บทที่ 1429 : ล่มสลายอย่างสมบูรณ์
หลิงหยุนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจสายตาของเขากวาดไปยังกลุ่มศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานที่อยู่แถวหน้า เขาจ้องมองไปยังอาวุโสผู้หนึ่งพร้อมกับสั่งว่า “เอ่ยนามของเจ้ามา!”
อาวุโสผู้นี้เป็นผู้อารักขาเพียงคนเดียวของสำนักกระบี่เทียนซานที่เหลืออยู่ที่คางของเขามีหนวดเครายาวเหมือนแพะ ดวงตาคมกริบ อยู่ในระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (พลังชี่-6)
ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของหลิงหยุนเขาก็รีบก้าวเท้าเดินตรงขึ้นมาด้านหน้า พร้อมกับร้องตะโกนออกไปทันที
“ข้านามว่าหลี่เพียวหยางแห่งสำนักกระบี่เทียนซาน!”
“ในบรรดาศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานทั้งหมดเวลานี้เจ้าคือผู้ที่มีพลังบ่มเพาะอยู่ในขั้นสูงที่สุดใช่หรือไม่” หลี่เพียวหยางผงกหัวหงึกๆพร้อมกับตอบไปว่า “ถูกต้องแล้ว.. เวลานี้ข้าอยู่ในระดับสูงสุดขั้นพลังชี่!”
“แล้วสองคนนั้นเล่า”
หลิงหยุนเอ่ยถามพร้อมกับชี้ไปทางยอดฝีมืออีกสองคนที่อยู่ด้านหลังหลี่เพียวหยาง..
“คนผู้นี้นามว่ากัวผิงส่วนอีกคนนามว่าเจิ้งซิ่วยี่ ทั้งคู่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5)”
หลี่เพียงหยางไม่รอให้หลิงหยุนถามต่อเขาจัดแจงรายงานทั้งชื่อ และขั้นพลังบ่มเพาะของคนทั้งคู่อย่างละเอียด
“เช่นนั้นย่อมหมายความว่าเวลานี้.. ในสำนักกระบี่เทียนซาน มิมีผู้ใดที่มีขั้นพลังบ่มเพาะเหนือไปกว่าพวกเจ้าทั้งสามคนแล้วสินะ”
“ถูกต้องแล้ว!”ทั้งสามคนเอ่ยตอบหลิงหยุนอย่างพร้อมเพรียงกัน..
“ดีมาก..ตราบใดที่พวกเจ้าสามคนมิได้แซ่ตี๋ย่อมเป็นเรื่องที่ดี” จากนั้นหลิงหยุนจึงร้องตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาและดุดัน “พวกเจ้าทั้งหมด.. ผู้ใดมิได้แซ่ตี๋ให้ก้าวแยกออกไปด้านข้าง”
สิ้นคำสั่งของหลิงหยุนกลุ่มศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานกว่าสองร้อยคนก็เริ่มขยับเคลื่อนย้ายทันที และเวลานี้ทั้งหมดก็แยกออกจากกันเป็นสองกลุ่ม และยืนห่างกันราวห้าฟุต
หลิงหยุนพบว่ากลุ่มคนที่แยกออกไปนั้นมีมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบคนส่วนที่ยืนนิ่งนั้นมีอยู่เพียงแค่เจ็ดสิบกว่าคนเท่านั้น และเวลานี้ทั้งเจ็ดสิบกว่าคนล้วนมีใบหน้าที่ซีดขาวราวไก่ต้ม
“มีมากมายถึงเจ็ดสิบกว่าคนเลยเชียวรึมิน่าสำนักกระบี่เทียนซานจึงได้กลายเป็นโลกของตระกูลตี๋ไปเช่นนี้!”
หลิงหยุนหันไปมองคนตระกูลตี๋ทั้งเจ็ดสิบกว่าคนพร้อมกับกล่าวยิ้มๆ“เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้วว่าจะไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ฉะนั้นพวกเจ้ามิต้องหวาดกลัวไป!”
“เพียงแต่…” “ข้าเองก็หาใช่ผู้ที่ชอบทิ้งปัญหาให้กับตนเองเสียด้วย..”
