บทที่ 1428 : เซียน?
ระหว่างที่ฉินจิวยื่อตอบหลิงหยุนนั้นเขาก็ได้จ้องลึกลงไปในดวงตาของนาง ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังจิตของตนสำรวจรับรู้สภาพจิตใจของฉินจิวยื่อไปด้วย
หลิงหยุนพบว่าดวงตาของฉินจิวยื่อนั้นเปล่งประกายสดใสมากกว่าเดิมและจิตใจก็สงบนิ่งไร้คลื่นพลังแห่งอารมณ์ฟุ้งซ่าน ย่อมหมายความว่าวาจาของนางที่กล่าวกับหลิงหยุนนั้น หาใช่คำโกหกหลอกลวงไม่
เห็นเช่นนั้น..หลิงหยุนพลันรู้สึกราวกับว่า ได้ยกก้อนหินที่หนักอึ้งอยู่ในอกของตนทิ้งไปเสียที!
“ท่านแม่บนยอดเขานี้ลมแรงเกินไป ข้าว่าพวกเราย้ายสถานที่สนทนาพูดคุย ไปหาที่ใหม่ที่เหมาะสมมากกว่านี้จะดีหรือไม่”
หลิงหยุนเป็นฝ่ายเสนอความคิดเห็น..
แม้ว่าบนหน้าผาเวลานี้จะมีทั้งโต๊ะเก้าอี้อาหาร และของกินอีกมากมาย แต่ที่นี่คือหน้าผาโล่งไร้ซึ่งสิ่งกำบัง จึงมิใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การจะนั่งเจรจาพูดคุยกันนานนัก
เวลานี้..สำนักกระบี่เทียนซานตกอยู่ในกำมือของหลิงหยุนแล้ว หากเขาจะพาฉินจิวยื่อเข้าไปหลบลมหนาวในวังใหญ่โตนั่น ย่อมมิมีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจาอันใดออกมาแม้แต่คำเดียวเป็นแน่
แต่ฉินจิวยื่อเพียงแค่เหลือบมองไปทางวังโอ่อ่าใหญ่โตนั้นแล้วกลับส่ายหน้าไปมา พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ที่นั่นสกปรกเกินไป ข้าไม่ต้องการที่จะเข้าไปอีก”
“…”
หลิงหยุนย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของฉินจิวยื่อได้ดีนั่นเพราะตลอดการต่อสู้ที่ผ่านมาเมื่อครู่นั้น มิได้ทำให้วังโอ่อ่าบนยอดเขาเทียนเฟิงกระทบกระเทือนเสียหายเลยแม้แต่น้อย วังใหญ่โตยังคงแข็งแกร่งงดงาม และทุกอย่างภายในวังยังคงอยู่ในสภาพเรียบร้อยดังเดิม ฉินจิวยื่อจึงหมายถึงผู้คนที่อยู่ภายในวังนั้นต่างหาก..
นอกเหนือจากสาวใช้นับสิบของตี๋เสี่ยวเจินแล้วภายในวังแห่งนั้นยังมีชายหนุ่มอยู่อีกมากมายหลายสิบคน แม้พวกเขาจะหาได้เป็นผู้ฝึกวรยุทธไม่ แต่ก็มีความโดดเด่นในเรื่องใบหน้าที่หล่อเหลา และเรือนร่างกำยำ
หลิงหยุนแทบมิต้องคิดว่าชายหนุ่มเหล่านั้นมีหน้าที่อันใดภายในวังพวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงเพศผู้ของตี๋เสี่ยวเจิน
และนี่คือเหตุผลที่ฉินจิวยื่อกล่าวว่า..วังแห่งนั้นเป็นสถานที่อันสกปรกเกินไป!
“เช่นนั้นแล้ว..พวกเราไปหุบเขามนุษย์ดีหรือไม่ท่านแม่”
เมื่อเห็นว่าฉินจิวยื่อไม่ยอมไปยังวังโอ่อ่าใหญ่โตแน่หลิงหยุนจึงเสนอสถานที่ใหม่ให้ทันที
ฉินจิวยื่อยังคงส่ายหน้าอีกครั้ง“หลิงหยุน ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้นล่ะ นับจากนี้ไปอีกเจ็ดวันข้าจะอยู่บนหน้าผาแห่งนี้ไว้ทุกข์ให้กับท่านลุงหนิงของเจ้า หลังจากเจ็ดวันผ่านไปค่อยว่ากัน..
ฉินจิวยื่อจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยด้วยวาจาหนักแน่น“ข้าต้องการอยู่ที่นี่เพื่อส่งเขากลับสู่สรวงสวรรค์เป็นครั้งสุดท้าย!”
