บทที่ 1431 : จักรวาลส่วนตัว
ความจริงแล้วเย่ซิงเฉินก็แอบนึกชื่นชมหลิงหยุนอยู่ในใจ..
นางรู้ว่าหลิงหยุนไม่เคยชื่นชอบสิ่งใดมากไปกว่าการฝึกปรือวรยุทธเลยนางเคยเห็นแต่หลิงหยุนที่เอาแต่ฝึกฝนวิชาอย่างบ้าคลั่ง สังหารผู้อื่นอย่างดุดันไร้ปราณี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหลิงหยุนจัดการเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากการฝึก และการสังหาร
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความกระชับรวดเร็วภายใต้การสั่งการของหลิงหยุนเพียงแค่เวลาไม่กี่นาที หลิงหยุนก็สามารถทำให้ทุกคนยินยอมทำตามคำสั่งของเขา อีกทั้งยังสามารถจัดการทุกอย่างให้เป็นไปในทิศทางที่ตนเองพอใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว
หลิงหยุนแสดงให้เห็นว่านอกจากการฝึกวรยุทธและบ่มเพาะพลังแล้วเขายังบริหารจัดการงานอื่นได้เก่งมากอีกด้วย
“แล้วคนพวกนี้เล่าจะให้ฟืนพวกเขาไว้ก่อไฟหน่อยหรือไม่” เย่ซิงเฉินเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ยอดเขาทั้งสามนั้นปกคลุมไปด้วยหิมะและในเวลาเช้าตรู่จะเป็นช่วงเวลาที่หนาวที่สุด คราใดที่ลมพัดโบกโชยเข้ามา ก็จะพาลมหนาวเข้าปะทะร่างจนสั่นสะท้าน คนเหล่านี้ล้วนถูกทำลายวรยุทธแล้ว อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บตามร่างกาย เมื่ออยู่ท่ามกลางที่โล่งบนยอดเขาสูงอันหนาวเหน็บเช่นนี้ จึงรู้สึกทรมานยิ่งนัก!
“ไม่จำเป็น!”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“หญิงและชายในวังบนยอดเขาเทียนเฟิง ปฏิบัติต่อข้าเช่นใดเจ้าก็น่าจะเห็นแล้วแล้วมิใช่รึ ข้าจะปล่อยให้พวกมันได้ลิ้มรสลมหนาวท่ามกลางหิมะบ้าง พวกมันจะได้รู้ว่าเมื่อไร้ซึ่งวรยุทธ แต่ต้องอยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลนเช่นนี้จะรู้สึกเช่นใดบ้าง?”
“หากพวกมันเหน็บหนาวจนมิอาจทานทนได้ก็ปล่อยให้พวกมันไปเกิดใหม่ได้เลย!” หลิงหยุนกล่าววาจาเย้ยหยันพร้อมกับหันไปยิ้มเยาะสาวใช้และสัตว์เลี้ยงเพศผู้ของตี๋เสี่ยวเิจน ที่กำลังนั่งปากคอสั่นอยู่ท่ามกลางลมหนาว
ผ่านไปครู่หนึ่งหญิงและชายกว่าสามสิบคนก็เริ่มหนาวสั่นอย่างรุนแรง ริมฝีปากของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ต่างก็ขดร่างกายเข้าหากันราวกับลูกบอล แต่ถึงอย่างนั้นก็มิมีผู้ใดกล้าปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว เพราะแม้แต่หายใจพวกเขายังแทบไม่กล้า..
เวลานี้แม้แต่ตี๋เสี่ยวเจินซึ่งเป็นนายของพวกเขาและยกตนเทียบเท่าฮองเฮานั้น ก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจนนอนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น แล้วพวกเขาจะทำเช่นไรได้
ยิ่งไปกว่านั้นชายและหญิงกว่าสามสิบนี้ต่างก็เคยเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในวังบนยอดเขาเทียนเฟิง หากศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานต้องการขึ้นไปรายงานสิ่งใดบนยอดเขา ก็จักต้องผ่านคนเหล่านี้ เวลานี้จึงได้เวลาที่ศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานเหล่านี้จะเอาคืนบ้าง..
“แล้วตี๋เสี่ยวเจินเล่านางจะมิแข็งตายก่อนที่จะได้พบกับท่านป้าฉินหรอกรึ?” เย่ซิงเฉินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงนางไม่สามารถตายได้หากข้าไม่ยินยอม ข้าได้ทำลายวรยุทธของนางแล้ว แต่พลังบ่มเพาะของนางยังอยู่ที่ระดับปรับกายา นางย่อมไม่แข็งตายไปก่อนแน่..”
จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปสั่งศิษย์สำนักเทียนซานว่า“พวกเจ้าเฝ้าพวกมันไว้ อย่าให้ผู้ใดฆ่าตัวตายได้ พรุ่งนี้ข้าจะมาคิดบัญชีกับพวกมัน!”
“ซิงเฉินพวกเราไปกันได้แล้ว!”
จากนั้นทั้งหลิงหยุน และเย่ซิงเฉินก็เหาะตรงไปยังยอดเขาเจงิชโชกูซู..
ในความสูงระดับเหนือน้ำทะเลกว่าเจ็ดพันเมตรนี้อุณหภูมิบนยอดเขาลดลงถึงลบสามสิบองศาเลยทีเดียว แต่กลับไม่มีผลต่อร่างกายของหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉิน
ทั้งสองคนเหาะลงบนพื้นของยอดเขาที่สูงสุดหลังจากชื่นชมทิวทัศน์รอบกายอยู่ครู่หนึ่ง เย่ซิงเฉินก็ได้หันไปเอ่ยถามหลิงหยุน
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่งั้นรึ”
“ข้าเพิ่งจะสิ้นสุดการต่อสู้เวลานี้จึงอยากชื่นชมทิวทัศน์ที่งดงามและคุยกับเจ้าไปด้วย..” หลิงหยุนหันไปยิ้มให้กับเย่ซิงเฉินพร้อมเอ่ยตอบนาง
“ซิงเฉินบอกข้ามา.. เจ้าเข้ามาได้อย่างไรหลังจากที่คนของสำนักกระบี่เทียนซานได้เปิดค่ายกลขุนเขาแล้ว”
หลิงหยุนรู้ว่าเย่ซิงเฉินมิได้เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกลดังเช่นตนเองอีกทั้งค่ายกลขุนเขาของสำนักกระบี่เทียนซานก็แข็งแกร่งไม่น้อย หากเย่ซิงเฉินจะทะลายเข้ามาจากด้านนอก แม้จะสามารถทำได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
เย่ซิงเฉินยิ้มกว้างพร้อมกับเล่าให้หลิงหยุนฟังว่า นางใช้วิชาสุญตาดูดดาวสร้างพายุหมุนดวงดาวขึ้นมา ให้หมุนเอาร่างของตนที่แทรกอยู่ระหว่างดวงดาวขนาดใหญ่สองดวง กระแทกเข้ากับค่ายกลจนแตก
“วิชาสุญตาดูดดาวแล้วก็พายุหมุนดวงดาวงั้นรึ!”
หลิงหยุนร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงและรีบพูดต่อว่า “เช่นนั้นแล้ว พายุหมุนดวงดาวนี้ก็สามารถนำพาเจ้าไปทุกหนทุกแห่งได้เท่าที่ต้องการสินะ!”
พายุหมุนดวงดาวของเย่ซิงเฉินนั้นเสมือนจักรวาลของนางโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางสามารถเข้าสู่ด่านกลางขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) ได้นั้น นางก็สามารถที่จะดึงพลังจากห้วงจักรวาลมาใช้ได้
หลิงหยุนทั้งตกใจและมีความสุขแทนเย่ซิงเฉินนับว่านางมีความเข้าใจในวิชาบ่มเพาะของตนได้ลึกซึ้งยิ่ง..
“พายุหมุนดวงดาวคือจักรวาลส่วนตัวของข้าใช่หรือไม่”เย่ซิงเฉินเอ่ยถามออกไป “ถูกต้องแล้ว..โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงดาวใหญ่พวกนั้น ไม่เพียงเจ้าจะใช้ดวงดาวเหล่านี้ปกป้องตนเองได้ แต่ยังใช้เป็นอาวุธจู่โจมศัตรูได้อีกด้วย มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่สามารถทำลายค่ายกลขุนเขานี้ได้เป็นแน่!”
