บทที่ 1430 : ชี้นิ้วสั่ง
คนตระกูลตี๋ทั้งหมดก้าวเดินออกไปโดยมิได้หันกลับไปมองศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานอีกร้อยห้าสิบกว่าคนเลย อาจเป็นเพราะความผิดหวังในตัวคนเหล่านั้น หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะความรู้สึกเสียใจ
จู่ๆสำนักกระบี่เทียนซานก็ตกไปอยู่ในเงื้อมือของหลิงหยุนเช่นนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุน มีหรือที่พวกเขาจะสามารถปกป้องคนตระกูลตี๋ไว้ได้ อีกทั้งพวกเขาทั้งร้อยห้าสิบกว่าคนก็หาได้มีสายเลือดเดียวกับคนตระกูลตี๋ไม่
ศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบกว่าคนนั้นได้แต่เฝ้ามองคนตระกูลตี๋ทำลายวรยุทธของตนเองและจากไป โดยที่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากถาม หรือร้องขอความเมตตาแทนเลยแม้แต่คนเดียว พวกเขาทั้งหมดเวลานี้ก็ไม่ต่างจากลูกแกะที่รอเวลาถูกฆ่าเช่นกัน..
และเวลานี้ชีวิตของพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในกำมือของหลิงหยุนทั้งสิ้น!
ทุกคนได้รับรู้รสชาติของความพ่ายแพ้ว่ามันช่างขมขื่นใจมากเพียงใด!
“หลิงหยุนเจ้าจะปล่อยพวกมันไปเช่นนั้นจริงรึ”
เย่ซิงเฉินเห็นหลิงหยุนปล่อยคนตระกูลตี๋ไปเช่นนั้นจริงๆจึงรีบร้องถามขึ้นทันที..
หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ“ข้าจะทำเช่นใดได้อีกเล่า จะให้ข้าสังหารพวกเขาหมดทุกคนเลยเชียวรึ?”
“แต่เจ้าอย่าลืมว่าพวกมันยังจดจำวรยุทธบ่มเพาะของสำนักกระบี่เทียนซานได้หากในวันข้างหน้าพวกมันมีทายาทที่มีพรสวรรค์ และถ่ายทอดวิชาเหล่านั้นให้ เช่นนั้นแล้ว..” เย่ซิงเฉินเอ่ยออกไปด้วยความกังวลใจ
“ซิงเฉินคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพูดออกมาเช่นนี้..”
หลิงหยุนเอ่ยตอบยิ้มๆ“หากเป็นดังเช่นที่เจ้ากังวล ก็คงต้องใช้เวลาอีกกว่ายี่สิบปี ถึงเวลานั้นเจ้าคิดว่าเรายังต้องหวาดกลัวว่าตระกูลตี๋จะกลับมาล้างแค้นอีกงั้นรึ”
หลิงหยุนหันไปมองเย่ซิงเฉินด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ“อย่าหาว่ากล่าววาจาโอ้อวดเลย.. เมื่อเวลานั้นมาถึง ลูกของเราก็คงจะสิบขวบแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาจัดการไม่ดีกว่ารึ!”
เย่ซิงเฉินถึงกับหน้าแดงก่ำพร้อมกับร้องตะโกนตอบกลับไปว่า“เจ้าอย่าได้ฝันไปเลย ใครจะมีลูกกับเจ้ากัน!”
“ฮ่าๆๆๆ”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะร่วนออกมาทันทีเขาหันไปทางหลี่เพียวหยางพร้อมกับถามขึ้นว่า “หลี่เพียวหยาง นอกจากพวกเขาแล้วยังมีคนตระกูลตี๋หลงเหลืออยู่ที่ใดอีกบ้างหรือไม่ อย่าได้คิดโกหกเชียว.. เจ้าคงเห็นพวกเขาเป็นตัวอย่างแล้ว”
หลี่เพียวหยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน“ข้าไม่กล้าแน่.. เวลานี้ยังเหลือตี๋ยั่วถังที่อยู่หน่วยนภาอีกหนึ่งคน..” เมื่อได้ยินหลี่เพียวหยางตอบกลับมาเช่นนั้นหลิงหยุนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที เขาแสยะยิ้มและตอบกลับไปว่า
“งั้นรึ!อีกไม่นานตี๋ยั่วถังก็น่าจะมาถึงที่นี่แล้วล่ะ..”
