่จู่โจมเข้ามาแทนฝ่าบาท !

ห้องเครื่องทำโจ๊กมาหนึ่งหม้อ นางกำนัลถือโจ๊กหนึ่งชามเดินเข้ามา จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ยื่นมือไปรับมันเอาไว้

เขาใช้ช้อนตักโจ๊กขึ้นมาหนึ่งคำ เป่าอย่างระมัดระวังโดยการใช้ริมฝีปากแตะว่ามันอุ่นแล้วหรือยัง จากนั้นก็ยื่นไปตรงปากของเจี่ยหนานซิง

เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้ามิมีท่านปู่ ในใจของข้าจึงนับถือท่านเป็นปู่มาโดยตลอด”

เมื่อฝ่าบาทตรัสออกมา หลิวจิ่นและเป่ยหวังฉวนก็พลันเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

ฝ่าบาททรงเป็นโอรสแห่งสวรรค์ !

มิคาดคิดเลยว่าฝ่าบาทจะยอมรับเจี่ยหนานซิงเป็นท่านปู่ !

เจี่ยหนานซิงก็มิคาดคิดเช่นกันว่า ฟู่เสี่ยวกวนจะมีความรักลึกซึ้งต่อตนถึงเพียงนี้ เขารู้สึกว่านี่มิได้เป็นการเสแสร้งจึงบังเกิดความรู้สึกซาบซึ้งตรึงใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขารู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนเยี่ยงไร

ความร้อนของโจ๊กกำลังพอดี เขาจึงทานเข้าไปอย่างสบายใจพลางคิดว่าต้องทานให้มากหน่อย ตัวเขายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเฝ้ามองประเทศต้าเซี่ยภายใต้การปกครองของฝ่าบาทว่าจะมีทิวทัศน์งดงามมากเพียงใด !

……

……

เขาทานโจ๊กหมดไปหนึ่งชามแล้วสนทนากับฟู่เสี่ยวกวนต่ออีกสักพัก ด้วยความเหนื่อยล้าและรู้สึกปลอดภัยเจี่ยหนานซิงที่เอนตัวไปบนเก้าอี้จึงผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น

ฟู่เสี่ยวกวนอุ้มเขาเข้าไปในห้อง จากนั้นก็วางเขาลงบนเตียงอุ่น คลุมผ้าห่มให้อย่างระมัดระวังและจ้องมองไปยังใบหน้าอันเงียบสงบที่เต็มไปด้วยร่องแก้มลึก จากนั้นก็เดินออกจากห้องนี้

“ไปพาคนแซ่หลิวมาหาข้า… ไม่สิ ! ให้ทหารยามสองสามคนไปลากตัวเขามา”

“พวกเจ้าทั้งหลายจงฟัง…หลังจากนี้ต่อไปพวกเจ้าเป็นคนของตำหนักกว่างหมิง หากเจี่ยหนานซิงมิเจ็บไข้ได้ป่วย พวกเจ้าจะได้ใช้ชีวิตกินดีอยู่ดี ทว่าหากเจี่ยหนานซิงเป็นอันใดขึ้นมา…พวกเจ้าทั้งหมดจะถูกฝังกลบไปพร้อมกันกับเขา ! ”

นี่เป็นคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาโดยไร้ความปรานี จนทำให้เหล่านางกำนัลและขันทีพากันคุกเข่าลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะเพราะความหวาดกลัว

“พรุ่งนี้จงให้คนไปเรียกสุ่ยหยุนเจียนมา ข้ามิได้ต้องการให้เจี่ยหนานซิงฟื้นคืนวรยุทธเพราะข้าต้องการให้เขามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและต้องการให้เขาอยู่ต่อได้อีกหลายปี จงจำคำเอ่ยของข้าเอาไว้ ! ”

“หากในตำหนักกว่างหมิงขัดสนสิ่งใด พวกเจ้าสามารถไปหาหลิวจิ่นได้ทันที ส่วนเบี้ยหวัดของตำหนักกว่างหมิง…ใช้ระบบเดียวกันกับตำหนักของพระสนม หากมีผู้ใดกล้าเอาเปรียบผู้อาวุโสเจี่ย พวกเจ้าก็อย่าได้ตำหนิว่าข้าใจดำอำมหิตก็แล้วกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สั่งให้นางกำนัลและขันทีเหล่านี้ลุกขึ้น

เขายืนอยู่ในลานที่มีหิมะตกปกคลุม จนกระทั่งหลิวจิ่นพร้อมกับทหารยามสองสามนายลากตัวขันทีหลินเข้ามา

ขันทีหลินยังมิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น เมื่อมองดูสถานการณ์เบื้องหน้า ในใจจึงรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที…เหตุใดฝ่าบาทถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน ?