“ซิงเฉินระวัง!”
สิ้นเสียงร้องตะโกนของหลิงหยุนกระบี่เหินเงาธนูของเขาก็พุ่งเข้าใส่ร่างของเย่ซิงเฉินทันที
เย่ซิงเฉินปลดปล่อยพายุหมุนดวงดาวปกป้องร่างกายของตนเองไว้กระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนที่พุ่งเข้าใส่นั้น จึงถูกพายุหมุนดวงดาวสะกัดกั้นไว้ได้ทันที และหลิงหยุนก็รู้สึกราวกับว่ากระบี่เหินของตนนั้นได้เข้าไปอยู่ในห้วงอวกาศ และกระบี่ก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
หลิงหยุนรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักเขาควบคุมกระบี่เหินเงาธนูให้ฝ่ากระแสของพายุหมุนดวงดาวไปได้ในที่สุด!
กระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนฝ่ากระแสพายุหมุนดวงดาวเข้าไปได้แต่ก็ถูกสะกัดไว้ด้วยดวงดาวที่ห่อหุ้มร่างกายของเย่ซิงเฉินอยู่ หลิงหยุนสัมผัสได้ว่าพลังจิตของตนคล้ายถูกต้านทานไว้ และแทบจะไม่สามารถควบคุมกระบี่เหินของตนไว้ได้อีก
หลิงหยุนออกแรงเพิ่มขึ้นและในที่สุดกระบี่เหินเงาธนูของเขาก็สามารถเจาะเข้าไปภายในดวงดาวสีเหลืองนั้นได้ แต่แล้วเสียงตูมก็ดังขึ้นทั่วทั้งขุนเขา ปลายกระบี่เหินของหลิงหยุนถูกกระแทกออก และเวลานี้กำลังหมุนวนอยู่รอบดวงดาว
และกระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนก็ไม่สามารถแทงทะลุดาวดวงใหญ่นั้นเข้าไปได้!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นหลิงหยุนจึงเริ่มทำการเผาเสินหยวน และบังคับกระบี่เหินเงาธนูของตนให้เจาะทะลุดาวดวงใหญ่นั้นอีกครั้ง แต่หลิงหยุนกลับได้ยินเสียงคล้ายกับมีผู้ใดกำลังใช้ปลายแหลมของมีดจี้ไปที่ใบหมุนของเครื่องเจียรเหล็กซึ่งกำลังหมุนอยู่
กระบี่เหินกับดวงดาวขนาดใหญ่กำลังปะทะกันและเกิดเป็นแสงสีน้ำเงินเจิดจ้า และแสงสีเหลืองสุกสว่างอย่างต่อเนื่อง
ฟิ้ว..
ในที่สุดหลิงหยุนก็ใช้พลังจิตของตนเรียกกระบี่เหินเงาธนูกลับคืนนมาพร้อมกับพยักหน้าและร้องตะโกนออกมาด้วยความดีอกดีใจ
“ช่างน่าอัศจรรย์นักเจ้ามีเกราะป้องกันถึงสามชั้นเลยทีเดียว!”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวดวงใหญ่ที่ห่อหุ้มเจ้านั่นคือเกราะป้องกันที่แท้จริง แม้แต่ยอดฝีมือขั้นก่อสร้างรากฐานก็ยังยากที่จะทะลายเกราะป้องกันนี้ของเจ้าได้!”
“เช่นนั้นข้าก็มิต้องหวาดกลัวยอดฝีมือขั้นก่อสร้างรากฐานแล้วสินะ”
เย่ซิงเฉินที่อยู่ในรัศมีของพายุหมุนดวงดาวร้องอุทานออกมาพร้อมกับกระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของนางนั้นช่างงดงามราวกับเทพธิดาเลยทีเดียว!
หลิงหยุนเฝ้ามองภาพของเย่ซิงเฉินด้วยความชื่นชมเขาพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “แต่เพียงแค่มีเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างเดียวก็คงไร้ประโยชน์ หากไร้ซึ่งพลังในการจู่โจมศัตรู เจ้าต้องหมั่นฝึกปรือดาบคู่มารสะบั้นเทวะของตนด้วย!”
��