ตอนที่ 609 สู้จนกระอักเลือด

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 609 สู้จนกระอักเลือด โดย Ink Stone_Fantasy

“ท่านก็ไม่เลวนี่!”

ลำคอของเหลยเจิ้นเยวี่ยเปล่งเสียงคำรามเหมือนวัวสูดน้ำออกมา แขนขวาสั่นระริกเบาๆ จนแทบดูไม่ออก ดวงตาฉายแววตกตะลึงออกมาอย่างไม่อาจปกปิดได้

เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงจากเหอเป่ย ภายหลังเพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับครอบครัว ทั้งตระกูลจึงย้ายถิ่นฐานไปที่เทียนจิน

สมัยที่เหลยเจิ้นเยวี่ยอายุห้าขวบ ก็ได้เรียนวิชามวยทงเป้ยกับจางเช่อผู้ได้รับการขนานนามในสมัยนั้นว่าเป็น ‘เทพแห่งมวยทงเป้ย’ แล้ว และกลายเป็นศิษย์คนสุดท้ายของปรมาจารย์มวยท่านนั้น ผู้ซึ่งในสมัยปลายราชวงศ์ชิงต้นยุคสาธารณรัฐไม่มีใครมาเป็นคู่ต่อสู้ได้เลยในทั่วทั้งเก้ามณฑลแถบภูมิภาคหวาเป่ยและตงเป่ย

หลังจากจางเช่อถึงแก่กรรมไปแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ไปกราบอาจารย์มวยที่ปักกิ่งและเทียนจิน และได้เรียนวิชามวยสับงัดมาอีก หลังจากผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำมาเจ็ดสิบแปดสิบปี เขาก็ฝึกมวยทั้งสองชนิดนี้ได้จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว

ในการโจมตีเมื่อครู่นี้ เหลยเจิ้นเยวี่ยคิดว่า ต่อให้เป็นเสือร้ายตัวหนึ่ง ก็คงจะถูกเขาซัดจนเอ็นฉีกกระดูกหัก จบชีวิตคาที่ได้แน่นอน แต่เยี่ยเทียนกลับต้านทานไว้ได้โดยตรงด้วยมือข้างเดียว และยังปล่อยแรงสะท้อนกลับอ่อนๆ มาได้อีกด้วย ทำให้เขารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาในอกไปวูบหนึ่ง

ยามนี้เหลยเจิ้นเยวี่ยรู้แล้วว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีคุณสมบัติพอที่จะให้ตัวเองทะนงตนได้อยู่จริงๆ และอาจจะสามารถ ‘ชี้แนะ’ เขาสักยกหนึ่งได้จริงๆ ก็เป็นได้

ในยุทธภพนั้น ผู้มีพลังย่อมได้รับการนับถือ

สมัยนั้นตู้เยวี่ยเซิงและหวงจินหรงต่างก็ไม่ใช่ผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในพรรคชิงปัง แต่หากคนรุ่นหลังเอ่ยถึงพรรคชิงปังขึ้นมาเมื่อไร ก็จะต้องเห็นบุคคลทั้งสองนี้เป็นตัวแทนของพรรคแน่นอน ซึ่งก็เป็นเพราะว่าทั้งสองคนนี้มีพลังอำนาจมากที่สุด

แต่คนอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ยนี้ กลับให้ความสำคัญกับความสามารถในการต่อสู้ของแต่ละคนมากกว่า ท่า ‘ฌ้อปาอ๋องยกกระถางธูป’ ของเยี่ยเทียนนี้จึงทำให้เขาเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมาแล้ว

เยี่ยเทียนสะบัดมือขวาที่รู้สึกชาขึ้นมา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “มาสู้กันต่อเถอะ ฝึกวิชายุทธสายพลังภายนอกจนถึงระดับท่านได้นี่ เทียบกับ ‘เทพแขน’ จางเช่อ เมื่อสมัยโน้นก็ถือว่าสูสีกันละนะ!”

“ท่านรู้จักอาจารย์ของฉันด้วยรึ? ฉันน่ะยังเทียบชั้นกับท่านไม่ได้หรอก!”

เหลยเจิ้นเยวี่ยได้ยินแล้วก็อึ้งไป เขาอยู่ที่ต่างประเทศมาหกสิบกว่าปี ไม่ได้ยินใครเอ่ยนามของอาจารย์มานานแล้ว แต่เขาก็ยังสำนึกรู้ตัวอยู่ว่า วรยุทธของตนยังห่างไกลจากอาจารย์มากนัก

ในระหว่างช่วงปลายราชวงศ์ชิงไปจนถึงก่อนยุคคอมมิวนิสต์นั้น วงการศิลปะการต่อสู้ในประเทศเรียกได้ว่าเป็นยุคร้อยสำนักประชันภูมิ เกิดยอดฝีมือกังฟูมากมายหลายท่าน อย่างเช่นดาบใหญ่หวังอู่ ซุนลู่ถัง ฮั่วหยวนเจี่ย และทวนเทพหลี่ซูเหวิน เป็นต้น

แต่จางเช่อนั้นเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ในหมู่ปรมาจารย์ เป็นคนแรกที่คิดค้นวิชามวยชนิด ‘ทงเป้ยไท่จี๋’ ขึ้นมา และฝึกฝนจนจนไปถึงระดับที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ท่านจึงเปรียบดั่งยอดเขาสูงลูกหนึ่งที่ยังไม่มีผู้ใดสามารถพิชิตได้ในประวัติศาสตร์ของมวยทงเป้ย

แม้ว่าพลังฝีมือของเหลยเจิ้นเยวี่ยจะไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว แต่ถ้าเขาไปอยู่ในยุคสมัยโน้น ก็คงจะยังเทียบชั้นกับบรรดาปรมาจารย์วิชามวยเหล่านั้นไม่ได้อยู่ดี

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของเทพแขนนี่เอง มิน่าล่ะ…”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า ในใจไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดี ยุทธภพนั้นแม้จะกว้างใหญ่ แต่ถ้าเอ่ยถึงเรื่องมิตรภาพกันแล้ว ก็มักจะเกี่ยวโยงไปถึงความสัมพันธ์กับคนบางคนได้เสมอ

ตลอดชีวิตของหลี่ซั่นหยวนมีมิตรสหายมากมายหลายวงการ เพื่อที่จะเสาะหาต้นฉบับคัมภีร์ ภาพดันหลัง จึงเคยไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยในเมืองกรุงอยู่ช่วงหนึ่ง และได้เป็นสหายสนิทกับผู้เชี่ยวชาญทางศิลปะการต่อสู้ในปักกิ่งและเทียนจินหลายคน จางเช่อผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

แต่เยี่ยเทียนก็ไม่อยากจะพูดเรื่องพวกนี้กับเหลยเจิ้นเยวี่ย เพราะถ้าเอ่ยถึงมิตรภาพของคนรุ่นอาจารย์ขึ้นมาละก็ คงไม่เป็นอันได้ต่อยตีกันต่อไปแน่ๆ ยามนั้นจึงขยับท่าร่าง สองเท้ารุกคืบเข้าไปอย่างว่องไวราวกับผีเสื้อกลางดงดอกไม้

แต่เปรียบเทียบกับการโจมตีอันสุดแสนทรงพลังของเหลยเจิ้นเยวี่ยเมื่อครู่นี้แล้ว หมัดและฝ่ามือที่เยี่ยเทียนโจมตีออกไปก็กลายเป็นดูเบาหวิวไปเลย ฝูงชนที่ล้อมดูอยู่ต่างก็สงสัยกันเหลือเกินว่า ลูกหมัดลูกถีบของเยี่ยเทียนนี่ พอมาใช้กับเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้วจะกลับกลายเป็นการไปจักจี้เขารึเปล่า?

เพียงแต่ทุกคนไม่รู้ว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยซึ่งอยู่ในวงต่อสู้นั้น กลับกำลังลำบากอย่างที่สุด

เพราะลูกหมัดและลูกถีบของเยี่ยเทียนที่โจมตีใส่เขานั้นแม้จะดูเหมือนไร้พลัง แต่ความจริงแล้วทุกๆ หมัดมีกำลังภายในแฝงอยู่ แม้แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยเองยังก็ไม่กล้าปล่อยให้เยี่ยเทียนจู่โจมมาถึงร่างของตนเลย

แม้ว่าเขาจะก้าวไปถึงขั้นสูงสุดได้ครึ่งก้าวแล้ว แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยบากบั่นฝึกวิชายุทธสายพลังภายนอกมาทั้งชีวิต ในด้านการควบคุมพลังลมปราณจึงเทียบกับเยี่ยเทียนไม่ได้เลย หากสู้กันด้วยพลังลมปราณ เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ย่อมจะไม่อาจใช้พลังออกมาได้ดั่งใจนึก

“ฮ่ะ!”