คนแซ่เจี่ยตายแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

คนแซ่เจี่ยเป็นขันทีชราที่ไร้ประโยชน์และควรถูกไล่ออกจากวัง ควรปล่อยให้ตายอยู่ข้างนอกไปเองมิใช่หรือ ?

“ฝ่าบาท… ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองอีกฝ่ายอย่างขยะแขยง จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นถีบขันทีหลินอย่างแรง ร่างของขันทีหลินลอยไปไกลแล้วตกกระแทกลงกับพื้นหิมะดัง ‘ตุ้บ… ! ’

“ถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ของมันออกให้หมด จากนั้นให้เอาตัวมันไปมัดไว้กับเสาในสวนด้านนอก เอาผ้าปิดปากมันไว้ด้วย เจิ้นจะลงโทษมันโดยการประหารชีวิต…ด้วยมีดพันเล่ม1 ! ”

ขันทีหลินหน้าซีดเผือดด้วยความตื่นกลัว จากนั้นก็รีบคลานบนพื้นหิมะเข้ามา เขาไม่แม้แต่จะเช็ดคราบโลหิตที่มุมปากด้วยซ้ำ

“ฝ่าบาท… ฝ่าบาท…. ! กระหม่อม กระหม่อมสมควรตาย… กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดให้อภัย…”

หลิวจิ่นเดินเข้าไป จากนั้นก็ใช้เท้าเตะขันทีหลินจนล้มลงกับพื้น เขาหยิบผ้ามายัดใส่ปากของขันทีหลินแล้วเอ่ยกับทหารยามว่า “ลากตัวมันออกไปแล้วมัดมันไว้กับเสา รอให้ฝ่าบาทเสด็จกลับแล้วจงประหารชีวิตมันทันที ! ”

เสียงอ้อแอ้ของขันทีหลิวกำลังร้องขอชีวิต สมองของเขาขาวโพลนคิดอันใดมิออก จึงหมดสติไปทั้งอย่างนั้น

ฟู่เสี่ยวกวนเดินนำหลิวจิ่นและเป่ยหวังฉวนออกจากตำหนักกว่างหมิงแล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉืออัน

“หลิวจิ่น”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“ข้ามิเคยเลือกปฏิบัติต่อผู้ใดรวมถึงขันทีด้วย ทว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจี่ยหนานซิงใหญ่หลวงนัก หลังจากนี้เจ้าจงเพิ่มความใส่ใจให้มาก อย่าให้เขาได้รับความมิเป็นธรรมอีก”

“กระหม่อมจะมิปล่อยให้ท่านผู้อาวุโสเจี่ยได้รับความลำบากแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“อือ ปีหน้า…เจ้าจงรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายซือหลี่เจี้ยนโดยมีหน้าที่อบรมสั่งสอนขันทีทั้งหมด ! ”

วาสนาอันใหญ่หลวงหล่นลงมาจากฟากฟ้าตกใส่ศีรษะของหลิวจิ่นซึ่งมีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น เขาสับสนอยู่ชั่วครู่ พอได้สติขึ้นมาก็รีบถวายคำขอบคุณทันที “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงวางพระทัยและเมตตากระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ดี ! เพราะเจิ้นไว้วางใจเจ้า อย่าทำให้เจิ้นผิดหวังล่ะ เพราะหากเกิดรอยร้าวต่อความไว้วางใจนี้… เจ้าจะไร้โอกาสคืนสภาพเดิมได้อีก ! ”

“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก ทันใดนั้นความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ได้มลายหายไปจนสิ้น จากนั้นก็เดินเข้าไปในตำหนักฉืออันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

1มีดพันเล่ม คือ การประหารชีวิตที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายและทารุณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน เรียกว่าการแล่เนื้อออกเป็นชิ้น ๆ ทั้งเป็นจนกระทั่งตาย