หลิงหยุนรู้ว่าฉินจิวยื่อมีใจหนักแน่นต่อหนิงเทียนหยามากเพียงใดเขาจึงได้แต่นิ่งเงียบอยู่เพียงแค่นั้น และไม่กล่าววาจาคะยั้นคะยอใดๆอีก
“ท่านแม่..ลูกจะเชื่อฟังคำสั่งของท่าน!”
หลังจากกล่าวจบ..หลิงหยุนจึงได้ควบคุมกระบี่เหินเงาธนู และกระบี่กังฉีของตนให้พุ่งออกไปกลางป่าบนยอดเขาเทียนเฟิง และทำการตัดต้นไม้ในทันที
ชัวะ..ชัวะ.. ครืน.. ครืน..
กระบี่เหินทั้งสองเล่มทำการตัดต้นไม้ใหญ่สองสามต้นจนล้มครืนลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งขุนเขา จากนั้นหลิงหยุนจึงใช้กระบี่เหินตัดกิ่งของต้นไม้ใหญ่ทั้งสามออก เหลือไว้เพียงแค่ลำต้นใหญ่หนาเท่านั้น แล้วจึงค่อยๆตัดลำต้นออกเป็นแผ่นไม้ขนาดต่างๆกัน
ในระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้ใช้วิชาใต้ปฐพีทำให้ผืนดินบนหน้าผาส่วนหนึ่งอ่อนยวบดั่งของเหลว แล้วจึงใช้พลังจิตของตนสร้างกำแพงบ้านใหญ่ขึ้นทั้งสี่ด้าน แต่ละด้านมีความสูงมากกว่าสามเมตร ก่อนจะตามมาด้วยหลังคา เพียงแค่เวลาไม่นานนัก หลิงหยุนก็สามารถสร้างบ้านที่แกร่งดั่งศิลาได้สำเร็จ
บ้านหลังใหญ่ถูกสร้างขึ้นอยู่บนหน้าผาโดยให้หันหน้าไปทางทิศใต้..
ในระหว่างที่จ้องมองหลิงหยุนใช้พลังจิตสร้างบ้านอยู่นั้นแม้ฉินจิวยื่อจะตกตะลึงยิ่งนัก แต่นางก็พยายามรักษาท่าทีให้สงบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า
“หลิงหยุนนี่เจ้า.. เจ้าเป็นเซียนแล้วรึ”
หลังจากที่นั่งแปลกประหลาดใจอยู่นานในที่สุดฉินจิวยื่อก็ตัดสินใจเอ่ยถามออกไป.. ในขณะนั้นหลิงหยุนเองก็ยังคงตัดต้นไม้ทำไม้กระดานอยู่พอดีแต่ก็ตอบกลับไปอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว
“ท่านแม่ท่านกล่าวเกินไปแล้ว หากข้าเป็นเซียนจริง ไหนเลยจะต้องใช้ความพยายามเช่นนี้ด้วยเล่า ข้าใช้วิชาที่ชื่อว่าใต้ปฐพี ประกอบกับพลังจิตของตนเอง ทำการสร้างบ้านให้ท่านอยู่ชั่วคราวต่างหากเล่า..”
หลังจากอธิบายให้ฉินจิวยื่อฟังแล้วหลิงหยุนก็ได้กระโดดออกไปนอกตัวบ้าน และจัดการใช้ไม้ที่ตัดมานั้นสร้างเป็นห้องเซ่นไหว้ สำหรับเก็บร่างไร้วิญญาณของหนิงเทียนหยาไว้ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหน้าผา
ในเมื่อฉินจิวยื่อต้องการไว้ทุกข์ให้กับหนิงเทียนหยาจึงจำเป็นที่หลิงหยุนจะต้องสร้างห้องเซ่นไหว้สำหรับตั้งศพของหนิงเทียนหยาให้กับนาง
ด้วยวิชาใต้ปฐพีและพลังจิตที่แข็งแกร่งของเขาหลิงหยุนจึงสามารถสร้างทุกอย่างได้เสร็จสิ้นโดยไม่ต้องใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว เขาสามารถก่อสร้างทั้งบ้านและห้องเซ่นไหว้เสร็จภายในเวลาเพียงแค่ห้านาที
แม้บนยอดเขามนุษย์ภายในสำนักกระบี่เทียนซานนั้นจะยังมีเหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่เทียนซานเหลืออยู่กว่าสองร้อยคน หลายคนต่างก็รู้วิธีก่อสร้างบ้านเรือน แต่หลิงหยุนก็คร้านที่จะไประดมคนเหล่านั้นให้มาช่วย เขาจึงตัดสินใจก่อสร้างด้วยตนเอง
“ท่านแม่ข้าได้สร้างห้องเซ่นไหว้ไว้สำหรับเก็บร่างของท่านลุงหนิงไว้ด้านนอก ท่านออกมาดูเสียหน่อยว่าเหมาะสมดีหรือไม่”
ฉินจิวยื่อที่เดินตามออกมาดูหลิงหยุนและเฝ้ามองมาโดยตลอดนั้น ได้แต่พยักหน้าพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า
“อืมม..เหมาะสมถูกต้องดีแล้ว!”
จากนั้นฉินจิวยื่อจึงเดินตรงไปยังบ้านไม้ นางสังเกตเห็นว่าห้องเซ่นไหว้นี้สร้างขึ้นด้วยการนำไม้มาวางต่อๆกัน หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว หลิงหยุนจึงได้เรียกร่างไร้วิญญาณของหนิงเทียนหยาออกมาวางไว้ในตำแหน่งที่เตรียมไว้ จากนั้นจึงเอ่ยถามนางฉินจิวยื่อว่า
“ท่านแม่ท่านลองดูว่ายังขาดสิ่งใดอีกหรือไม่ ข้าจะได้จัดการให้เรียบร้อย..”
หลิงหยุนถามขึ้นว่า“ท่านแม่ ท่านดูว่ายังขาดสิ่งใดอีกหรือไม่ ข้าจะได้จัดการให้เรียบร้อย”
ในเมื่อที่นี่เป็นห้องเซ่นไหว้สิ่งที่ขาดไม่ได้ย่อมเป็นธูป เทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทอง..
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ..เจ้าทำหน้าที่ของลูกกตัญญูจนครบถ้วนแล้ว สิ่งอื่นๆนับจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าจัดหาเอง มันเป็นเรื่องที่ข้าควรต้องจัดการด้วยตัวเอง”
ฉินจิวยื่อหยุดไปเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยต่อว่า“หลิงหยุน คืนนี้ข้าจะอยู่ที่นี่ ส่วนเจ้าเองยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องไปจัดการสะสาง เจ้ารีบไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด ไว้เจ้าจัดการเรื่องของตนเองเสร็จแล้ว พวกเราค่อยมานั่งคุยกันใหม่..” “เช่นนั้นก็ดี!”
หลิงหยุนใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจึงบอกกับฉินจิวยื่อว่า“ท่านแม่ คนตายแล้วมิอาจฟื้นคืนได้ ท่านไว้ทุกข์ก็ดี แต่ก็ต้องดูแลตัวเองด้วยเช่นกัน”
“ข้าเข้าใจดี..”
ฉินจิวยื่อพยักหน้าพร้อมกับบอกหลิงหยุนว่า“หลิงหยุน ซิงเฉินเป็นหญิงสาวที่ดีมาก ข้าชื่นชอบนางนัก เวลานี้นางอยู่ลำพังที่ยอดเขามนุษย์ เจ้าควรจะรีบไปช่วยนางจึงจะถูก”
หลิงหยุนพยักหน้าและก่อนที่เขาจะจากไป ได้จัดการย้ายหลิวเทวะวิญญาณไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมกลางหน้าผา เพื่อให้รัศมีของมันครอบคลุมปกป้องทั้งบ้าน และห้องเซ่นไหว้ และเมื่อมั่นใจว่าฉินจิวยื่อจะอยู่ได้อย่างปลอดภัยแล้ว เขาจึงได้เหาะไปยังยอดเขามนุษย์ต่อไป
เพียงแค่เดี๋ยวเดียวร่างของหลิงหยุนก็ไปปรากฏอยู่ตรงหน้าเย่ซิงเฉินบนยอดเขามนุษย์.. ที่นี่เป็นลานฝึกยุทธของศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานขนาดของมันใหญ่เท่าสนามฟุตบอล เป็นพื้นที่เรียบ และโปร่งโล่งสามารถมองเห็นท้องนภาได้เพียงแค่เงยหน้า
เวลานี้เหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่เทียนซานรวมถึงอาวุโสบางส่วนก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้ว คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ได้เห็นความแข็งแกร่งของหลิงหยุน และความเฉียบขาดของเย่ซิงเฉินมาแล้ว จึงมิมีผู้ใดกล้าขัดขืน หรือคิดที่จะหลบหนีอีก
เวลานี้ศิษย์และอาวุโสของสำนักกระบี่เทียนซานจึงได้แต่ยืนสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวต่อชะตากรรมของตนนับจากนี้
“ข้าหลิงหยุน..หาใช่คนที่ชอบเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่!”
“เวลานี้สำนักกระบี่เทียนซานอยู่ในกำมือของข้าแล้วหากผู้ใดกล้าขัดขืนหรือคิดที่จะหนีแล้วล่ะก็ อย่าได้ตำหนิที่ข้าต้องโหดเหี้ยม พวกเจ้าเข้าใจดีแล้วหรือไม่”
“พวกเราเข้าใจดี!” คนของสำนักกระบี่เทียนซานต่างก็ร้องตะโกนตอบหลิงหยุนเป็นเสียงเดียว!