เหลยเจิ้นเยวี่ยเปล่งเสียงตวาดออกมาสั้นๆ คำหนึ่ง ถ่ายพลังทั่วทั้งร่างไปไว้ที่แขนทั้งสองข้าง ท่ามวยทงเป้ยและมวยสับงัดผสมผสานกัน ปะทะกับเยี่ยเทียนอย่างแข็งกร้าว

เหลยเจิ้นเยวี่ยใช้วิธีนี้เพราะหมดหนทางอื่นแล้ว ในด้านทักษะการเคลื่อนไหวหลบหลีกนั้น เขาด้อยกว่าเยี่ยเทียน จึงได้แต่เข้าปะทะซึ่งๆ หน้า เพื่อบีบให้เยี่ยเทียนแลกหมัดแลกถีบกับตน

แต่เยี่ยเทียนเคยปะทะตรงๆ กับเขาไปหนึ่งครั้งแล้ว แล้วจะยังนำจุดด้อยของตัวเองไปปะทะกับจุดแข็งของเหลยเจิ้นเยวี่ยอีกได้อย่างไรกัน?

ขณะเดียวกับที่เหลยเจิ้นเยวี่ยตวาดออกมา ฝีเท้าของเยี่ยเทียนก็เร่งเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน เท้าก้าวเหยียบไปตามท่าก้าวแปดทิศ วนเวียนไปรอบๆ ร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ย

ท่าก้าวชุดนี้เยี่ยเทียนศึกษามาจากชิวเหวินตง ถึงวรยุทธของเขาจะเหลาะแหละไม่ได้เรื่อง แต่วิชาของเขาก็สืบทอดมาจากต่งไห่ชวน วิชาฝ่ามือแปดทิศที่ตกทอดมานี้จึงตรงตามต้นตำหรับอย่างยิ่ง

มวยทงเป้ยก็ให้ความสำคัญกับท่าก้าวเช่นกัน แต่เทียบกับท่าก้าวแปดทิศของเยี่ยเทียนแล้วกลับด้อยกว่ามาก มีอยู่หลายครั้งที่เหลยเจิ้นเยวี่ยหมุนกายช้าไปเล็กน้อย แล้วบนร่างก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที เพราะถูกหมัดของเยี่ยเทียนไปหลายหมัด

แต่ที่ทำให้เหลยเจิ้นเยวี่ยประหลาดใจคือ ลูกหมัดเหล่านี้ถึงจะทำให้รู้สึกเจ็บอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้ทรงพลังมากเท่าที่คิดไว้ ขณะนั้นเขาไม่มีเวลาไปขบคิด จึงได้แต่ใช้สมาธิตั้งรับการโจมตีของเยี่ยเทียนที่กระหน่ำมาดั่งพายุสลาตัน

เยี่ยเทียนจู่โจมอย่างฮึกเหิม เท้าก้าวตามผังแปดทิศ ท่าร่างรวดเร็วสุดขีด จนฝูงชนที่ล้อมดูอยู่มองเห็นเพียงเงาร่างหนึ่งวนล้อมไปรอบๆ เหลยเจิ้นเยวี่ย

เหลยเจิ้นเยวี่ยมีประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน ยามนั้นเขาละทิ้งความคิดที่จะประชันท่าร่างกับเยี่ยเทียนแล้ว และยืนอยู่กับที่ หมายจะใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว การรุกโจมตีของเยี่ยเทียนจึงถูกเขาปัดป้องออกไปได้ทุกครั้ง

แต่คนที่ตาถึงจะดูออกว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยแม้จะยังไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ช้าเร็วก็ต้องพ่ายแพ้แน่นอน จากโบราณจวบจนปัจจุบันนี้ กรณีที่ผู้ตกเป็นฝ่ายรับการโจมตีจะพลิกสถานการณ์เป็นผู้ชนะได้นั้นถือว่ามีน้อยครั้งอย่างยิ่ง

“ฮ่าๆ สะใจจริงๆ!”

ในการประมือกับคนอื่นครั้งก่อนๆ ปกติเยี่ยเทียนปล่อยไปสามหมัด เตะไปสองทีก็ยุติการต่อสู้แล้ว แต่ในการประลองกับเหลยเจิ้นเยวี่ยนี้ ทั้งสองเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ยามนี้เยี่ยเทียนจึงเลือดลมสูบฉีดไปทั่วร่าง ต่อสู้อย่างเบิกบานสมใจอยาก

“เอ๊ะ? ทำไมพลังไม่เหมือนเมื่อครู่แล้วล่ะ?”