หลิงหยุนคำนวณเวลาอยู่ในใจและคิดว่าอีกไม่นานฉินตงเฉวี่ย ไป๋เซียนเอ๋อ ตี้เสี่ยวอู๋ และคนอื่นๆคงจะมาถึงที่นี่ราวตีห้าเป็นแน่
หลิงหยุนกวาดสายตามองไปยังศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับสั่งว่า
“พวกเจ้าทั้งหมดจงฟังผู้ใดที่เข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้ว จงก้าวออกมาด้านหน้า!”
ยอดฝีมือไม่ถึงสามสิบคนก้าวเดินออกมาจากกลุ่มซึ่งมีตั้งแต่ขั้นปฐมชี่ไปจนถึงขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) ทั้งหมดกระโดดออกมายืนอยู่เรียงแถวอยู่ด้านหน้า ต่างคนต่างก็รู้สึกขนหัวลุกชั้น เพราะไม่รู้ว่าหลิงหยุนจะจัดการกับพวกตนเช่นใด “พวกเจ้าอย่าได้กังวลใจไปตราบใดที่พวกเจ้าเชื่อฟังคำสั่งของข้า ข้าจะไม่ทำอันตรายพวกเจ้า!”
หลิงหยุนเห็นทุกคนต่างก็มีอาการหวาดผวาจึงรีบร้องบอกให้คลายความตื่นตระหนก และค่อยๆสงบสติอารมณ์ของตนเองลง
“กัวผิง..เจ้านำศิษย์ในระดับเริ่มต้นขั้นพลังชี่ลงเขาไปจัดการเก็บซากศพ และทำความสะอาดทุกที่ที่มีการต่อสู้ จากนั้นไปเก็บกวาดภายในสำนักกระบี่เทียนซานให้เรียบร้อย”
“เจิ้งซิ่วยี่เจ้านำศิษย์ในด่านกลางขั้นพลังชี่ไปยังยอดเขาเทียนเฟิง จัดการนำคนของตี๋เสี่ยวเจินทั้งหญิงและชายในวังมาให้ข้า ข้าจะจัดการกับพวกมันที่เคยข่มเหงรังแกท่านแม่ของเข้า หากผู้ใดคิดหนีสามารถสังหารได้ทันที!”
“หลี่เพียวหยางเจ้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ไปจัดการนำร่างของตี๋เฮ่อหมิงกับตี๋เสี่ยวเจินมาให้ข้าที่นี่ ร่างของตี๋เฮ่อหมิงตกอยู่ในหุบเข้าใกล้กับยอดเขาปฐพี ส่วนร่างของตี๋เสี่ยวเจินอยู่บนยอดเขาปฐพี”
“หลังจากจัดการเรื่องที่ข้าสั่งเสร็จทั้งหมดแล้วเจ้าจึงค่อยนำศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานที่เหลือทั้งหมดนี้ ไปทำการเก็บกวาดยอดเขาปฐพีทั้งหมดนี้ให้เรียบร้อย..”
“น้อมรับคำสั่ง”
กัวผิงเจิ้งซิ่วยี่ และหลี่เพียวหยาง ทั้งสามคนต่างก็รีบรุดไปทำตามคำสั่งของหลิงหยุนทันที
เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวหลี่เพียวหยางก็สามารถนำร่างของตี๋เฮ่อหมิงมาให้กับหลิงหยุนได้แล้ว..
“เฮ้อ..น่าเสียดายที่มันตกลงไปตายเสียแล้ว..”
หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างนึกเสียดายในระหว่างที่หลิงหยุนกำลังต่อสู้กับจ้าวหมิงถังอยู่นั้น ร่างของตี๋เฮ่อหมิงได้ถูกธงวายุของจ้าวหมิงถังพัดลอยละลิ่วออกไป ก่อนจะร่วงหล่นลงพื้นสิ้นใจตาย
ความจริงหลิงหยุนก็แสร้งทำเป็นบ่นไปเช่นนั้นเองเขารู้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เหาะไปค้นหาของวิเศษต่างๆตามตัวของร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นแล้ว และของวิเศษของตี๋เฮ่อหมิงก็คือกระบี่เหินของมันนั่นเอง
ไม่นานนัก..หลี่เพียวหยางก็เหาะกลับมาอีกครั้ง เขานำร่างของตี๋เสี่ยวเจินที่อยู่บนยอดเขาปฐพีมาให้หลิงหยุน ทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ที่เคยมีอำนาจสูงสุดในสำนักกระบี่เทียนซาน แม้หลี่เพียงหยางจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง แต่ก็กต้องทำตามคำสั่งของหลิงหยุนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เวลานี้ตี๋เสี่ยวเจินได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังนอนสลบไสลอยู่ หลิงหยุนจึงยังไม่ต้องการปลุกนางขึ้นมาในเวลานี้ จึงส่งสายตาบอกกับหลี่เพียวหยางให้นำคนที่เหลือทั้งหมดไปช่วยกันเก็บกวาดยอดเขาปฐพีได้แล้ว
หลี่เพียวหยางยกมือขึ้นโบกเรียกศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานที่เหลืออีกร้อยกว่าคนจากนั้นจึงนำทุกคนมุ่งหน้าไปยังยอดเขาปฐพีทำงานทันที
“หลี่เพียวหยางเจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เพียงแค่คอยออกคำสั่ง และเฝ้าดูมิให้ผู้ใดหนีไปได้เท่านั้นพอ และหากมีศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานหนีไปได้แม้แต่คนเดียว ข้าจะเอาชีวิตของเจ้า!”
หลิงหยุนข่มขู่ก่อนที่หลี่เพียวหยางจากจะจากไป..
หลี่เพียวหยางรีบตอบกลับในทันที“น้อมรับคำสั่ง ข้าจะมิให้ผู้ใดหนีไปได้แน่!”
หลังจากหลี่เพียวหยางกับคนอื่นๆจากไปแล้วเจิ้งซิ่วยี่ก็ได้นำตัวชายและหญิงทั้งหมดที่อยู่ในวังบนยอดเขาเทียนเฟิงมาให้หลิงหยุนตามคำสั่ง
หลิงหยุนออกคำสั่งทันที“เจิ้งซิ่วยี่ จงตรวจดูว่าผู้ใดมีวรยุทธบ้าง หากพบว่ามีไม่ว่าชายหรือหญิง เจ้าจงจัดการทำลายวรยุทธของพวกมันให้หมด จากนั้นก็อยู่เฝ้าพวกมันไว้อย่าให้หนีไปได้โดยเด็ดขาด!” ไม่ว่าหญิงหรือชายที่อยู่ในวังบนยอดเขาเทียนเฟิงนั้นหลิงหยุนไม่นึกพอใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์เลี้ยงเพศผู้ของตี๋เสี่ยวเจิน ส่วนสาวใช้ในวังก็คงหาได้น้อยมากที่จะไม่ร่วมกับตี๋เสี่ยวเจินข่มเหงฉินจิวยื่อ
แต่ความแค้นเหล่านี้หลิงหยุนยังมิต้องการสะสางในเวลานี้ ยังสามารถรอให้สว่างกว่านี้เสียก่อน
เจิ้งซิ่วยี่จัดการทำลายวรยุทธของคนเหล่านั้นตามคำสั่งของหลิงหยุนทันที..
“อ่อ..ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท! เจิ้งซิ่วยี่ เจ้าไปที่ยอดเขาเจงิชโชกูซูนำร่างของตี๋ชิงโหวมาให้ข้าที่นี่”
หลิงหยุนไม่กลัวว่าเจิ้งซิ่วยี่ฉวยโอกาสหลบหนีไปเขาคำนวณเวลาไปกลับของเจิ้งซิ่วยี่ได้ หากอีกฝ่ายหายไปนานผิดปกติ ต่อให้หนีไปได้ไกลนับหมื่นเมตร เขาก็ยังสามารถตามไล่ล่าได้ทันได้อยู่ดี
“เฮ้อ..ถล่มสำนักกระบี่เทียนซานยังไม่ยุ่งยากเท่าเรื่องจุกจิกพวกนี้เลย!” หลังจากสั่งการเสร็จเรียบร้อยหลิงหยุนจึงได้หันไปบ่มพึมพำกับเย่ซิงเฉิน
“เจ้าแค่ชี้นิ้วสั่งยุ่งยากอะไรกันนักเชียว!”
เย่ซิงเฉินตอบกลับพร้อมกับหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี