ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 24 คารวะอาจารย์

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ยามนี้ในใจของอวี้เฟิงชิงอินรู้สึกซับซ้อนไปหมด เดิมที นางแค่ช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิงจากความรกร้างเพียงเพราะนิสัยใจดีของนางเท่านั้น และยังรู้สึกเคารพในตัวสิ่งมีชีวิตที่กล้าหาญบุกฝ่าความรกร้างเพียงลำพังด้วย

ต่อมาเมื่อได้รู้ว่าเป็น ‘ผู้เหินทะยาน’ นางก็ยิ่งสนใจใคร่รู้ในตัว ตงป๋อเสวี่ยอิงมากขึ้นไปอีก

บวกกับ…

ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงโลกใบนี้เป็นครั้งแรกโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คิดจะเข้ากับโลกใบนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นจึงลอบสำแดงวิธีการของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมา แม้จะมิได้สำแดงออกมาตามอำเภอใจ แต่ก็ได้เพิ่ม ‘เสน่ห์’ ให้กับเขาเป็นอย่างมาก บนเรือลำใหญ่ในตอนแรกนั้น คนส่วนมากมีความรู้สึกดีอย่างยิ่งต่อตงป๋อเสวี่ยอิง จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ชอบตงป๋อเสวี่ยอิง อย่างเช่น ‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’

ส่วน ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ที่ได้รับผลกระทบจากวิถีเขตลวงโลกเทียม กลับรู้สึกดียิ่งต่อตงป๋อเสวี่ยอิง! ถึงขั้นเชื้อเชิญให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรับหน้าที่เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญด้วยตนเอง

“คิดไม่ถึงว่าเขาจะเก่งกาจถึงเพียงนี้” อวี้เฟิงชิงอินลอบพึมพำ

“จ้าวเทพหิมะเหิน” อวี้เฟิงเหลยพูดพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน

ฟิ้วๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจ้าวภูเขาค้างคาวทะยานออกจากเวทีการต่อสู้ มาถึงช้างกายอวี้เฟิงเหลย

“คุณชายใหญ่” ตงป๋อเสวี่ยอิงและจ้าวภูเขาค้างคาวโค้งคารวะเล็กน้อย

“จ้าวเทพหิมะเหิน นี่คือความไม่ถูกต้องของเจ้า ก่อนหน้านี้เจ้าถ่อมเนื้อถ่อมตัวถึงเพียงนั้น ไหนเลยจะไปคิดว่าพลังยังแข็งแกร่งกว่าจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่ขุมหนึ่ง” อวี้เฟิงเหลยหัวเราะพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“จะว่าไปแล้วก็ยังต้องขอบคุณคุณชายใหญ่ ขอบคุณคุณหนูสาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ขอบคุณข้าหรือ” อวี้เฟิงเหลยตกตะลึง อวี้เฟิงชิงอินที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็สะดุ้ง ปากอ้าค้างเล็กน้อย

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ต่อไป “อันที่จริงก่อนหน้านี้พลังของข้าเมื่อเทียบกับจ้าวภูเขาค้างคาวแล้ว เกรงว่าคงจะตกเป็นรองกว่าอยู่เล็กน้อย แต่เพราะคุณชายใหญ่และคุณหนูสาม ข้าจึงได้กลายเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญและสามารถแลกเปลี่ยนเอาคัมภีร์การบำเพ็ญกลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศมาจากในหอสะสมคัมภีร์ได้ หลังจากข้าดูคัมภีร์เล่มนี้แล้ว ได้รับการกระตุ้นก็คิดค้นท่าไม้ตายใหม่ขึ้นมาได้ จึงเหนือกว่าจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่ขุมหนึ่งก็เท่านั้นเอง”

“อะไรนะ” จ้าวภูเขาค้างคาวที่อยู่อีกข้างหนึ่งตกตะลึง อ่านคัมภีร์ในหอสะสมคัมภีร์ จึงคิดค้นท่าไม้ตายใหม่ขึ้นมาได้ หรือกล่าวได้ว่า ก่อนหน้าที่จะเข้าไปยังหอสะสมคัมภีร์ จ้าวเทพหิมะเหินยังอ่อนแอกว่าเขาอยู่เล็กน้อยอย่างนั้นหรือ