ในการโจมตีระยะประชิดครั้งหนึ่ง เยี่ยเทียนได้ปะทะกับเหลยเจิ้นเยวี่ยโดยตรงอีกครั้งหนึ่งและพบว่า พลังของตาแก่คนนี้น้อยลงกว่าเมื่อครู่ไปมาก จึงรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย

ตอนนี้ทั้งสองเพิ่งจะประมือกันได้เพียงห้าหกนาที อาศัยพลังฝีมือของเหลยเจิ้นเยวี่ยที่ก้าวไปถึงระดับสูงสุดได้ครึ่งก้าวแล้วนั้น พลังกายก็ไม่น่าจะอ่อนแอขนาดนี้ ตามหลักแล้วต่อให้สู้กันนานถึงครึ่งชั่วยาม เลือดลมก็ไม่น่าจะอ่อนกำลังลงเลย

“แย่ละ หลังจากตาแก่นี่เข้าสู่ขั้นสูงสุดแล้ว พลังฝีมือก็ยังไม่คงที่ โรคเก่าจะกำเริบขึ้นมาแล้ว”

พอเยี่ยเทียนก้าววนมาอยู่ตรงหน้าเหลยเจิ้นเยวี่ย แล้วเห็นสีหน้าที่เริ่มเป็นสีเทาหมองของเหลยเจิ้นเยวี่ย เขาก็เข้าใจในทันที

ตลอดชีวิตเหลยเจิ้นเยวี่ยผ่านศึกมานับร้อยนับพัน ได้รับบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกมานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าถอดเสื้อผ้าออก อย่างน้อยๆ ก็ต้องสามารถนับรอยแผลเป็นบนร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ยได้เป็นร้อยแผล

อีกทั้งวิชาที่เขาฝึกยังเป็นวิชายุทธสายพลังภายนอกซึ่งแม้จะใช้สังหารข้าศึกได้ แต่ก็ทำให้ตนเองต้องบอบช้ำไปด้วย การที่เขาสามารถรักษาพลังกายมาจนอายุถึงแปดสิบกว่าปี และก้าวสู่ระดับสูงสุดได้นี้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากยิ่งอยู่แล้ว

การเข้าสู่ระดับสูงสุดนั้นหมายความว่า ร่างกายมนุษย์ผ่านการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรจนถึงขีดสุดแล้ว เมื่อถึงระดับนี้ไม่ว่าคนผู้นั้นจะฝึกวิชามวยสายพลังภายในหรือภายนอก ก็จะบรรลุผลเช่นเดียวกันหมด ขอเพียงเหลยเจิ้นเยวี่ยตั้งจิตกำหนดลมหายใจ ก็จะสามารถขจัดโรคที่แฝงอยู่ในกายมานานออกไปได้แล้ว

แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยเพิ่งจะเลื่อนขั้นได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้มีเวลาปรับสภาพหลังจากเข้าสู่ขั้นสูงสุด ก็ถูกเจ้าตำหนักคุ้มกฎ คนนั้นเรียกตัวมาก่อน แล้วก็เริ่มต่อสู้กับเยี่ยเทียนทันที

ถ้าเยี่ยเทียนมีวรยุทธต่ำต้อยหรืออยู่ในระดับธรรมดา เหลยเจิ้นเยวี่ยจัดการไปสักสามสี่กระบวนท่าก็คงจบแล้ว แต่เยี่ยเทียนดันมีพลังฝีมือสูงกว่าเขา เมื่อมาแลกหมัดวัดพลังกัน จึงทำให้โรคที่ซุกซ่อนอยู่ในกายของเหลยเจิ้นเยวี่ยปะทุกำเริบขึ้นมา

“ท่านเยี่ย ยั้งมือไว้ไมตรีด้วยเถอะ!”

แม้ว่าฝูงชนที่อยู่ในเหตุการณ์จะไม่ได้มีวรยุทธเหนือไปกว่าสองคนนี้เลย แต่ก็มีผู้ที่ตาถึงอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยแม้แต่ตู้เฟยก็ดูออกแล้วว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยหมดพลังแล้ว

“น้องสาม รีบยอมแพ้เร็วเข้า!”

หลี่ซงชิวก็ตะโกนออกไปเสียงดังเช่นกัน เขาคบหาเป็นสหายกับเหลยเจิ้นเยวี่ยมานานกว่าครึ่งศตวรรษ มีมิตรภาพดั่งพี่น้อง จึงไม่อยากเห็นเหลยเจิ้นเยวี่ยต้องจบฉากลงใต้หมัดของเยี่ยเทียนเลย

ทั้งสองกำลังประลองฝีมือกันต่อหน้าผู้อาวุโสจากสมาคมหงเหมินสาขาต่างๆ ต่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นมา ก็ไม่สามารถกล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่งได้ ถ้าเยี่ยเทียนมีจิตใจอำมหิต คร่าชีวิตของเหลยเจิ้นเยวี่ยไป คนนอกก็ไม่อาจจะว่ากล่าวอะไรได้

แต่ต่อให้เหลยเจิ้นเยวี่ยคิดจะวางมือตอนนี้ ก็ต้องถามเยี่ยเทียนก่อนว่ายินยอมหรือไม่ เพราะตอนนี้เยี่ยเทียนเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้แล้ว โดยเปลี่ยนจากการวนล้อมเป็นการจู่โจมแบบแข็งกร้าว พลังลมจากหมัดนั้นกดดันเหลยเจิ้นเยวี่ยจนแม้แต่จะพูดก็ยังพูดไม่ออก

“ล้มลงไปซะ!”

