ตอนที่ 610 ล้างมือในอ่างทองคำ (1) โดย Ink Stone_Fantasy
“ฉันขอเสี่ยงกับแกแล้ว!”
มารดาของเจ้าตำหนักคุ้มกฏเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ตอนที่เขาอายุแปดขวบ บิดาก็มาเสียชีวิตไปอีกในการต่อสู้ปะทะระหว่างแก๊งครั้งหนึ่ง เขาจึงเป็นเด็กกำพร้าที่เหลยเจิ้นเยวี่ยรับเลี้ยงไว้ตั้งแต่เด็ก มีความผูกพันเหมือนพ่อลูกแท้ๆ เมื่อเห็นเหลยเจิ้นเยวี่ยกระอักก้อนโลหิตออกมา จึงทนไม่ไหวอีกต่อไป โถมร่างเข้าไปหาเยี่ยเทียน
หลี่ซงชิวนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นด้วยสีหน้าหม่นหมอง และก็ไม่ได้หยุดยั้งเขาไว้ ถ้าเยี่ยเทียนลงมือโหดเหี้ยมไปจริงๆ เขาก็ยอมละทิ้งจารีตของสมาคมหงเหมินที่มีมาหลายร้อยปี เพื่อที่จะทวงความยุติธรรมจากเยี่ยเทียน
เพียงแต่เจ้าตำหนักคุ้มกฏคนนั้นยังไม่ทันกระโจนไปถึงตรงหน้าเยี่ยเทียน ทุกคนก็ได้ยินเสียงอันดังกังวานเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “บัดซบ ซือคง แกจะทำอะไรของแก?”
พร้อมกับเสียงตวาด มือใหญ่ดั่งใบลานข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเจ้าตำหนักคุ้มกฏไว้ แล้วกระชากกลับไป หิ้วร่างหนักหนึ่งร้อยห้าสิบหกสิบชั่งของเขาขึ้นมา
“พ่อ…”
“ลุงเหลย?”
“น้องสาม?”
คนทั้งหลายมองไปตามเสียง แล้วแต่ละคนก็มีสีหน้าตกตะลึงและยินดีขึ้นมาทันที ผู้ที่กำลังจับเจ้าตำหนักคุ้มกฎ ซือคงหมิงไว้ ก็คือเหลยเจิ้นเยวี่ยที่เพิ่งจะกระอักโลหิตออกมาตั้งมากมายนั่นเอง
“น้องสาม นี่…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่น่ะ?”
หลี่ซงชิวมองไปที่เหลยเจิ้นเยวี่ยอย่างสับสน ที่อกเสื้อของเขายังมีคราบโลหิตสีดำสนิทติดอยู่เลย เห็นแล้วน่าสยดสยองพรั่นพรึงยิ่งนัก
“พี่รอง ฉันไม่เป็นไร”
เหลยเจิ้นเยวี่ยโบกมือ ปล่อย ซือคงหมิง ทิ้งลงไปด้านข้าง แล้วสาวเท้าเข้าไปถึงตรงหน้าเยี่ยเทียน สองมือกุมประสานกัน แล้วโค้งคำนับลงไปเป็นการคารวะอย่างสูง
“ท่านเยี่ย ผู้แซ่เหลยทำความผิดไปมากมาย แต่ท่านมีจิตใจกว้างขวาง ใช้ความดีตอบโต้ความเลว ผู้แซ่เหลยต้องขออภัยต่อท่านด้วย!”
การโค้งคำนับของเหลยเจิ้นเยวี่ยนี้ ศีรษะแทบจะอยู่ระดับเดียวกับเข่าแล้ว นี่ถ้าไปอยู่ในสมัยโบราณ ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับการคุกเข่าโขกศีรษะคำนับ ปกติจึงมีแต่คนรุ่นเยาว์ที่จะแสดงความเคารพอย่างสูงเช่นนี้ต่อผู้อาวุโส
หลังจากโค้งคำนับลงไปจนจรดพื้นแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ยังไม่ยืดกายขึ้นมา แต่จะรอให้เยี่ยเทียนตอบก่อน ราวกับว่าถ้าเยี่ยเทียนไม่ยอมรับคำขอโทษจากเขา เหลยเจิ้นเยวี่ยก็จะโค้งต่ำอยู่อย่างนั้นไม่เลิก
“แค่ก…แค่กๆ…”
พอเยี่ยเทียนจะอ้าปากพูด ใบหน้าก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากไอหลายครั้งถึงตอบว่า “ผู้อาวุโสเหลย ผมนับถือการปฏิบัติตนของท่านจริงๆ แต่ลูกหลานในตระกูลน่ะก็ไม่ควรจะตามใจจนเกินควร ไม่อย่างนั้นไว้พอท่านอายุถึงหนึ่งร้อยปีไปแล้ว คนอื่นเขาอาจจะไม่เห็นแก่หน้าท่านแล้วก็ได้นะ!”
สามฝ่ามือที่ฟาดใส่ทรวงอกของเหลยเจิ้นเยวี่ยไปเมื่อครู่นั้น เยี่ยเทียนต้องแลกด้วยราคาที่สูงลิ่วเลยทีเดียว
สามฝ่ามือนี้แฝงไว้ด้วยพลังลมปราณเกือบครึ่งหนึ่งของเยี่ยเทียน ถ่ายเทเข้าสู่ร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ยด้วยทักษะเฉพาะตัว กระแทกโลหิตคั่งในอกและช่องท้องของเขาออกมา
ถ้าไม่ใช่เพราะสามฝ่ามือของเยี่ยเทียนนี้ ต่อให้เมื่อครู่นี้เหลยเจิ้นเยวี่ยหยุดมือ โรคเก่าก็จะยังปะทุออกมาอยู่ดี และจะสะสมอยู่ภายในร่างกาย ไม่อาจขับออกมาได้ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็อย่าหวังว่าจะรักษา วรยุทธของตัวเองไว้ได้เลย
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เหลยเจิ้นเยวี่ยแสดงการขอโทษ และมองดูก้อนโลหิตสีแดงคล้ำบนพื้นอีกครั้ง บรรดาคนที่มุงดูอยู่ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว
ผู้สูงวัยอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ยนี้ อาจจะสร้างบุญคุณไว้กับคนอื่นได้ แต่ตนเองจะไม่ยอมติดค้างน้ำใจของผู้อื่นเด็ดขาด แบบนั้นยังทรมานยิ่งกว่าคร่าชีวิตชราของเขาไปเสียอีก
ดังนั้นสามฝ่ามือของเยี่ยเทียนเมื่อครู่นี้ จึงไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อปลิดชีวิตของเหลยเจิ้นเยวี่ย แต่น่าจะเพื่อช่วยรักษาเขาต่างหาก ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้ว หากเอาชนะไม่ได้ เขาก็คงจะยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับเยี่ยเทียนแน่ๆ
“ท่านเยี่ย คำสั่งสอนของท่านเหล่าเหลยจะจำไว้!”
หลังจากได้ยินคำตอบของเยี่ยเทียน เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ยืดกายยืนตรง แล้วก้าวไปถึงตรงหน้าเหลยหู่ ยื่นมือไปหิ้วตัวเขามาปล่อยลงตรงหน้าเยี่ยเทียน “คุกเข่าโขกหัวขอขมาท่านเยี่ยซะ!”
“พ่อ? นี่พ่อเป็นอะไรไปครับเนี่ย?”
แผลบนร่างของเหลยหู่ที่เพิ่งจะทำเสร็จไปกลับมีโลหิตซึมออกมาอีก เขามองบิดาด้วยสีหน้าตื่นกลัว ไม่รู้ว่าทำไมพ่อที่เคยรักเอ็นดูตนมาตลอดถึงได้ผิดจากยามปกติไปขนาดนี้
“บัดซบ ชีวิตของพ่อแกนี่ ท่านเยี่ยเป็นคนช่วยเก็บขึ้นมา แล้วแกยังไม่สมควรจะคุกเข่าคำนับอีกเรอะ?”
เหลยเจิ้นเยวี่ยถลึงตา ตบท้ายทอยเหลยหู่ไปหนึ่งที จนเขาล้มคุกเข่าโขกศีรษะลงไปตรงหน้าเยี่ยเทียน
เหลยหู่ตั้งแต่เด็กก็กลัวบิดาเป็นที่สุด เมื่อเห็นว่าบิดาเริ่มมีโทสะขึ้นมาจริงๆ พอคุกเข่าโขกศีรษะลงไปแล้วก็เลยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก ปากพูดออกมาว่า “ขอโทษครับท่านเยี่ย เหลยหู่ขอคุกเข่าขอขมาท่าน ณ ที่นี้ด้วย!”
“เหลยหู่ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ฉันเห็นแก่ที่ตระกูลเหลยกับตระกูลซ่งคบหากันมาหลายสิบปีละก็ ถึงแกจะมีสักกี่ชีวิตก็ไม่พอหรอก”
เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงความเคียดแค้นในใจของเหลยหู่ที่กำลังหมอบอยู่บนพื้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ แค่นหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “แกมันเห็นแก่ตัวเกินไป ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในตำหนักอาญาต่อไปอีก ถอนตัวออกจากสภาผู้อาวุโสไปใช้ชีวิตเกษียณซะเถอะนะ!”
“แก!”
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น เหลยหู่ก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างสุดจะอดกลั้น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะ ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุได้สี่สิบกว่าปี กำลังเป็นช่วงอายุแห่งความเจริญก้าวหน้าของผู้ชาย เมื่อเยี่ยเทียนพูดแบบนี้ เขาก็คงไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาอีกแล้ว
“แกๆ อะไรหา?”
เหลยเจิ้นเยวี่ยที่อยู่ข้างหลังตบศีรษะลูกชายไปอีกหนึ่งฝ่ามือ “นี่ท่านเยี่ยอุตส่าห์เหลือทางรอดให้แล้วแท้ๆ เอ็งยังไม่รู้จักสำนึกอีกเรอะ ซือคง…”
“ผมอยู่นี่ครับ” ซือคงหมิงรีบขานตอบ แต่ตัวกลับยืนห่างจากเหลยเจิ้นเยวี่ยไปเจ็ดแปดเมตร เพราะเขากลัวว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยที่กำลังโมโหจัดจะชกเขาเข้าให้
“พรุ่งนี้ส่งมันกลับไปแคนาดาเลย ภายในสามปีนี้ก็ให้มันไปฝึกคัดลายมือควบคุมลมปราณ พอมันแก้สันดานจนดีขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ก็ค่อยให้มันกลับมาเมื่อนั้นแหละ!”
“ลุงเหลย แต่…แต่หู่จื่อเขายังเป็นเจ้าตำหนักอาญาอยู่นะครับ?”
ซือคงหมิงนิ่งอึ้ง การที่เหลยหู่ปีนป่ายขึ้นมาที่ตำแหน่งนี้ได้ จริงอยู่ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะอิทธิพลของเหลยเจิ้นเยวี่ย แต่เหลยหู่เองก็ได้ทุ่มเทลงแรงไปไม่น้อยเหมือนกัน
“เจ้าตำหนักบ้าบออะไร ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปมันก็ไม่ใช่อีกแล้วหละ”
เหลยเจิ้นเยวี่ยหันหลังไปพูดกับหลี่ซงชิวว่า “พี่รอง วันนี้แปดตำหนักในตำหนักนอกและทูตของสมาคมทุกท่านก็อยู่ที่นี่กันครบแล้ว เหลยหู่ทำร้ายพี่น้องร่วมสมาคม ฉันขอเสนอให้ปลดมันออกจากตำแหน่งเจ้าตำหนักอาญาซะ!”
“น้องสาม จะไม่พิจารณาดูอีกหน่อยหรือ?”
หลี่ซงชิวมองไปที่เหลยเจิ้นเยวี่ย เจ้าตำหนักอาญานั้นเป็นตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่งในสมาคมหงเหมิน ถ้า เหลยหู่ออกจากตำแหน่งไป ก็จะต้องมีการอภิปรายวาระใหม่กันอีก ซึ่งหลี่ซงชิวยังไม่ได้เตรียมการใดๆ ไว้เลย
“ท่านเยี่ย ท่านเห็นว่าอย่างไรบ้าง?” หลี่ซงชิวมองไปทางเยี่ยเทียนอีก เขาอยากจะให้เยี่ยเทียนช่วยพูดปรามสักหน่อย แบบนั้นเหลยเจิ้นเยวี่ยก็จะได้มีทางลงด้วย
“ท่านประธานใหญ่หลี่ ผมก็รู้สึกว่าเหลยหู่ไม่ค่อยเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งปกครองตำหนักอาญาเหมือนกัน แต่นี่ก็เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนั่นแหละครับ”
เยี่ยเทียนเหยียดปาก ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเหลยเจิ้นเยวี่ย วันนี้เหลยหู่ก็คงกลายเป็นศพไปนานแล้ว แล้วเขาจะไปช่วยพูดให้เหลยหู่ทำไมกัน?
“ไม่ต้องพิจารณาแล้ว ให้ทุกคนยกมือลงคะแนนตัดสินเถอะ!”
พอได้ยินคำตอบของเยี่ยเทียน เหลยเจิ้นเยวี่ยก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ถึงจะเห็นเขานิสัยมุทะลุดุดันแบบนี้ แต่ที่จริงแล้วเหลยเจิ้นเยวี่ยจะเลอะเทอะแต่กับเรื่องเล็กๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องใหญ่เขากลับเข้าใจได้ดียิ่งกว่าใคร
ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนบอกว่าจะไม่สืบสาวเอาความกับเขา แต่ไม่ได้บอกว่าจะละเว้นลูกชายของเขาด้วย มีแต่ต้องให้เหลยหู่หายหน้าไปให้พ้นสายตาเยี่ยเทียนเท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสรอดพ้นจากภัยครั้งนี้ไปได้
ในสมาคมหงเหมินนั้นหากจะมีการปลดผู้อาวุโสที่อยู่ในระดับเจ้าตำหนักออก ก็จะต้องเรียกเปิดประชุมใหญ่ในสมาคมก่อน จากนั้นก็ให้เจ้าตำหนักของตำหนักในและตำหนักนอกทั้งแปด และบรรดาผู้อาวุโสที่เป็นทูตจากสาขาต่างๆ ยกมือลงคะแนนเสียงเป็นการตัดสิน ซึ่งในวันนี้เงื่อนไขทุกอย่างก็ครบสมบูรณ์พอดี
“สมาคมหงเหมินจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ แล้วสิ!”
บรรดาผู้อาวุโสที่ล้อมดูอยู่ต่างก็รู้สึกว่าเรื่องในวันนี้ออกจะกระทันหันเกินไปหน่อย แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยและ หลี่ซงชิวต่างก็อนุมัติแล้ว พวกเขาจึงได้แต่ยกมือลงคะแนนไปตามนั้น
เมื่อเห็นแต่ละคนยกมือขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เหลยหู่ที่กำลังคุกเข่ากับพื้นก็หน้าซีดไปทันที
ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้ความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่นๆ ในสมาคมหงเหมินก็ไม่ได้ดีอย่างที่คาดคิดไว้เลย ที่ทุกคนไว้หน้าเขา ก็คงเป็นเพราะเห็นแก่หน้าบิดาของเขามากกว่า
หลังจากทุกคนลงคะแนนตัดสินแล้ว ตำแหน่งเจ้าตำหนักของเหลยหู่นี้ก็ถือว่าถูกถอดถอนไปแล้วโดยปริยาย เหลยเจิ้นเยวี่ยประสานมือคารวะต่อคนทั้งหลายแล้วกล่าวว่า “เหล่าเหลยสูงวัยร่างกายชราภาพ จึงไม่ขอแบกรับหน้าที่ของรองประธานสมาคมนี้อีกต่อไปแล้ว ตู้เฟย ตำแหน่งของฉันให้แกมาเป็นแทนก็แล้วกันนะ!”
หลังจากที่เรื่องในวันนี้เกิดขึ้น คนในสมาคมหงเหมินก็คงจะรู้เรื่องที่พ่อลูกตระกูลเหลยวางอุบายใส่ซ่งเวยหลันกันหมด เหลยเจิ้นเยวี่ยแกร่งกร้าวมาทั้งชีวิต ในวัยชราจึงไม่อยากอยู่ในสมาคมหงเหมินให้คนมาชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์
“ลุงเหลย แบบนี้…แบบนี้มันไม่เหมาะมั้งครับ?”
พอได้ยินที่เหลยเจิ้นเยวี่ยพูด ตู้เฟยก็ตะลึงไปเลย หลังจากที่เขาได้ปรึกษากับเยี่ยเทียนแล้ว ในใจก็เกิดความคิดที่จะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเหมือนกัน แต่เขาไม่เคยคิดที่จะปีนป่ายโดยการเหยียบบ่าของเหลยเจิ้นเยวี่ยขึ้นไปเลย
“ไม่เหมาะตรงไหนเล่า แกน่ะจิตใจกว้างขวางกว่าหู่จื่อ พี่รองก็แก่แล้ว อนาคตของสมาคมหงเหมินคงต้องฝากแกแล้วละนะ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยฝากฝังอย่างสะเทือนใจ เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจเกือบทั้งชีวิตไปเพื่อสมาคมหงเหมิน แม้ว่าตัวเองกำลังจะไปจากสมาคมหงเหมินแล้ว แต่ก็ไม่อยากเห็นสมาคมหงเหมินตกต่ำลงไปหลังจากวันนี้
“ผู้อาวุโสเหลยอยู่ต่อเถอะครับ!”
“นั่นน่ะสิ ผู้อาวุโสเหลยจะทิ้งสมาคมหงเหมินไปไม่ได้นะครับ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยถึงจะนิสัยมุทะลุดุดัน แต่ก็ไม่เคยเห็นแก่ตัวเลย ที่ผ่านมาจึงเป็นที่เคารพนับถือของคนในสมาคมหงเหมินมาตลอด เมื่อได้ยินว่าเขาจะลาออกจากตำแหน่งรองประธานสมาคม เหล่าผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์จึงพากันเหนี่ยวรั้งเขาไว้เสียงดังระงม
“ท่านทั้งหลาย ผู้แซ่เหลยทำเรื่องน่าละอาย ไม่มีหน้าจะอยู่ในสมาคมต่อไปแล้วจริงๆ วันหน้าหากทุกท่านยังจำผู้แซ่เหลยได้อยู่ เวลาเดินทางไปแคนาดาก็แวะไปเยี่ยมตาเฒ่าคนนี้บ้าง เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องในสมาคมท่านไหน ผู้แซ่เหลยก็จะต้อนรับเป็นอย่างดีแน่นอน!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยประสานมือคารวะไปรอบทิศ “วาจาไม่อาจบรรยายมิตรไมตรีได้หมดสิ้น อีกไม่กี่วันผู้แซ่เหลยจะล้างมือในอ่างทองคำ หวังว่าท่านเยี่ยและท่านทั้งหลายจะมาร่วมพิธีด้วยนะ!”
การล้างมือในอ่างทองคำนี้เป็นพิธีการอย่างหนึ่งที่คนในยุทธภพจะทำกันเมื่อต้องการถอนตัวไปเร้นกายอยู่อย่างสงบ โดยผู้ล้างมือจะจุ่มมือทั้งสองข้างลงไปในอ่างทองคำที่ใส่น้ำใสสะอาดไว้จนเต็ม สาบานว่าตั้งแต่บัดนี้จะไม่ปล่อยหมัดกวัดแกว่งกระบี่อีกต่อไป และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับข้อบาดหมางหรือบุญคุณความแค้นต่างๆ ในยุทธจักรอีกเลย
โดยปกติหลังจากทำพิธีล้างมือในอ่างทองคำแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยุติความแค้นต่างๆ ในยุทธภพ ถึงจะยังมีศัตรูอยู่ ฝ่ายศัตรูก็ห้ามไปล้างแค้นกับผู้ล้างมืออีก ไม่เช่นนั้นจะถูกผู้คนในยุทธภพโจมตีต่อต้าน
เหลยเจิ้นเยวี่ยก็นับว่าเป็นคนที่รู้จักปล่อยวางเมื่อถึงเวลาสมควร ภายในเวลาสั้นๆ ก็สามารถตัดสินใจได้แบบนี้แล้ว น้ำใจและความเด็ดขาดระดับนี้สมแล้วที่เป็นยอดผู้กล้าแห่งยุคของสมาคมหงเหมิน
“ได้ครับ ผมต้องไปแน่นอน” เยี่ยเทียนพยักหน้า “ผู้อาวุโสเหลยกลับไปพักฟื้นสักสามปี โรคเก่าจากวัยหนุ่มก็จะถูกขจัดไปจนหมดแล้ว เรื่องทางนี้ก็ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกนะครับ”
หลังจากพลังฝีมือเข้าสู่ขั้นสูงสุด ร่างกายจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ระบบต่างๆ ในร่างกายที่เสื่อมไปตามวัยจะมีพลังขึ้นมาใหม่ เซลล์ต่างๆ ก็จะเสื่อมช้าลง นี่จึงเป็นสาเหตุที่หลี่ซั่นหยวนมีอายุยืนยาวถึงหนึ่งร้อยปี
เหลยเจิ้นเยวี่ยในวัยหนุ่มได้รับบาดเจ็บมามากเกินไป กระบวนการนี้จึงต้องใช้เวลานานถึงสามปี แต่การที่ใช้เวลาสามปีแล้วได้อายุขัยเพิ่มมาถึงสิบยี่สิบปีนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
……………………………………………….