ก็เพราะระมัดระวังเกินไป

เขาจึงพ่ายแพ้ใน ‘การประลองหยั่งเชิง’ ที่ไม่มีอันตรายถึงชีวิตภายในสกุลอวี้เฟิงอย่างนั้นหรือ

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต่อให้ลงมือเร็วกว่านี้ ข้าก็มิอาจทำลายเขาได้แม้แต่น้อย” จ้าวภูเขาค้างคาวลอบปลอบใจตนเอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่อีกข้างหนึ่งพูดกับอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงชิงอินต่อไปว่า “ดังนั้นข้าจึงกล่าวว่า ต้องขอบคุณคุณชายใหญ่และคุณหนูสาม! โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหนูสามที่ช่วยข้าตอนบาดเจ็บสาหัสและอ่อนแอที่สุด”

“ฮ่าฮ่า นี่เป็นวาสนาทั้งนั้น” อวี้เฟิงเหลยพูดยิ้มๆ “เช่นนี้ วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงขึ้นในวังภูเขาลอย จ้าวเทพหิมะเหิน จ้าวภูเขาค้างคาว จ้าวเทพเจียนอิ่นและทุกท่าน มากันให้หมดล่ะ! มาเฉลิมฉลองที่เมืองจวิ้นซานของเรามียอดฝีมืออย่างจ้าวเทพหิมะเหินเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง”

……

กลางฟากฟ้าเหนือเมืองจวิ้นซาน มียอดเขาที่ลอยคว้างอยู่สามแห่ง เดิมทีเป็นจุดเชื่อมต่อของการหมุนเวียนค่ายกล

สกุลอวี้เฟิงสร้างวังอยู่ด้านบน กลายเป็นสถานที่เสพสุขซึ่งหรูหราที่สุดของทั้งเมืองจวิ้นซาน บัดนี้วังภูเขาลอยแห่งนี้ก็มียอดฝีมือมากมายรวมตัวกัน ยอดฝีมือระดับจ้าวเทพกลุ่มใหญ่มาที่นี่ก็เพื่อผูกสัมพันธ์กับ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ที่สามารถกดดันจ้าวภูเขาค้างคาวได้

“จ้าวเทพหิมะเหิน ข้าน้อยชวนชิ่งเป็นทหารตัวเล็กๆ ของกองกำลังเพลิงพิสดารที่ประจำการอยู่ในเมืองจวิ้นซาน” ชายชราผมเงินคนหนึ่งพูดยิ้มๆ

“ที่แท้แล้วเป็นจ้าวเทพชวนชิ่งแห่งกองกำลังเพลิงพิสดารนี่เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงก่อนจะขานรับ

หลังจากค้นดูความทรงจำแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ ของเมืองจวิ้นซานดีเหมือนกับผู้แกร่งกล้าท้องถิ่นคนหนึ่งเลยทีเดียว ‘กองกำลังเพลิงพิสดาร’ นี้เป็นตัวแทนของ ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลราชันย์ซึ่งมีสถานะไม่ธรรมดาที่สุดของทั้งโลกเทพ แม้สามตระกูลราชันย์จะสูงส่งเหนือใคร ไม่ร่วมการแก่งแย่งชิงดีกับขุมอำนาจทั้งหลายในใต้หล้าก็ตามที

แต่พวกเขาก็ยังคง ส่งผลกระทบต่อใต้หล้าผ่านวิธีการต่างๆ อยู่ดี

เช่นเมืองใหญ่แทบจะทุกแห่งของ ‘ตระกูลจิตฟ้า’ ล้วนมี ‘หอจิตฟ้า’ อยู่แห่งหนึ่ง และ ‘ประมุขหอสิง’ ซึ่งเป็นยอดฝีมือที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองจวิ้นซานก็คือประมุขของหอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซาน

หรืออย่าง ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ ก็มีกองกำลังย่อยของกองกำลังเพลิงพิสดารอยู่แทบจะในทุกเมืองใหญ่ โดยทั่วไปมีเพียงห้าคนเท่านั้น พลังน้อยนิดเท่านี้ก็ย่อมมิอาจส่งผลกระทบต่อการห้ำหั่นช่วงชิงกันของขุมอำนาจใหญ่ได้ แต่ก็ทำให้ตระกูลจินเซิ่งเข้าใจทุกหนแห่งในใต้หล้านี้ได้ละเอียดยิบหาใดเปรียบ

“จ้าวเทพหิมะเหิน การประลองหยั่งเชิงของท่านกับจ้าวภูเขาค้างคาวรวดเร็วยิ่งนักเกินไปแล้ว ข้าเร่งไปชมการต่อสู้ไม่ทันเลย พวกท่านก็ยุติลงแล้ว” ประมุขหอสิงก็เข้ามาพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงสองสามประโยค

คนแล้วคนเล่ามาพูดคุยผูกสัมพันธ์ด้วย

ผู้ที่กล้าเข้ามาหาเอง อย่างน้อยก็ต้องเป็นจ้าวเทพคนหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่า ทุกคนล้วนรู้ว่ายอดฝีมือตัวฉกาจเช่นนี้คนหนึ่งจะต้องส่งผลกระทบต่อการแก่งแย่งของขุมอำนาจต่างๆ ภายในเมืองจวิ้นซานอย่างแน่นอน ในโลกเทพ การ‘เคลื่อนที่ในพริบตา’ ได้กลายเป็นตำนานอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว! หากเมืองใหญ่สองแห่งทำศึกกัน ก็ต้องโดยสารเรือลำใหญ่บินร่อนออกไปไกลลิบ ไปถึงเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยโจมตี! ลำพังแค่การเหินทะยานไปก็ยังต้องใช้เวลาเนิ่นนาน ทั้งยังทะลุผ่านความรกร้างอีกด้วย

ดังนั้นจึงหาได้ยากมากที่เมืองใหญ่ต่างๆ จะเปิดศึกกันเอง

เมืองใหญ่แห่งหนึ่งก็เหมือนกับรัฐของฟากฝั่งหนึ่งเลยทีเดียว! อย่างประมุขหอสิงและพวกจ้าวเทพชวนชิ่ง แม้เบื้องหลังต่างมีตระกูลราชันย์อยู่ แต่พวกเขาก็หยั่งรากลึกอยู่ในเมืองจวิ้นซานมาตั้งนานแล้ว

“จ้าวเทพหิมะเหิน” อวี้เฟิงชิงอินเดินเข้ามาเอง เมื่อเดินมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงจึงนั่งลง ด้านข้างก็มีบ่าวรับใช้ช่วยรินสุราชั้นเลิศให้ทันที

“คุณหนูสาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ทั้งเมืองจวิ้นซาน ผู้ที่เขารู้สึกดีด้วยที่สุดก็คือคุณหนูสามผู้นี้นั่นเอง

“จ้าวเทพหิมะเหิน วันนี้ช่างโดดเด่นจริงๆ จ้าวเทพฝ่ายต่างๆ ล้วนปฏิบัติต่อท่านอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้   แม้แต่พี่ใหญ่ของข้าก็ยังมอบจวน มอบบ่าวรับใช้ให้ท่าน” อวี้เฟิงชิงอินกล่าว น้ำเสียงกลับหดหู่อยู่บ้าง

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง

น้ำเสียงนี้ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย เขาทำได้เพียงยิ้มรับเท่านั้น “หากไม่มีคุณหนูสามช่วยข้ามาที่นี่ บางทีข้าอาจจะยังต้องหนีเอาชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางความรกร้างก็ได้”

“ด้วยความสามารถของจ้าวเทพหิมะเหินแล้ว จะต้องพ้นช่วงอันตรายมาได้อย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะสามารถไปถึงเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดได้” อวี้เฟิงชิงอินแค่นเสียงเฮอะเบาๆ คราหนึ่ง “ท่านทราบไหมว่า ครั้งก่อนที่ข้าโดยสารเรือใหญ่ออกจากเมืองจวิ้นซานไป ก็เพราะคิดจะไปคารวะเจ้าสำนักรุ่งอรุณเป็นอาจารย์”

“ไม่ทราบเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกันว่าเจ้าจะไปคารวะอาจารย์น่ะ

สายตาของอวี้เฟิงชิงอินล่องลอย พลางพูดเสียงเบาว่า “น่าเสียดายที่เจ้าสำนักรุ่งอรุณ     ไม่ยอมรับข้าเป็นศิษย์ ก็ถูกต้องแล้ว ข้ายังมิได้บรรลุถึงขั้นจ้าวเทพเลย ทั้งยังมีปัญหายุ่งยากอยู่เป็นกองอีกด้วย เจ้าสำนักรุ่งอรุณ   ไหนเลยจะยอมรับข้าเป็นศิษย์ได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอยู่ข้างๆ โดยมิได้สอดปากพูด

“อีกไม่นานเท่าใดนัก ข้าก็จะไปยังเมืองไม้บูรพา หรือไม่ก็…” เสียงของอวี้เฟิงชิงอินต่ำลง ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะต้องตกเป็นของเล่นของคุณชายเก้าเมืองไม้บูรพา หรือว่าเมืองไม้บูรพาจะไม่ยอมช่วยเหลือ หากสกุลอวี้เฟิงเผชิญหน้ากับหายนะจนจวนตัว เกรงว่านาง อวี้เฟิงชิงอินก็คงคารวะอาจารย์ไม่สำเร็จ

“จ้าวเทพหิมะเหิน” อวี้เฟิงชิงอินกล่าว

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง

“ท่านเป็นอาจารย์ของข้าได้หรือไม่” อวี้เฟิงชิงอินพลันปริปากออกมา

“เป็นอาจารย์ของท่านหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง “สายเลือดที่คุณหนูสามบำเพ็ญเป็นจำพวกอากาศหรือไม่”

“ไม่ใช่” อวี้เฟิงชิงอินตอบ

“เช่นนั้นสิ่งที่ข้าสามารถชี้แนะได้ก็มีน้อยแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ

“ข้าแค่ถามท่านว่า เป็นอาจารย์ของข้าได้หรือไม่” อวี้เฟิงชิงอินมองตงป๋อเสวี่ยอิง

“เดิมทีข้าก็เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิอยู่แล้ว หากคุณหนูสามต้องการให้ข้าชี้แนะ แน่นอนว่าข้าย่อมสามารถชี้แนะได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ข้าต้องการอาจารย์ที่แท้จริง” อวี้เฟิงชิงอินมองตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ว่าคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คล้ายจะตกอยู่ท่ามกลางการครุ่นคิดบางอย่าง แต่จะรับศิษย์น่ะหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงลังเลเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็พยักหน้ายิ้มๆ ขึ้นมา “ได้ ข้าจะรับคุณหนูสามเป็นศิษย์ก็ได้”

ตนติดค้างน้ำใจคุณหนูสามอยู่ รับเป็นศิษย์ก็รับเป็นศิษย์

เดิมทีตนเป็นเพียงแขกที่ผ่านโลกใบนี้มาเท่านั้น ไม่เคยคิดจะรับศิษย์มาก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ติดค้างน้ำใจคุณหนูสามผู้นี้อยู่ ต่อให้ไม่รับศิษย์ ในภายหน้าก็ต้องหาโอกาสตอบแทนน้ำใจครั้งนี้อยู่ดี

“ชิงอินคารวะท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินยืดกายขึ้นทันที ก่อนจะโค้งคำนับอย่างเป็นทางการ