เยี่ยเทียนปัดป่ายหมัดยาวทงเป้ยของเหลยเจิ้นเยวี่ยออกไปหนึ่งครั้ง ย่อลงแล้วยืดกายขึ้นมา เหลยเจิ้นเยวี่ยยังไม่ทันชักมือที่โจมตีออกมากลับไป สองฝ่ามือก็ฟาดไปที่ทรวงอกของเขาสามครั้งแล้ว

การโจมตีสามครั้งนี้ดูภายนอกเหมือนเบาหวิวไร้เรี่ยวแรง แต่ร่างอันใหญ่โตของเหลยเจิ้นเยวี่ยกลับชะงักค้างนิ่งไปเลย โลหิตคั่งสีดำสนิทเหมือนน้ำหมึกพ่นสาดออกมาจากปากของเขา

“น้องสาม!”

“ลุงเหลย!”

หลายเสียงร้องตะโกนออกมา เงาร่างหลายร่างเบียดออกมาจากกลางฝูงชนที่มุงดูอยู่ แล้วประคองเหลยเจิ้นเยวี่ยที่กำลังซวนเซใกล้จะล้มไว้

“ท่านเยี่ย ถึงลุงเหลยจะเป็นฝ่ายยั่วยุก่อน ท่านก็ไม่เห็นจำเป็นต้องลงมือโหดขนาดนี้เลยนี่” ตู้เฟยช่วยพยุงเหลยเจิ้นเยวี่ยไว้ และมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง

ถึงเหลยหู่จะไม่ได้รับความนิยมจากผู้อื่นเท่าไรนัก แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยกลับเป็นบุคคลรุ่นอาวุโสที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในสมาคมหงเหมิน เมื่อเห็นว่าเขาถูกเยี่ยเทียนที่เพิ่งเข้าร่วมสมาคมใหม่ๆ ทำร้ายจนกระอักโลหิตบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ตู้เฟยเองก็เริ่มจะขุ่นเคืองขึ้นมาแล้ว

มีคนที่คิดเช่นเดียวกับตู้เฟยอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่สมัยหนุ่มเคยติดตามเหลยเจิ้นเยวี่ยบุกตะลุยไปทั่ว ต่างก็ตาแดงกันขึ้นมาทุกคน โลหิตของเหลยเจิ้นเยวี่ยเมื่อครู่นั้น ราวกับเป็นโลหิตที่ตนกระอักออกมาเองก็ไม่ปาน

“ตู้เฟย โรคเก่าในกายของเขากำเริบ ที่กระอักเลือดคั่งออกมานี่น่ะกลับจะเป็นเรื่องดีต่างหากล่ะ”

เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วหายใจเข้าลึกๆ หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดเร้าใจเมื่อครู่นี้ เลือดลมของเขาน่าจะกำลังสูบฉีดอยู่ถึงจะถูก แต่ใบหน้าของเยี่ยเทียนกลับดูขาวซีดเหมือนคนป่วยขึ้นมาเล็กน้อย

“บัดซบ ทำร้ายคนจนกระอักเลือดแล้วยังจะว่าเป็นเรื่องดีอีกเรอะ?”

เยี่ยเทียนพูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าตำหนักคุ้มกฎ คนนั้นก็สาวเท้าออกมา ใบหน้าเปี่ยมด้วยความโศกเศร้าและโทสะ ถ้าไม่ใช่เพราะคำนึงถึงกาลเทศะในขณะนั้น เขาคงเรียกรวมพลสมาชิกไปสู้ตายกับเยี่ยเทียนไปแล้ว

“แค่ก แค่กๆ…”

ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมเยี่ยเทียนไว้ ทันใดนั้นเหลยเจิ้นเยวี่ยก็ไอออกมา แล้วถ่มก้อนแข็งสีดำๆ มีโลหิตคั่งออกมาจากปากหลายก้อน

“อวัยวะภายในแหลกเป็นชิ้นๆ เลยรึ?” คราวนี้แม้แต่หลี่ซงชิวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นก็ยังตาแดงก่ำขึ้นมา

……………………………………………….