นั่นเพราะหลิงหยุนได้สังหารตี๋เฮ่อหมิงและทำลายวรยุทธของตี๋เสี่ยวเจิน อีกทั้งยังได้สะบั้นร่างของตี๋เฮ่ออี้จนขาดออกจากกัน แน่นอนว่าการกระทำของเขาย่อมต้องสร้างความโกรธแค้นให้กับคนตระกูลตี๋ไม่น้อย จึงยากที่เขาจะปล่อยคนตระกูลตี๋ไว้ได้
หลิงหยุนมองเห็นว่ายอดฝีมือตระกูลตี๋ทั้งเจ็ดสิบกว่าคนนี้ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งกว่าศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานทั้งร้อยห้าสิบกว่าคนนี้เสียอีก
พูดง่ายๆก็คือว่าหากคนตระกูลตี๋ทั้งเจ็ดสิบกว่าคนต้องการที่จะแก้แค้นหลิงหยุนแล้วล่ะก็ ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งเจ็ดสิบกว่าคนนั้น ย่อมสามารถทำอันตรายคนตระกูลหลิงได้ไม่ยาก ซึ่งหลิงหยุนไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้
ไม่เพียงตระกูลหลิงยังมีตระกูลฉินอีกที่จะต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน! “เว้นเสียแต่..พวกเจ้าทั้งหมดต้องทำลายวรยุทธของตนเอง!” หลิงหยุนเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หลิงหยุน..เจ้า.. เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
คนตระกูลตี๋ทั้งหมดต่างก็รู้ดีว่าต่อให้พวกตนร่วมมือกัน ก็ยังหาใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุนไม่ อีกทั้งเวลานี้พวกเขาหลายคนก็ยังบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนจะให้ทำลายวรยุทธ ก็อดที่จะร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโหไม่ได้
“ข้าทำเกินไปงั้นรึ”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“ข้าไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายอธิบายให้พวกเจ้าฟังหรอกนะ ต้องโทษที่พวกเจ้าแซ่ตี๋ต่างหากเล่า!”
“หากพวกเจ้าทำตามที่ข้าสั่งอย่างน้อยพวกเจ้าก็จะมีชีวิตรอด..”
หลิงหยุนกล่าวเพียงแค่นั้นก็หยุดนิ่งไปที่เหลือเป็นหน้าที่ของคนตระกูลตี๋ทั้งเจ็ดสิบกว่าคนที่ต้องเลือก..
“หลิงหยุนเจ้าโจรถ่อย ข้าจะสู้ตายกับเจ้าเอง!”
สำหรับผู้ฝึกฝนบ่มเพาะพลังน้ำการถูกทำลายวรยุทธและพลังบ่มเพาะ ย่อมไม่ต่างจากการถูกเข่นฆ่าเอาชีวิต ยากนักที่ผู้ใดจักทนรับได้
ยอดฝีมือตระกูลตี๋สิบกว่าคนที่ไม่ยินยอมทำลายวรยุทธของตนเองได้ปราดพุ่งเข้าใส่หลิงหยุนอย่างคลุ้มคลั่งคนแล้วคนเล่า
“ดูเหมือนพวกเจ้าคงจะปรึกษาตกลงกันมาก่อนแล้วสินะ”
หลิงหยุนได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจแม้เขาจะอดที่จะชื่นชมในสายเลือดของยอดฝีมือเหล่านี้ไม่ได้ แต่ก็ลงมืออย่างไม่ปราณีเช่นกัน
กระบี่กังฉีของหลิงหยุนพุ่งออกมาในทันทีก่อนจะทะลวงทิ่มแทงเข้าใส่ตำแหน่งกึ่งกลางหว่างคิ้วของยอดฝีมือเหล่านั้น ผู้ใดวิ่งปราดเข้ามาคนแรก ย่อมเป็นผู้ที่ถูกสังหารเป็นรายแรก จากนั้นยอดฝีมือทั้งสิบกว่าคนก็ได้ล้มลงนอนแน่นิ่งกับพื้นในทันที
“ข้ามาที่นี่เพื่อมอบโอกาสรอดชีวิตให้กับพวกเจ้าหากพวกเจ้าไม่ยอมทำลายวรยุทธตนเอง ทางเลือกเดียวที่เหลือของพวกเจ้าก็คือความตาย!”
หลิงหยุนร้องบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่ก็ชัดเจน!