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับการคารวะครั้งนี้

ส่วนสองพี่น้องอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นที่อยู่ไกลออกไปก็มองดูฉากนี้อยู่เงียบๆ พวกเขารู้ดีว่าโอกาสรอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของทั้ง ‘สกุลอวี้เฟิง’ ในตอนนี้อยู่ที่เมืองไม้บูรพา! แม้คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาจะมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว หากน้องสาวไปที่นั่น วันคืนก็คงจะค่อนข้างน่าเศร้า แต่ช่วยไม่ได้ จะต้องทำเพื่อความอยู่รอดของคนสกุลอวี้เฟิงจำนวนนับไม่ถ้วน

คารวะอาจารย์หรือ

จ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือตัวฉกาจที่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของเมืองจวิ้นซาน คุณหนูสามสกุลอวี้เฟิงคารวะยอดฝีมือระดับนี้เป็นอาจารย์ก็ไม่นับว่าเสียหน้าอะไร

“คนเหล่านี้ จะร่วมเป็นร่วมตายกับสกุลอวี้เฟิงของเราจริงๆ สักกี่คนกันเชียว” อวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นมองดูเหล่ายอดฝีมือระดับจ้าวเทพภายในโถงตำหนักทั้งหลาย

ลูกหลานสกุลอวี้เฟิงเกิดมาล้วนมีตรา ‘สกุลอวี้เฟิง’ ประทับอยู่

แต่ก็ยังมียอดฝีมือมากมายที่อาจจะช่วยสกุลอวี้เฟิงสกัดกั้นศัตรูจากภายนอกในตอนเริ่มแรก แต่หากต้านทานไม่ไหวจนเมืองแตกขึ้นมาแล้ว เกรงว่ายอดฝีมือเหล่านั้นก็คงจะเก็บไม้เก็บมือแล้วคอยชมอยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็ว ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ จะปกครองเมืองนี้ ก็เพื่อที่จะเก็บเอายอดฝีมือกลุ่มใหญ่นี้ไปด้วย สมาคมจิตมารก็ไม่อยากจะรับเมืองร้างแห่งหนึ่งไปอยู๋แล้ว ดังนั้นยอดฝีมือทั้งหลายเช่น ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ‘ประมุขหอสิง’ และ ‘จ้าวเทพเจียนอิ่น’

ผู้ปกครองตัวเมืองอาจจะเปลี่ยนตัวได้!

แต่บรรดายอดฝีมือเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนสามารถยืนหยัดได้โดยไม่ล้มลง!

……

หลังจากอวี้เฟิงชิงอินคารวะอาจารย์แล้วก็เหมือนจะเบิกบานใจขึ้นมาก นางพูดอะไรกับตงป๋อเสวี่ยอิงมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คอยฟังเป็นเพื่อน

ในที่สุด งานเฉลิมฉลองครั้งนี้ก็ยุติลง

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังจะจากไปด้วยแล้ว จ้าวภูเขาค้างคาวกลับมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง ยิ้มตาหยีพลางลอบถ่ายเสียงพูดว่า “พี่หิมะเหิน ก่อนหน้านี้ข้าภูเขาค้างคาวขัดแย้งกับท่านเล็กน้อย อันที่จริงแล้วก็เพราะเจ้าหนูคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเถี่ยเฉิงหลิ่ว”

“เถี่ยเฉิงหลิ่วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ เขารู้ความจริงตั้งแต่พลิกดูความทรงจำแล้ว และรู้ว่าเป็นทหารคุ้มกันบนเรือใหญ่ที่เมื่อตนปลดปล่อย ‘เสน่ห์’ ออกมาเล็กน้อยก็ยังคงรังเกียจตนผู้นั้นนั่นเอง

“ข้าอยากจะถามพี่หิมะเหินหน่อยว่า ควรจะจัดการเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นั้นอย่างไรดี เดิมทีข้าคิดว่าจะสังหารเขาตรงๆ เสียเลย แต่ก็อยากจะถามความคิดของพี่หิมะเหินเสียก่อน” จ้าวภูเขาค้างคาวถ่ายเสียงพูด

………………………………………