บทที่ 1432 : เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
เกราะป้องกันที่แข็งแกร่งช่วยปกป้องชีวิตไว้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นแต่ในการต่อสู้ของเหล่าผู้ฝึกบ่มเพาะพลังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการต่อสู้อย่างหนักหน่วงต่างหาก
ดูอย่างการต่อสู้ของหลิงหยุนในคืนนี้หากเขาไม่ใช้กระบี่โลหิตเทวะจู่โจมคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างจ้าวหมิงถัง และตี๋เฮ่ออี้ในระยะกระชั้นชิดเช่นนั้น ก็คงต้องพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่ายเป็นแน่แท้
แม้ดาบคู่มารสะบั้นเทวะของเย่ซิงเฉินจะเป็นอาวุธที่ทำจากโลหะชนิดพิเศษและพลังการจู่โจมของอาวุธชนิดนี้นับว่าน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก แต่เมื่อต้องประมือกับยอดฝีมือที่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างยอดฝีมือในขั้นก่อสร้างรากฐานแล้วล่ะก็ อาวุธของนางก็ไม่สามารถทำอันตรายอะไรพวกเขาได้เลย
หลิงหยุนคิดที่จะหลอมอาวุธวิเศษให้กับเย่ซิงเฉินมานานแล้วแต่เขายังหาโลหะที่ล้ำเลิศกว่าดาบคู่มารสะบั้นเทวะไม่ได้ อีกทั้งยังไม่มีกระบี่ปราณเพียงพอที่จะใช้อย่างสิ้นเปลืองได้ แต่เวลานี้เขามีกระบี่ปราณมากมายที่ได้จากการสลายตัวของกระบี่ฟ้าเล่มยักษ์ ฉะนั้นการหลอมอาวุธวิเศษจึงมิใช่ปัญหาอีกต่อไป
ไม่เพียงแค่ดาบคู่มารสะบั้นเทวะของเย่ซิงเฉินเท่านั้นที่ต้องหลอมใหม่แม้แต่กระบี่เหินและกระบี่กังฉีของหลิงหยูนเอง ก็ต้องหลอมใหม่ด้วยเช่นกัน
เวลานี้ศัตรูของหลิงหยุนนับว่าแข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งนักเห็นได้จากศิษย์ทั้งสี่ในขั้นก่อสร้างรากฐานที่คุนหลุนส่งมาสังหารเขาในคืนนี้ นั่นเป็นเพียงแค่ปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่เท่านั้นหากเทียบกับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคุนหลุน
นับว่าเป็นความโชคดีของหลิงหยุนที่ยังมีกฏเกณฑ์ยุทธภพบีบรัดควบคุมคุนหลุนไว้อีกที คุนหลุนจึงมิกล้าลงมือหรือเคลื่อนไหวอย่างเอิกเกริกนัก การจะสังหารหลิงหยุนจึงทำได้เพียงแค่ส่งคนมาลงมืออย่างลับๆ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดยืนยันได้ว่า หากคุนหลุนเกิดโมโหขึ้นมาอย่างมาก อาจจะส่งยอดฝีมือมาสังหารหลิงหยุนอย่างโจ่งแจ้ง โดยมิได้สนใจกับกฏเกณฑ์อันใดก็เป็นได้..
กฏเกณฑ์สูญสลายแต่ผู้คนยังอยู่.. หลิงหยุนไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นมาชี้ชะตากรรมของตนเองเป็นแน่!
กฏยุทธภพย่อมไม่ต่างจากกฏหมายของคนทั่วไปหากคนที่มีอำนาจอิทธิพลต้องการที่จะทำสิ่งที่ขัดต่อกฏหมาย และคนหมู่มาก็มิกล้าคัดค้าน เช่นนี้แล้วจะยังมีใครทำอะไรได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้นยุทธภพก็หาได้มีกฏเกณฑ์มากมายอีกทั้งกฏเกณฑ์ทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดขึ้นโดยคุนหลุนทั้งสิ้น ท้ายที่สุดจะยกเลิกหรือแก้ไขล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การตัดสินใจของคุนหลุน
สำหรับหลิงหยุน..เขาไม่มีทางอื่นนอกจากต้องหมั่นเพียรฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว และให้พลังบ่มเพาะของตนนั้นแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับศัตรูได้ ในเมื่อเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจักต้องไปเหยียบคุนหลุนให้ได้..
เย่ซิงเฉินเรียกพายุหมุนดวงดาวของตนกลับคืนไปพร้อมกับเอ่ยถามหลิงหยุนด้วยความสงสัย “หลิงหยุน ในเมื่อวิชาสุญตาดูดดาวนี้แข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งนัก เหตุใดเจ้าจึงไม่ฝึกวิชานี้เล่า”
“เจ้าผิดแล้ว..ข้าย่อมต้องฝึกแน่!”
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้กับเย่ซิงเฉินพร้อมกับอธิบายให้นางฟัง“เพียงแต่เวลานี้ข้าฝึกวิชาดาราคุ้มกาย วิชาพลังลับหยิน–หยาง วิชาหยางพิสุทธิ์ และวิชาห้าธาตุสังหาร เพียงแค่นี้ก็นับว่ามากพอแล้ว หากข้ารีบร้อนฝึกฝนหลากหลายวิชาพร้อมกันมากกว่านี้ เกรงว่าจะกลายเป็นโลภมากจนเกินไป จนไม่ส่งผลที่ดีต่อการพัฒนาขั้นพลังบ่มเพาะของตนเอง”
“การบ่มเพาะพลังมิได้สำคัญที่หลากหลายแต่สำคัญที่แข็งแกร่ง..” หลิงหยุนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง“เจ้าดูอย่างตี๋เฮ่ออี้แห่งสำนักกระบี่เทียนซาน เขาฝึกฝนเพียงแค่วิชากระบี่เหินเปิ่นมิ่ง หากมิใช้กระบี่โลหิตเทวะ ข้าเองก็มิอาจทำลายเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งของเขาได้เช่นกัน..”
“เวลานี้..วิชาที่ข้าฝึกปรืออยู่ก็นับว่ามากพอแล้ว เว้นแต่ระยะเวลาที่จะทะลวงสู่ขั้นต่อไปนั้นยาวนาน ข้าอาจคิดที่จะฝึกฝนวิชาอื่นไปด้วยก็ได้”
“ซิงเฉินพวกเรายังต้องอยู่ที่สำนักกระบี่เทียนซานอีกเจ็ดวัน ในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้คงเพียงพอที่จะให้ข้าย่อยสลายกระบี่ปราณและหลอมอาวุธได้ ไม่แน่ว่าภายในเจ็ดวันนี้ข้าอาจจะสามารถเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ก็เป็นได้..”
เย่ซิวเฉินพยักหน้ารับรู้แต่ก็อดถามขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้ “เหตุใดพวกเรายังต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกเจ็ดวันด้วยเล่า มันไม่นานไปหน่อยรึ?” หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางหน้าผาบนยอดเขาเทียนเฟิงด้านล่างพร้อมกับตอบไปว่า “ท่านแม่ของข้าต้องการอยู่ที่นี่เพื่อส่งดวงวิญญาณของท่านลุงหนิงเป็นครั้งสุดท้าย นางต้องการใช้เวลาเจ็ดวันนี้เซ่นไหว้ดวงวิญญาณของเขา”
“อ่อ..ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
เย่ซิงเฉินส่ายหน้าไปมาพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ“ท่านลุงหนิงเสียชีวิตเช่นนี้ เจ้าคิดที่จะทำเช่นใดต่อไป”
“ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดทุกคนล้วนแล้วแต่มีเส้นทางชีวิตของตนเอง!”
หลิงหยุนรู้สึกเสียใจเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นเมื่อคิดว่าตนเองมาช่วยหนิงเทียนหยาช้าไป เขาจึงต้องจบชีวิตลงเช่นนี้..
แต่ชะตาชีวิตของคนบางคนก็รันทดและสั้นนักเรื่องเหล่านี้มิมีผู้ใดเข้าใจได้ดีไปกว่าหลิงหยุน..
นี่คือกฏสวรรค์และเป็นวัฎจักรวงจรของชีวิตที่ต้องมีเกิดและมีตาย หามีผู้ใดหลีกเลี่ยงได้ไม่.. แม้ว่าจะฝึกตนบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางนี้ เมื่อวันนั้นมาถึงก็ยากนักที่ผู้ใดจะหลีกเลี่ยงได้..
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ได้ประมือกับตี๋เฮ่ออี้ในคืนนี้ ยิ่งทำให้หลิงหยุนมั่นใจว่า ต่อให้เขาตัดสินใจมาช่วยเร็วกว่านี้ ด้วยขั้นพลังของเขาในเวลานั้น ก็คงไม่อาจช่วยอะไรหนิงเทียนหยาได้ และเขาก็ต้องเสียชีวิตอยู่ดี
“ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว..”
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องนภาจ้องมองไปยังเหล่าดาวเคราะห์ทั้งหลายในจักรวาล แล้วจึงถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดต่อว่า
“แม้แต่ตัวข้าเองก็หาได้กำหนดสิ่งใดได้ไม่ เพียงแค่ต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นข้าเองก็มิอาจควบคุมได้..”
เย่ซิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้าพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “หากพวกเรายังคงฝึกฝนต่อไปเช่นนี้ เส้นทางนี้จักนำพาพวกเราไปสูงสุดได้เพียงใด”
“มิมีจุดสูงสุด..”
หลิงหยุนหันไปมองเย่ซิงเฉินเขาจ้องมองลำคอระหงส์ที่ขาวนวลสุกสว่างตัดกับความืดในยามค่ำคืน พร้อมกับเอ่ยต่อ..
“ข้ารู้ว่า..มียอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ที่สามารถเหาะเหินไปมาในห้วงจักรวาลนี้ได้ และมีพลังที่แข็งแกร่งจนสามารถทำลายดาวเคราะห์มากมายพร้อมกันได้ แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังอยู่ภายใต้วัฎจักรชีวิตแห่งการเกิดดับอยู่ดี หากไม่ถูกผู้ที่แข็งแกร่งกว่าสังหาร ก็หมดอายุขัย แม้พวกเขาจะมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมาก แต่สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี ยากนักที่จะหนีพ้นวัฏจักรชีวิตแห่งการเกิดดับนี้ไปได้..”
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจหลิงหยุนก็ได้เอ่ยปากเปิดเผยบางสิ่งบางอย่างให้เย่ซิงเฉินล่วงรู้..
“…” เย่ซิงเฉินถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง..
“แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียวรึ!”
เย่ซิงเฉินร้องอุทานออกไปได้เพียงแค่นั้นความจริงแล้วนางอยากจะเอ่ยถามหลิงหยุนว่า เขารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร แต่แล้วก็เปลี่ยนใจปิดปากเงียบ และไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีก
เวลานี้เย่ซิงเฉินจ้องมองหลิงหยุนเนิ่นนานและกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องความลับของหลิงหยุนอยู่ภายในใจเงียบๆ..
แต่นางก็เลือกที่จะไม่ถามออกมาเช่นกันเพราะได้ตัดสินใจแล้วว่า หากหลิงหยุนมิบอกกล่าวแก่นางเอง นางก็จะไม่ถามถึงความลับที่เขาปกปิดโดยเด็ดขาด..
“ซิงเฉิน..เส้นทางการฝึกฝนของพวกเราเพียงแค่เริ่มต้นขึ้นเท่านั้น!”
หลิงหยุนเองก็รู้ว่าเย่ซิงเฉินกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ในใจแต่เขาเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย หากเทียบกับจักรวาลที่กว้างใหญ่แล้วไม่ว่าจะเป็นสำนักกระบี่เทียนซาน คุนหลุน หรือแม้แต่โลก ก็ยังกลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น!
“งั้นรึเหตุใดจู่ๆเจ้าจึงพูดเรื่องที่ลึกซึ้งเช่นนี้ขึ้นมา?”
เย่ซิงเฉินจ้องมองดวงดาวในท้องนภาและยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองทั้งเล็กและว่างเปล่า จึงแสร้งทำเป็นถามหลิงหยุนขึ้นมา
“ก็ไม่มีอะไรมากข้าเพียงแค่รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่มิอาจช่วยท่านลุงหนิงไว้ได้!”
“แล้วเจ้าจะทำเช่นใดกับศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานต่อไปพวกเขาล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งไม่น้อยทีเดียว..”
“ชะตาชีวิตของพวกเขาล้วนอยู่ในกำมือของพวกเขาเอง จะอยู่หรือตายล้วนขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาคิดจะทำในวันนี้ หรือคิดที่จะทำในวันข้างหน้าต่างหาก..”
หลิงหยุนตอบพร้อมกับยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว..
เย่ซิงเฉินดวงตาเป็นประกายในขณะที่ร้องถามขึ้นว่า“นี่เจ้าคิดที่จะใช้สำนักกระบี่เทียนซานเป็นขุมกำลังในวันข้างหน้างั้นรึ”
หลิงหยุนพยักหน้า“เจ้าช่างรู้ใจข้านักซิงเฉิน!”
“เช่นนี้แล้วพวกเราจะทำอะไรกันดีในตอนนี้”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ฝึกวิชารอตี้เสี่ยวอู๋..”