หลังจากยอดฝีมือตระกูลตี๋ถูกสังหารตายไปสิบกว่าคนในคราวเดียวนั้นคนอื่นๆที่เหลือบ้างก็พากันร้องห่มร้องไห้ บ้างก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่รู้ดีว่า หากยังฝืนขัดขืนต่อไปก็คงต้องตายเท่านั้น
เพราะแม้แต่ตี๋เฮ่ออี้ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นก่อสร้างรากฐานยังต้องตายด้วยน้ำมือของหลิงหยุน เช่นนี้แล้วพวกเขาที่เหลืออยู่ยังจะทำอะไรได้อีกเล่า
“ดังคำพูดว่าผู้ชนะคือเจ้าชีวิต เวลานี้สำนักกระบี่เทียนซานพ่ายแพ้ให้แก่หลิงหยุนอย่างยับเยิน ในเมื่ออีกฝ่ายยินยอมไว้ชีวิตเช่นนี้ พวกเรายังจักร้องขออะไรมากกว่านี้ได้อีกเล่า นอกเสียจากต้องยินยอมทำลายวรยุทธของตนเองตามที่หลิงหยุนต้องการ!”
ท่ามกลางยอดฝีมืตระกูลตี๋ที่เหลือทั้งหมดเวลานี้ชายชราในขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) ระดับสูงสุดผู้หนึ่ง ดูเหมือนจะยินยอมและเลิกขัดขืน เวลานี้ได้ยืนร่างกายสั่นเทิ้ม ลมปราณในร่างแตกสลาย..
จากนั้นโลหิตสีแดงก็ได้พวยพุ่งออกมาจากริมฝีปากของเขา ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะล้มลงขดงออยู่กับพื้น
ยอดฝีมือแซ่ตี๋คนอื่นๆเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ยินยอมทำลายจุดตันเถียนของตนเองเพื่อรักษาชีวิตไว้..
หลิงหยุนจ้องมองยอดฝีมือตระกูลตี๋ทำลายวรยุทธของตนเองด้วยแววตาเย็นชาเขาหาได้รู้สึกสงสารคนเหล่านี้ไม่ เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำ หลิงหยุนไม่อาจปล่อยคนเหล่านี้ไว้ให้เป็นอันตรายต่อตระกูลหลิง และตระกูลฉินในวันข้างหน้าได้
ชายชราแซ่ตี๋ผู้นี้นับว่าเข้าใจชีวิตได้ดีกว่าผู้ใดอย่างน้อยเขาก็ได้ช่วยให้คนที่เหลือมีชีวิตรอดต่อไปได้
“หลิงหยุนเวลานี้พวกเราตระกูลตี๋ทั้งหมดจะไปจากที่นี่ได้หรือยัง” ชายชรายกมือขึ้นปาดโลหิตที่ข้างปากของตนออก พร้อมกับเอ่ยถามหลิงหยุนออกไป
หลิงหยุนยกมือขึ้นผายออกพร้อมตอบกลับไปว่า“เชิญ!”
ชายชราหันกลับมาถามหลิงหยุนอีกครั้ง“ขอให้พวกเราอยู่ที่ต่อจนกระทั่งรุ่งสางได้หรือไม่ อย่างน้อยก็ใหเ้วลาพวกเราไปเก็บข้าวของในบ้านเสียก่อน..”
หลิงหยุนพยักหน้าและตอบกลับไปว่า“ย่อมได้.. แต่พวกเจ้าเก็บเฉพาะข้าวของส่วนตัวไปได้เท่านั้น ห้ามหยิบฉวยทรัพยากรในการฝึกฝนไปด้วยโดยเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่” “พรุ่งนี้เช้าพวกเจ้าไปรวมตัวกันอยู่ที่ตีนเขามนุษย์ ข้าจะเป็นผู้ตรวจดูสิ่งของของพวกเจ้าด้วยตัวเอง!”
“…”
ชายชราถึงกับพูดไม่ออกเขาคำรามอยู่ในลำคอครู่หนึ่งก่อนจะเดินกระแทกเจ้าออกไป พร้อมกับร้องตะโกนสั่งว่า
“คนตระกูลตี๋ทั้งหมดตามข้ามา!”
จากนั้นคนตระกูลตี๋ต่างก็ช่วยกันแบกร่างไร้วิญญาณของผู้ตายลงเขาไป หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ในเวลาราวตีหนึ่งครึ่ง ทั้งหมดก็ขนข้าวของที่จะนำออกไปมายืนรอหลิงหยุนอยู่ที่ตีนเขา
และเวลานี้..ตระกูลตี๋ก็ได้ล่มสลายอย่างสมบูรณ์ ไม่หลงเหลือผู้มีพลังบ่มเพาะอีกแม้แต่คนเดียว!